มหาวิทยาลัย
“เนตรทางนี้” สีฝุ่นโบกมือเรียกเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามาในรั้วมหา’ลัย ฉันคลี่ยิ้มบางๆ แล้วรีบเดินฉับๆ เข้าไปนั่งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนฝั่งตรงข้ามกัน
สีฝุ่นเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน คงเพราะเรามีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกันก็เลยสนิทกัน ไม่สิ มีอยู่อย่างนึงที่แตกต่างกันอย่างลิบลับเลยก็คือ…เรื่องฐานะ
สีฝุ่นเป็นลูกสาวคนเล็กของนักธุรกิจมากฝีมือ ฉันไม่ได้รู้จักครอบครัวเธอเท่าไหร่เพราะไม่เคยถาม ไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวและกลัวจะถูกมองว่าก้าวก่ายมากเกินไป
เอาเป็นว่าเธอร่ำรวยกว่าฉันมากก็แล้วกัน
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยดูถูกหรือแบ่งแยกชนชั้นกับฉันเลยนะ สีฝุ่นเป็นเพื่อนที่น่ารักมากจริงๆ
“ฝุ่นมานานแล้วเหรอ” ฉันถาม
“สักพักแล้วล่ะ วันนี้ป๊ามีประชุมเช้าก็เลยมาส่งเร็ว นี่ฝุ่นยังง่วงอยู่เลย” ฝุ่นว่าพลางอ้าปากหาวหวอดๆ เธอเป็นคนน่ารักนะ ผิวขาวสะอาด หน้าหมวยๆ ดวงตาเรียวเล็ก แถมยังบอบบางดูน่าทะนุถนอม
“ตื่นเช้าดีจะตาย สดชื่นออก” แม้ตอนตื่นแรกๆ จะง่วงมากไปหน่อย แต่พอตื่นเต็มตาแล้วจะสดชื่นมากๆ
ฉันเองเป็นคนนึงที่ต้องตื่นแต่เช้าแทบทุกวันเพราะต้องรีบมาช่วยเฮียเตรียมของทำขาหมู ยกเว้นวันอาทิตย์เพราะร้านเฮียหยุด
“สดชื่นตรงไหน ง่วงจะตาย~”
“ฝุ่นนอนดึกน่ะสิ”
“ก็นิดหน่อย..” ฝุ่นยิ้มแห้งๆ ให้ฉัน
“ใกล้เริ่มเรียนแล้ว ไปกันเถอะ” ฉันก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะชวนฝุ่นเดินขึ้นไปบนอาคารเรียน เธออิดออดและมุ่นหน้าเล็กน้อยเพราะยังง่วงซึม แต่ก็ยอมเดินตามมาในที่สุด
หลังเลิกเรียน
วันนี้ตารางเรียนของฉันยิงยาวจนถึงห้าโมงเย็น ทำเอาร่างกายเหนื่อยเพลียและอ่อนล้าไปหมด
“เนตร ฝุ่นยังไม่อยากกลับบ้านเลย ไปเดินห้างกันไหม?” ฝุ่นถามขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินออกจากรั้วมหา’ลัย
“เอ่อคือ…” ฉันกำลังคิดหาทางปฏิเสธเพราะอยากกลับบ้านไปพักผ่อนมากกว่า แต่ก็ถูกฝุ่นพูดแทรกขึ้นซะก่อน
“ห้ามปฏิเสธ เนตรผลัดฝุ่นหลายรอบแล้วนะ”
“แต่ว่าเนตร…”
“ไม่มีแต่ ถ้าเนตรไม่ไปฝุ่นงอนจริงๆ ด้วยนะ” ฝุ่นไม่พูดเปล่า แต่ยังยืนกอดอกจ้องหน้าฉันพร้อมทำแก้มป่องๆ ราวกับเป็นเด็ก
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะคราวนี้คงปฏิเสธฝุ่นไม่ได้แล้วจริงๆ
“โอเคจ้า ไปก็ไป” ฉันยิ้มแห้งๆ ไปเดินเล่นสักชั่วโมงคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“เย้! เนตรน่ารักที่สุด” ฝุ่นกระโดดกอดแขนฉันด้วยท่าทางดีใจพลางซบศีรษะลงบนไหล่อย่างออดอ้อน
