การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเอง
ระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วย
เมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเอง
ขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ
สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้
เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพวกเขาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
เจ้าเมืองเล่ออานเมื่อได้ยินว่าหลี๋อ๋องจะเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้เขาก็ออกมารอต้อนรับด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วก็ว่าได้
เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าหลี๋อ๋องนั้นจะมาถึงที่เมืองแห่งนี้เมื่อไหร่
เมื่อเห็นขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องผ่านเข้าประตูเมืองเขาก็ตื่นเต้นดีใจแทบเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่รีบลนลานลงจากกำแพงเมืองเพื่อมารอต้อนรับเขาจนสะดุดบันไดล้มหน้าทิ่มกับพื้นไปทีเดียว
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดถึงรีบร้อนเช่นนั้นกัน” หลี๋อ๋องที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาประคองเขาให้ลุกขึ้น
“ท่านอ๋องท่านมาแล้ว”
“ท่านคือ…”
“ข้าน้อยมีนามว่าหวังตี๋เฟยเป็นเจ้าเมืองที่ดูแลเมืองแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าหวังงั้นหรือ ข้ามาช้าไปต้องขออภัยด้วย”
“ช้าที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง ท่านมาที่เมืองนี้พวกเราชาวเมืองต่างก็ทราบซึ้งในน้ำพระทัยของท่านแล้ว”
“เรื่องนี้เป็นรับสั่งของฮ่องเต้ พระองค์เป็นห่วงราษฎร์ยิ่งนัก”
“ข้าน้อยรู้พ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าไปข้างในกันเถอะข้ามีเรื่องต้องหารือกับท่าน”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาหลี๋อ๋องไปยังจวนเจ้าเมืองส่วนขบวนรถม้าที่เขานำมาด้วยก็ถูกทหารนำพาไปยังที่พักสำหรับรักษาผู้ป่วยทันที
-จวนเจ้าเมืองเล่ออาน-
“ท่านบอกว่ามีหมอหญิงจากเป่ยฉีมาที่นี่งั้นหรือ”
“ใช่แล้ว เดินทางมาที่นี่ก่อนท่านอ๋องจะมาน่าจะสองคืนได้แล้วกระมัง”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน”
“จะเรียกว่าเขาก็ไม่ถูกเพราะท่านหมอผู้นี้เป็นสตรีพ่ะย่ะค่ะ”
“สตรีเช่นนั้นหรือ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นท่านพาข้าไปพบนางที”
“ได้พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ขณะที่หลี๋อ๋องและใต้เท้าหวังกำลังสนทนากันอยู่นั้น หลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของหลี๋อ๋องก็รีบวิ่งพรวดพราดเข้ามาจนแทบจะสะดุดเข้ากับขอบประตูอยู่แล้ว
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีอะไร”
“คือว่า”
“พูดมาสิ”
“ท่านอ๋อง พระชายาแอบตามมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ! นางมาได้อย่างไร”
หลี่จิ่งมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาคิดว่าตงหยางกับเสี่ยวหลันคงต้องถูกท่านอ๋องลงโทษเป็นแน่โทษฐานที่แอบพาพระชายามาเช่นนี้
“มาอย่างไรนั้นข้าน้อยไม่ทราบแต่ตอนนี้พระชายาอยู่ที่หน้าประตูเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี๋อ๋องได้ยินดังนั้นก็รีบร้อนออกไปจากจวนทันที ใต้เท้าหวังที่ได้ยินว่าพระชายาของหลี๋อ๋องนั้นตามมาด้วยก็ทั้งตกใจและดีใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน
“ท่านอ๋องมีพระชายาแล้วทั้งยังมาที่นี่พร้อมกันด้วย สวรรค์ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทั้งสองพระองค์ให้ความสำคัญกับเมืองของพวกเขาจริงๆ”
หลี๋อ๋องรีบควบม้ากลับมาที่หน้าประตูเมืองอีกครั้ง เมื่อมาถึงเขาก็ไล่มองหาเยว่หลิงไปจนทั่วแต่กลับไร้วี่แววของนาง
“ไหนเจ้าบอกว่านางอยู่ที่หน้าประตูเมืองอย่างไรล่ะ?”
“นะนั่นพ่ะย่ะค่ะ” หลี่จิ่งชี้นิ้วขึ้นไปยังกำแพงเมือง
หลี๋อ๋องมองตามมือนั้นขึ้นไปก็เห็นว่าด้านบนกำแพงเมืองนั้นมีแผ่นหลังบอบบางของใครบางคนที่อยู่ในชุดสีชมพูอ่อนยามสายวาโยพัดผ่านกายของนางผ้าสีชมพูหวานบนกายพลันพริ้วไสวตามสายลม
แต่ดูเหมือนว่านางกำลังชะโงกหน้าลงไปมองอีกฝั่งจนผู้ที่มองเห็นนั้นรู้สึกหวาดเสียวไปตามๆกัน
‘ให้ตายสินางทำบ้าอะไร’
หลี๋อ๋องไม่รอช้าเขาใช้วิชาตัวเบาเหาะขึ้นไปบนกำแพงเมืองนั้นทันที
“ท่านอ๋องรอข้าน้อยด้วยยย”
'หืม อะไรท่านอ๋องนะ?’ เยว่หลิงที่มัวแต่ชะโงกหน้าลงไปมองผืนแผ่นดินด้านล่างอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนดังแว่วขึ้นมา
ไม่ทันได้หันกลับมามองก็ถูกใครบางคนกระชากออกจากกำแพงทันที
“ว๊าย! อะไรเนี่ย”
“เจ้าทำอะไร”
“ท่านอ๋อง! มาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ”
“ข้าถามว่าเจ้าทำอะไร”
“ข้าหรือ? ข้าก็ชมบรรนากาศที่นี่อยู่น่ะสิ”
“ชมบรรยากาศบ้าบออะไรของเจ้า ชะโงกหน้าลงไปเช่นนั้นอยากตกลงไปคอหักตายเป็นผีเฝ้าประตูเมืองเช่นนั้นหรือ”
‘ด่าได้เร้าใจมาก’