“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วขอรับท่านอ๋อง”
“ดี”
สองสหายคนสนิทและสององค์รักษ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋องอยู่นั้นก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอยู่ไม่วางตาแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไป พลันประตูกระโจมของหลี๋อ๋องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของใครบางคน เหล่าบุรุษที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงนั้นก็หันไปมองทันที
“นั่นไม่ใช่สตรีจากหอนางโลมเมื่อคืนนี้หรอกหรือ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่กัน”
“ข้าจะไปรู้หรือ”
ตงหยางตอบหลี่จิ่งกลับด้วยเสียงอันเบาด้วยกลัวว่าท่านอ๋องของพวกเขาจะได้ยินเข้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่เพราะเมื่อเช้าตรู่เขาเป็นคนส่งเหล่าคณิกาพวกนั้นขึ้นรถม้าเพื่อกลับเข้าไปในเมืองแล้วนั่นเอง
เยว่หลิงเดินออกมาจากกระโจมก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋อง ใบหน้าของนางตอนนี้นั้นช่างดูสดใสต่างจากท่านอ๋องของพวกเขาเสียจริง
“ท่านปวดหลังหรือไม่ เอวของท่านยังอยู่ดีไหม”
“อย่ายุ่งน่า”
เหล่าสหายและองค์รักษ์ของเขาต่างก็ตาโตทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สตรีผู้นั้นเอ่ยถามหลี๋อ๋องออกมา
หลี๋อ๋องหันไปมองสตรีผู้นั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคืนเขายกเตียงนอนหนานุ่มของเขาให้นางส่วนตัวเขานั้นกลับต้องลงไปนอนอยู่ด้านข้างเตียงนั้นแทน เมื่อถึงกลางดึกอยู่ๆนางก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วเหยียบเข้าที่ส่วนหลังของเขาเต็มๆ
'ซวยอะไรเช่นนี้ก็ไม่รู้'
“พวกท่านจะไปไหนหรือ"
“ข้าจะกลับแล้ว”
“จะไปที่ใด”
“กลับเมืองหลวงอย่างไรล่ะ”
"งั้นหรือ เช่นนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะเพคะท่านอ๋อง"
"แล้วเจ้าจะไปไหนไม่กลับเมืองหลวงงั้นหรือ"
"กลับสิ แต่ว่าข้ากลับเองได้"
“กลับเองได้? ที่นี่อยู่ใจกลางหุบเขาทั้งยังไม่มีบ้านเรือนผู้คนเลยสักหลัง ไม่มีแม้กระทั่งชาวบ้านจะมีก็เพียงทหารของข้าเท่านั้น เจ้าเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียวจะกลับอย่างไร”
"หรือว่าเจ้าจะรอให้เจ้านั่นกลับมารับเจ้าล่ะ ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าสั่งให้มันกลับไปเป่ยฉีไม่ใช่หรือ กว่าจะรอให้มันกลับมาถึงเวลานั้นที่นี่ก็ไร้ผู้คนแล้วแน่ใจว่าอยู่คนเดียวได้"
ประโยคสุดท้ายเขากระซิบถามนางเบาๆ แต่อากัปกิริยาที่ใกล้ชิดกันนั้นทำให้สหายและเหล่าทหารของเขาคิดอีกอย่าง
'ในที่สุดท่านอ๋องของพวกเขาก็สนใจสตรีเช่นบุรุษคนอื่นๆเสียที'
"ที่นี่ก็เป็นดั่งสนามรบ ย่อมมีเหล่าทหารกล้าที่เคยพลีชีพล้มตายอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น..."
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วเพคะ”
“ดี”
“หลี่จิ่งเจ้าเตรียมรถม้าแล้วหรือยัง”
“เอ๋? ท่านอ๋องไม่ได้สั่งไว้นี่ขอรับ”
หลี่จิ่งเมื่อได้ยินที่หลี๋อ๋องถามเขาถึงกลับงุนงงไม่น้อยก่อนจะรีบหันไปมองแม่ทัพเหออย่างขอความช่วยเหลือแต่เขากลับทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตงหยางเองก็ถึงกับนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบท่านอ๋องอย่างไรเช่นกัน
‘ก็ท่านอ๋องไม่ได้สั่งไว้จริงๆนี่นา’
“ได้ยินแล้วนี่ แล้วเหตุใดไม่รีบไปจัดการล่ะ”
“ขอรับ ไปเดี่ยวนี้ขอรับ”
‘เหตุใดหลี๋อ๋องที่ไม่เคยใส่ใจสตรีนางใดเลยถึงได้ดูใส่ใจกับหญิงสาวผู้นี้เป็นพิเศษกันนะ นางมีอะไรดีกัน’
หลี๋อ๋องหันกลับไปสั่งการกับเหล่าทหารของเขา เพียงไม่นานหลี่จิ่งก็เดินกลับเข้ามาก่อนจะรายงานเขาไปว่า
“ท่านอ๋องรถม้าพร้อมแล้วขอรับ”
“อืม”
“เจ้าขึ้นไปสิ”
หลี๋อ๋องหันกลับมามองนาง เยว่หลิงก็พยักหน้าก่อนจะรีบเดินขึ้นไปบนรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วไม่มีแม้แต่จะชายตามามองหรือไม่มีท่าทีออดอ้อนเขาเลยสักนิด
เป็นไปได้อย่างไรกัน! สตรีที่พึ่งขึ้นเตียงกับหลี๋อ๋องไม่มีทางที่จะมีท่าทีเช่นนี้หลังจากได้ร่วมรักกันแล้วอย่างแน่นอน
“ข้าไม่คิดว่าสตรีจากหอคณิกาจะมีท่าทีที่แข็งกระด้างเช่นนี้ อย่างน้อยก็น่าจะมีท่าทีที่เหนียมอายบ้างสินางพึ่งจะขึ้นเตียงกับท่านมานะ”
“พูดมาก พวกเจ้าไม่กลับแล้วหรือ”
“หืม ไปสิ”
ซือหนานกงหันไปมองแม่ทัพเหออีกครั้งทั้งคู่พยักหน้าให้กันก่อนที่ซือหนานกงจะรีบขึ้นไปนั่งบนอาชาประจำกายของเขาด้วยความรวดเร็ว
“แม่ทัพผู้นั้นไม่ไปด้วยหรอกหรือ”
“เขายังมีเรื่องต้องจัดการ จะตามข้าไปทีหลัง”
“ข้าก็ไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย”
“ก็เห็นเจ้าถาม”
“ช่างเถอะ”
เยว่หลิงไม่อยากสนทนากับเขาต่อ นางดึงม่านหน้าต่างลงก่อนจะแอบชำเลืองมองไปด้านนอกรถม้าเป็นระยะๆ หลี๋อ๋องอมยิ้มให้กับการกระทำของนางจนองค์รักษ์ทั้งสองของเขาถึงกับต้องขยี้ตาอีกครั้ง
“เจ้าว่าข้าตาฝาดไปหรือไม่”
“ข้าเห็น เจ้าก็เห็น คงจะตาฝาดกันทั้งคู่หรอก”
ตงหยางตอบเขาแค่นั้นก่อนจะควบม้าขึ้นไปประจำตำแหน่งของตนเองทันที
กองทัพทหารของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลออกจากชายแดนเรื่อยๆ ผ่านหุบเขาน้อยใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าจนกระทั่งย่างเข้าวันที่สี่ของการเดินทาง หุบเขาที่กำลังเดินทางผ่านอยู่นี้เต็มไปด้วยมวลแมกไม้และไม้ยืนต้นสูงชะลูดเต็มเทือกเขาไปหมดแม้ที่นี่จะดูอุดมสมบูรณ์และสวยงามแต่กลับมีบางสิ่งที่ดูน่ากลัวในสายตาของเยว่หลิง
ขบวนกองทัพหยุดลงแล้วเยว่หลิงที่กำลังชื่นชมกับบรรยากาศโดยรอบอยู่โดยไม่ทันได้สนใจต่อสิ่งอื่นใดก็เห็นว่าหลี๋อ๋องควบม้ามาหยุดตรงหน้านางแล้ว
“เราจะพักกันที่นี่”
“หือ”
“เจ้าหูหนวกหรือ ข้าบอกว่าคืนนี้เราจะพักกันที่นี่”
“ที่นี่หรือ”
“ก็ใช่อย่างไรล่ะ เอาล่ะข้าสั่งให้ทหารไปจัดการลำธารที่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้ว เจ้าไปจัดการตัวเองเถอะข้าจะตรวจตราบริเวณโดยรอบของที่พักแรมนี้ก่อน”
“ก็ได้”
เยว่หลิงลงจากรถม้าเดินตรงไปที่ลำธารที่มีผ้ากั้นเป็นทางเอาไว้ นางมองซ้ายมองขวาเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่บริเวณนี้ก็จัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ออกทันที ก่อนจะลงเล่นน้ำเพียงลำพังอยู่อย่างนั้นนานสองนานจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาแต่สักพักก็หายเงียบไป
“นั่นใคร?”
“ข้าถามว่าใคร”
เมื่อความมืดมิดเริ่มคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ เยว่หลิงก็รีบขึ้นจากน้ำก่อนจะสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย กระทั่งกำลังจะเดินกลับที่พักนางก็ถูกอะไรบางอย่างทำให้สลบไปจนร่างของนางร่วงลงกองกับพื้น
ยามซวี (19.00-21.00น.)
“หายไปแล้ว ได้อย่างไร!”
“ข้าน้อยให้หนึ่งในแม่ครัวออกไปตามแม่นางเยว่หลิงแต่เมื่อนางไปถึงที่ลำธารกลับบอกว่าแม้แต่ปลาสักตัวก็ไม่มีขอรับ”
“ไม่ได้เรื่อง!”
หลี๋อ๋องขว้างถ้วยสุราออกไปจนซือหนานกงและองค์รักษ์ของเขาหลบกันแทบไม่ทัน จากนั้นก็รีบก้าวเท้าตรงไปยังลำธารนั้นโดยไม่ลืมที่จะหยิบเอากระบี่คู่ใจของเขาไปด้วย
เมื่อมาถึงลำธารก็เป็นดังที่คาดไว้ นางหายไปแล้วจริงๆ หายไปไหนได้อย่างไรกัน?
“ท่านอ๋องตรงนี้มีรอยเท้าของใครบางคนอยู่ขอรับ”
“เป็นของนางหรือไม่” ซือหนานกงเอ่ยถามออกมาท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเคลียด
“ไม่น่าใช่นะขอรับคุณชาย รอยเท้านี้ใหญ่เกินกว่าจะเป็นของสตรี”
หลี๋อ๋องจ้องมองรอยเท้านั้น มันมุ่งตรงเข้าไปในป่า
“คงไม่ใช่ว่านางเป็นสายลับของใครหรอกนะ ทำงานไม่สำเร็จอาจจะถูกสั่งเก็บไปแล้วเช่นนั้นหรือ”
หลี่จิ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดตรึกตรองก่อนทำให้หลี๋อ๋องถึงกลับหันไปมองเขาด้วยแววตาที่มีไอสังหารอยู่เต็มที่
“พวกเจ้าเฝ้าดูอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตามหานาง”
“ข้าไปกับท่านด้วยหากเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยทัน”
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่หากมีใครกล้าเข้ามาก็จัดการเสีย”
“ขอรับท่านอ๋อง”
เมื่อหลี๋อ๋องและซือหนานกงเดินเข้าไปในป่าจนหายลับไปจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี่จิ่งก็เอ่ยออกมาว่า
“สตรีผู้นั้นมีอะไรดีกันท่านอ๋องถึงได้ดูร้อนใจถึงเพียงนี้”
“เจ้าหุบปากบ้างเถอะก่อนที่หัวของเจ้าจะหลุดออกจากบ่าไปเสียก่อน”
ตงหยางได้เพียงแค่ส่ายหัวให้เขาก่อนจะเดินกลับไปที่พักแรมของทหารเพื่อรอคอยหลี๋อ๋องอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าพูดอะไรผิดอีกเล่า”