จากนั้นฝุ่นก็พาฉันเดินไปขึ้นรถยนต์คันหรูของบ้านเธอที่มาจอดรอรับอยู่หน้ามหา’ลัย แล้วสั่งให้คนขับรถไปส่งพวกเราที่ห้างย่านใจกลางเมือง
ห้างสรรพสินค้า
เมื่อมาถึงฝุ่นก็จูงมือฉันเดินขึ้นไปชั้นเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง ดวงตาเล็กๆ นั้นเบิกโตและทอประกายเมื่อได้เห็นของสวยของงามจากร้านค้าต่างๆ
“ชุดกระโปรงตัวนี้สวยมาก มีสองสีพอดีเลย ซื้อไปใส่คู่กันดีไหม?” ฝุ่นหยิบชุดกระโปรงสีขาวที่เป็นทรงเอี๊ยมสีชมพูและสีฟ้าขึ้นมาทาบกับร่างตัวเอง “เนตรอยากได้สีไหนเลือกเลยนะ ฝุ่นเอาสีไหนก็ได้”
“คะ…คือเนตร…” ฉันเหลือบมองป้ายราคาที่ห้อยอยู่ตรงคอเสื้อแล้วก็ต้องเบิกตาด้วยความตกใจ ชุดพวกนี้ราคาเกือบสองพัน
แพงอะไรขนาดนั้นกัน…
“ว่าไง เนตรชอบสีไหน?” เมื่อเห็นฉันเงียบฝุ่นจึงถามขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเธอดูตื่นเต้นมาก คงจะอยากใส่ชุดนี้คู่กับฉันจริงๆ
“เนตรไม่เอาหรอกฝุ่น มันแพงเกินไปน่ะ” ฉันยิ้มแห้งๆ
“เดี๋ยวฝุ่นซื้อให้ เนตรชอบสีไหนบอกมาเลย”
“เนตรไม่…”
“งั้นเนตรใส่สีชมพูนะ เดี๋ยวฝุ่นเอาสีฟ้าเอง” ฝุ่นพอรู้ว่าฉันจะปฏิเสธก็รีบพูดแทรกขึ้น ก่อนจะเดินไปถามพนักงานว่าขอลองชุดได้ไหม
“เชิญทางนี้ค่ะคุณลูกค้า” พนักงานสองคนเดินเข้ามาพาฉันและฝุ่นไปยังห้องลองชุด ฉันจะปฏิเสธแต่ก็ไม่มีจังหวะ สุดท้ายเลยต้องยอมเข้ามาลองชุดที่ฝุ่นเลือก
ที่ฉันไม่อยากรับเพราะรู้สึกเกรงใจฝุ่นน่ะ เพราะตลอดเวลาที่คบกันมาเธอก็มักจะแอบเปย์ของแพงๆ ให้ฉันเป็นประจำ
กระเป๋าบ้างล่ะ นาฬิกาบ้างล่ะ ทุกอย่างๆ ที่ฝุ่นให้ฉันยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เพราะมันแพงมากไปจนฉันไม่กล้าใช้
“เฮ้อ…ฉันต้องใส่กับแกจริงๆ สินะเนี่ย” ฉันพึมพำพลางมองชุดกระโปรงตัวนี้เบาๆ ก่อนจะเอามันแขวนไว้บนที่แขวน จากนั้นก็ค่อยๆ ปลดกระดุมชุดนักศึกษาจนครบทุกเม็ดแล้วถอดมันออก
และระหว่างที่ฉันกำลังถอดเข็มขัดอยู่นั้นเอง…
พรึ่บ!
ม่านประตูของห้องลองชุดก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยร่างกำยำของใครบางคน
“อ๊ะ! คะ…คุณเป็นใครคะ!” ฉันร้องอุทานด้วยความตกใจสุดชีวิตแล้วรีบเลื่อนมือขึ้นกอดอกตัวเองเพื่อปกปิดหน้าอกที่อัดแน่นอยู่ในบราเซียสีขาว
ผู้ชายคนนี้สวมสูททับด้วยกางเกงขายาวสีดำ ใบหน้าคมคายถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดราคาแพงทำให้ดูไม่รู้ว่าเป็นใคร
“เป็นคุณจริงๆ ด้วย ไหนบอกว่าวันนี้จะรีบกลับบ้านไง” เขาไม่ตอบแต่ดันถามฉันกลับ แถมยังขยับขาเดินเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ
หัวใจฉันเต้นแรงไม่เป็นระส่ำด้วยความหวาดกลัว ฉันพยายามตั้งสติแล้วคิดว่าตนเองควรจะตะโกนเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก
ทว่าไวเท่าความคิด!
ผู้ชายคนนั้นพอเห็นฉันทำท่าเผยอปากเขาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาเอามือปิดริมฝีปากฉันในทันที ทั้งยังดันร่างของฉันจนแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้องที่เป็นกระจก
เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วทำท่าเพ่งมองราวกับสงสัยอะไรบางอย่าง ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวท่าทางเหล่านั้นก็หายไป
“อื้อ!!” เสียงฉันอู้อี้อยู่ในลำคอ พยายามจะดีดดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา ทว่าก็สู้แรงจากร่างสูงไม่ได้เลย
“คุณจะร้องทำไม เดี๋ยวเขาก็คิดว่าผมเป็นโรคจิตหรอก”
“….” ฉันมองผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจจนตั้งสติไม่อยู่ ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันและเขาเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง แล้วทำไมถึงพูดจาเหมือนเรารู้จักกัน
ฉันเพ่งสายตาจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
และเหมือนเขาจะรับรู้ได้ถึงความสงสัยของฉัน มือหนาจึงถอดแว่นกันแดดมาเหน็บไว้ที่หน้าอก
หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้นไปในวินาทีนั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ภายในอกปั่นป่วนและรู้สึกหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก
ผู้ชายที่กำลังทำรุ่มร่ามกับร่างกายฉันในตอนนี้ก็คือคุณธนิน คนที่ฉันพลาดเสียความบริสุทธิ์ให้เมื่อสองเดือนก่อน..
“ทำไมพักนี้คุณถึงเอาแต่หลบหน้าผม? แถมยังโกหกว่าจะกลับบ้านแต่ที่แท้แอบมาเดินห้าง แล้วนี่มากับใคร?” เขาขมวดคิ้วยิงคำถามใส่ฉันเป็นชุดๆ สายตาที่จ้องเขม็งบ่งบอกถึงความไม่ชอบใจ
“อื้อ~” ฉันร้องท้วงเพราะเขาถามทั้งที่ยังเอามือปิดปากฉันอยู่
“โอเค ผมปล่อยก็ได้ แต่คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ร้องและไม่หนี”
“…อื้อ” ฉันพยักหน้าหงึกๆ แต่ไม่ได้คิดจะทำตามที่เขาบอกหรอกนะ
คุณธนินหรี่ตามองเหมือนไม่ไว้ใจ แต่ก็ยอมคลายมือออกจากริมฝีปากฉัน และแน่นอนว่าเมื่อปากเป็นอิสระฉันก็ไม่รอช้าที่จะตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่ว…อื้อ~” ทว่ายังไม่ทันพูดคำว่า ‘ช่วย’ ได้อย่างเต็มเสียง ริมฝีปากฉันก็ถูกปิดสนิทด้วยริมฝีปากของคุณธนิน
เขากดจูบหนักๆ จนฉันรู้สึกเจ็บ แถมยังพ่นลมหายใจแรงๆ ราวกับอยากจะลงโทษที่ฉันผิดคำพูด
ความตกใจทำให้ฉันเผลอปล่อยมือออกจากหน้าอกตัวเองเพื่อทุบตีแผงอกเขา ทว่าในขณะเดียวกันมันก็เป็นการเปิดโอกาสให้เขารวบมือของฉันขึ้นไปขึงกับผนังห้อง
หน้าอกทั้งสองข้างจึงเด่นหราโดยไร้สิ่งกีดขวาง
คุณธนินถอนริมฝีปากออกในนาทีต่อมา ฉันเผยอปากทำท่าจะร้องอีกครั้งแต่ก็ต้องชะงักเพราะคำขู่ของเขา
“ถ้าคุณร้องอีก รอบนี้มันจะไม่จบแค่ที่จูบ” เสียงทุ้มต่ำเข้มขรึม ดวงตาแข็งกร้าวฉายแววดุดัน
ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นพลางก้มหน้างุดไม่กล้าสบตากับเขา
“คะ…คุณต้องการอะไรคะ” เพราะความกลัวทำให้น้ำเสียงของฉันสั่นเครือเอามากๆ
“หนีหน้าผมทำไม?”
“ฉะ…ฉันไม่ได้หนี…”
“….” เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อีกครั้ง “ไม่ได้หนีอะไรก็เห็นอยู่ว่าคุณโกหก”
“ระ…เรารู้จักกันเหรอคะ…” ฉันตัดสินใจถามออกไปเพราะเผื่อว่าเขาจะคิดขึ้นได้ว่ากำลังทักคนผิด
“ถามแบบนี้ต้องการอะไร? ให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำ?”
“มะ…ไม่…อ๊ะ!” ฉันส่งเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ คุณธนินใช้มือที่ว่างอีกข้างกระชากบราเซียของฉันออก ส่งผลให้หน้าอกอวบใหญ่ดีดเด้งออกมาชี้หน้าเขา
ร่างสูงจ้องมองมันอย่างตกตะลึงก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
“หึ”
“คะ…คุณจะทำอะไร…ยะ…อย่านะ…อ๊า~” ฉันเป็นต้องร้องครางเสียงดังลั่นเมื่อคุณธนินก้มหน้าลงมาดูดดุนยอดอกสีระเรื่อของฉัน ลิ้นอ่อนนุ่มตวัดเลียวนเป็นวงกลมถี่ๆ สร้างความเสียววาบให้แล่นลงสู่กึ่งกลางกายโดยผ่านท้องน้อยที่กำลังหดเกร็ง
“ยะ…อย่า…อ๊ะ~”