ฉันยังคงยืนช็อกอยู่กับที่ ร้อยคำถามมากมายติดที่อยู่ริมฝีปาก ทว่ากลับเอ่ยอะไรไม่ออก ทั้งงุนงง สับสน และรู้สึกเหมือนสมองมันอื้อตันไปหมด
อยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มาอ้างตัวว่าเป็นแม่ ทั้งๆ ที่ฉันอยู่กับพ่อแค่คนเดียวมาเกือบยี่สิบปี เป็นใครจะไม่ตกใจบ้าง
ไม่สิ…
จะบอกว่าเป็นการอ้างตัวก็คงจะไม่ใช่ เพราะผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยกันนั้นหน้าเหมือนฉันมากจริงๆ ดังนั้นแนวโน้มที่เธอคนนี้จะเป็นแม่ฉันมีค่อนข้างสูง
แต่ฉันยังไม่ปักใจเชื่อหรอกนะ
“ฉะ…ฉันว่าพวกคุณจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ” ฉันค่อยๆ ดันร่างของผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ออกช้าๆ แล้วตั้งท่าจะเดินเลี่ยงกลับเข้าห้องของตัวเอง ทว่าผู้หญิงอีกคนที่หน้าเหมือนกันกับฉันก็ก้าวมาขวางทางเอาไว้ แถมยังจ้องหน้าฉันเขม็ง
“เบิกตาดูดีๆ สิ หน้าเราเหมือนกันขนาดนี้ เธอยังคิดว่าแม่โกหกอีกเหรอ?” เธอกอดอกเลิกคิ้วถาม ท่าทางเหมือนรำคาญและหาเรื่องฉันกลายๆ
“ใช่ลูก แม่ไม่ได้โกหกนะ เราจะไปตรวจดีเอ็นเอกันตอนนี้เลยก็ได้” พูดจบคนที่อ้างว่าเป็นแม่ก็เดินเข้ามาเหมือนจะพาตัวฉันไป แต่ฉันก็ชะงักแล้วถอยหลังหนี
“พะ…พวกคุณต้องการอะไรคะ” ที่ฉันถามแบบนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าถ้าฉันเป็นลูกสาวของเธอจริงๆ แล้วเธอจะมาหาฉันทำไม
ฉันยังไม่ได้เชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ แต่ก็คิดว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ ตอนนี้อยากรู้มากกว่าว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรจากฉันกันแน่
“แม่กับพี่นกมีเรื่องอยากให้หนูช่วย” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาเหมือนกำลังเกรงใจ
ผู้หญิงที่หน้าเหมือนฉันเธอคงจะชื่อนกสินะ
“เรื่องอะไรคะ?”
“อีกสองอาทิตย์พี่นกจะแต่งงาน แต่วันนั้นพี่เขามีนัดผ่าตัดสำคัญ ไม่สามารถไปเป็นเจ้าสาวได้ และแม่ก็ไม่อยากเลื่อนงานแต่ง แม่เลยอยากให้เนตรไปสวมรอยเป็นเจ้าสาวแทนพี่นกได้ไหมลูก”
“ว่าไงนะคะ!” ฉันตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน ผู้หญิงคนนี้กำลังขอให้ฉันไปหลอกลวงคนอื่นอยู่ใช่ไหม?
“เนตรช่วยแม่นะลูก ไม่งั้นพี่นกต้องแย่แน่ๆ”
“ทำไมถึงไม่เลื่อนงานแต่งออกไปก่อนล่ะคะ” นี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำเป็นอันดับแรกเมื่อไม่พร้อมที่จะแต่งงานไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้คิดที่จะใช้วิธีนี้กัน
“เลื่อนไม่ได้สิลูก ฝ่ายชายเขาไม่รู้ว่าพี่นกป่วย”
“แล้วคุณ…เอ่อ…พะ…พี่นกเป็นอะไรถึงต้องไปผ่าตัดคะ?” ท่าทางของเธอก็ดูปกติแข็งแรงดีนี่นา ไม่เห็นจะเหมือนคนป่วยเลยสักนิด
“เธอจะถามอะไรนักหนาเนี่ยฮะ!” คนชื่อนกโวยวายใส่ฉันอย่างรำคาญ ฉันผิดเหรอที่อยากรู้ มันเป็นปกติหรือเปล่าที่ต้องถาม
“แกเงียบไปเลยนะยัยนก เดี๋ยวแม่คุยกับน้องเอง” ผู้หญิงคนนี้หันไปทำเสียงดุใส่คุณนก ก่อนจะหันกลับมาจับมือฉันขึ้นแล้วส่งสายตาวิงวอน
“พี่นกเป็นโรคหัวใจเลยจำเป็นต้องผ่าตัดด่วนน่ะลูก”
“ถ้างั้นหนูว่าคุณเลื่อนงานแต่งออกไปก่อนเถอะค่ะ แล้วหนูก็คิดว่าควรบอกกับฝ่ายชายไปตรงๆ ถ้าเขารักพี่นกจริงเขาต้องเข้าใจค่ะ”
“คือ…”
แกร๊ก!
ขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่ ห้องข้างๆ ก็เปิดประตูออกมาโวยวายใส่
“คุยกันเบาๆ หน่อยได้ไหม คนอื่นเขาจะหลับจะนอน!”
“ขะ…ขอโทษทีค่ะ” ฉันโค้งศีรษะกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิด จากนั้นก็หันกลับมามองสองแม่ลูกที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความลังเล ทว่าสุดท้ายฉันก็ตัดสินใจให้พวกเธอเข้ามาคุยกันในห้อง
“สรุปว่ายังไงล่ะลูก เนตรจะช่วยแม่กับพี่นกได้ไหม”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ…” ฉันเลือกที่จะปฏิเสธ แต่ก็รู้สึกลำบากใจอยู่ลึกๆ เพราะเธอดูมีความหวังเอามากๆ
“แต่หนูไม่สามารถไปสวมรอยเป็นพี่นกได้จริงๆ” พอได้ยินคำปฏิเสธพี่นกก็ชักสีหน้าแล้วทำท่าเหมือนจะต่อว่าฉัน แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้
“ฉันบอกให้แกอยู่เฉยๆ ไงยัยนก!”
“แม่จะห้ามนกทำไมนักหนาเนี่ย ก็บอกแล้วไงว่ายัยเนตรไม่ช่วยเราหรอก!” ตอนนี้ฉันได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบๆ มันรู้สึกอึดอัดมากจริงๆ ที่ต้องเจออะไรแบบนี้
จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เลยว่าเรื่องมันถูกดำเนินมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน…
“แม่เชื่อว่าน้องไม่ใจร้ายกับเราหรอก ใช่ไหมลูกเนตร” เธอพูดกับพี่นก ก่อนจะหันมาถามฉัน แล้วแบบนี้ฉันจะต้องตอบว่ายังไง
“หนูไม่ได้ใจร้ายนะคะ แต่หนูคงช่วยคุณไม่…”
“เนตรคงยังไม่รู้สินะลูกว่าถ้าวันงานพี่นกไม่ไปเป็นเจ้าสาวล่ะก็คนพวกนั้นจะตามล่าแม่และพี่นก แต่ถ้าวันนั้นพี่นกไปเป็นเจ้าสาวแล้วไม่ได้ผ่าตัด พี่นกก็อาจจะ…อยู่ได้ไม่นาน” เธอตีหน้าเศร้า พร้อมทำเป็นสะอึกสะอื้นราวกับกำลังร้องไห้
ฉันก็รู้สึกสงสารอยู่หรอกนะ แต่เรื่องที่ไม่เข้าใจมันมีมากกว่าเยอะเลยล่ะ
“แล้วทำไมเขาต้องตามล่าด้วยล่ะคะ”
“เพราะแม่กับพี่นกเป็นหนี้เขา แต่ไม่มีเงินไปจ่าย เขาก็เลยให้พี่นกแต่งงานเป็นการใช้หนี้ ซึ่งแม่กับพี่นกไม่ได้ติดขัดอะไร เพียงแค่วันนั้นพี่นกต้องผ่าตัดด่วนจริงๆ เนตรช่วยแม่นะลูกนะ หนูสองคนหน้าเหมือนกันขนาดนี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นคนละคนกัน อีกอย่าง ถ้าแม่ไม่พูด หนูไม่พูด แล้วใครจะรู้ล่ะลูก”
“แต่ว่า…” ฉันกำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง ทว่าก็ถูกเธอแทรกขึ้นซะก่อน
“ยังไม่ต้องตอบแม่ตอนนี้ก็ได้ เอาเวลาไปคิดทบทวนดูก่อน อย่าเพิ่งปฏิเสธแม่เลยนะลูก”
“หนูถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิลูก แม่ยินดีที่จะตอบ”
“ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นแม่หนูจริงๆ” ฉันเงียบไปครู่หนึ่งเพราะรู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่อยากจะถาม “หนูอยากรู้ว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น…คุณเคยคิดที่จะมาหาหนูบ้างไหม?”
ตั้งแต่จำความได้ฉันก็อยู่กับพ่อมาตลอด ไม่เคยเห็นหน้าแม่แท้ๆ ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนที่ฉันกำลังจะถูกนำตัวไปส่งสถานสงเคราะห์ แม่ก็ไม่ได้สนใจใยดีฉันเลย
ไม่เคยคิดที่จะติดต่อมาหรือแสดงตัวว่าเป็นแม่ของฉัน จนกระทั่งถึงคราวที่ตัวเองกำลังเดือดร้อน
ฉันไม่ได้อยากที่จะเป็นเด็กอกตัญญูนะ แต่ฉันอดน้อยใจไม่ได้จริงๆ เพราะในวันที่ฉันสูญเสียพ่อและทุกอย่างไปนั้นมันทำให้เจ็บปวดมากจริงๆ ฉันเฝ้ารอทุกวันเวลาหวังว่าแม่แท้ๆ จะเห็นใจและมารับฉันไปอยู่ด้วย
แต่แล้วแม่ก็ไม่มา…แล้วแบบนี้จะให้ฉันรู้สึกยังไง
“แม่ขอโทษนะเนตร ก่อนหน้านี้ที่แม่ไม่ได้ติดต่อมาแม่มีเหตุผลจริงๆ” เธอทำก้มหน้าเหมือนกำลังเศร้าและรู้สึกผิด
“เหตุผลอะไรเหรอคะที่ทำให้คุณมารับหนูไปอยู่ด้วยไม่ได่ในวันที่พ่อ…” ฉันเป็นต้องชะงักไปเพราะพอพูดถึงพ่อ ก้อนสะอื้นมันก็ตีขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ
ฉันไม่เคยชินและทำใจได้เลยกับการจากไปของท่าน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
“ตอนนั้นแม่ลำบากมากจริงๆ แม้แต่เงินกินข้าวก็ยังแทบไม่มี ชีวิตของแม่ไม่ได้สุขสบายแบบที่เนตรเข้าใจเลยนะลูก”
“หนูไม่รู้ว่าจะเชื่อที่คุณพูดได้หรือเปล่า…”
“ยังไม่เชื่อตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เนตรไม่เกลียดแม่ และรับเรื่องที่แม่ขอร้องไว้พิจารณาก็พอแล้วลูก”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเธออีกหลังจากนั้น แค่รับปากว่าจะลองทบทวนสิ่งที่เธอขอให้ช่วย จากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็ขอตัวกลับเพราะว่าที่สามีของพี่นกโทรมาเร่งให้กลับ
วันนี้มันวันอะไรกันนะ ทำไมฉันถึงได้เจอแต่เรื่องเหนื่อยใจพร้อมกันแบบนี้ กับคุณธนินก็ทีนึงแล้ว ไหนจะยังเรื่องนี้อีก
ฉันนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกสักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วเตรียมตัวที่จะนอน เพราะวันนี้เหนื่อยล้ามาทั้งวัน
ทว่าฉันกลับนอนไม่หลับ…
เพราะภาพเหตุการณ์ในห้องลองชุดวันนี้ตามหลอกลอนตลอดเวลา สัมผัสจากเร่าร้อนจากคุณธนินทำเอาฉันรู้สึกร้อนวาบไปทั้งกาย ทั้งๆ ที่พยายามจะไม่นึกถึงแล้วแท้ๆ แต่สมองกลับไม่ยอมฟัง
ฉันเพิ่งสังเกตเห็นตอนอาบน้ำว่าที่หน้าอกทั้งสองข้างมีรอยแดงเป็นจ้ำๆ อยู่หลายจุดจากริมฝีปากของคุณธนิน
หัวใจมันเต้นระรัวเลยล่ะตอนที่เห็น ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด
จริงสิ วันนี้ตอนเจอกันคุณธนินเขาทักฉันเหมือนกับว่าเราเคยรู้จักกันยังไงอย่างงั้น หรือเขาจะจำฉันได้ ไม่สิเพราะคำพูดคำจาของเขาเหมือนเราสนิทสนมกันมากกว่านั้น
เอ๊ะ! หรือว่าคุณธนินกับพี่นก…
ไม่หรอก โลกมันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง…