‘ด่าได้เร้าใจมาก’
“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”
“ลงไปกับข้า”
“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”
“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”
เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที
“ท่านอ๋อง พระชายา”
“ท่านคือ?...”
“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”
“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”
“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”
เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา
“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”
“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”
เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งตะโกนเรียกหลี๋อ๋องเสียก่อน
“ท่านเจ้าเมืองหมอหญิงผู้นั้นต้องการสนทนากับท่านขอรับ”
“เอ๋ ตอนนี้เลยหรือ”
“ใช่ขอรับ”
“เอ่อ เช่นนั้นท่านอ่อง”
“ข้าจะไปกับท่านด้วย”
“เอาอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมไปกันเถอะ”
หวังตี๋เฟยเดินไปรอพวกเขายังหน้าประตูเมืองแล้วส่วนหลี๋อ๋องที่กำลังจะเดินตามไปก็ต้องหยุดเดินไปเสียก่อน
“เจ้ามากับข้า”
“เอ๋ ข้าหรือ”
“ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะก่อเรื่องอีกให้อยู่ในสายตาข้านี่แหล่ะดีแล้วตามมาเร็วเข้า”
“ก็ได้เพคะท่านอ๋อง”
‘เฮ้อ…เวรกรรมอะไรของข้ากันเนี่ย’
“ท่านอ๋อง”
ยังไม่ทันที่เขาจะออกเดินไปสมทบกับเจ้าเมืองเล่ออานก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเอาไว้เสียก่อน
'อะไรนักหนากันนะ’
เสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเรียกหลี๋อ๋องเอาไว้เมื่อเยว่หลิงหันไปมองก็ถึงกับงุนงง
‘ฉางอิ๋นเซียนหรือมาได้อย่างไรกัน?’
“เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“หม่อมฉันได้ยินว่าท่านอ๋องต้องเดินทางมาที่นี่
เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงไม่นานก็ต้องมาที่นี่อีกแล้ว ในฐานะที่หม่อมฉันเป็น..”
เยว่หลิงเอียงคอเล็กน้อยกับคำพูดสองแง่สองง่ามของนางเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้พูดสอดแทรกขึ้นมาแต่อย่างใด
“ในฐานะที่หม่อมฉันเคยเป็นสหายวัยเยาว์ของท่านอ๋องก็รู้สึกเป็นห่วงท่านอ๋องเล็กน้อยเพคะจึงแอบตามมา”
“จริงหรือนี่เจ้าช่างเป็นสตรีที่จริงใจเสียจริง ท่านอ๋องมีมิตรย่อมดีกว่าศัตรูท่านว่าหรือไม่เพคะ”
หลี๋อ๋องไม่ได้ตอบนางแต่อย่างใดเพราะไม่มั่นใจที่นางถามนั้นเป็นเพราะนางอย่างรู้จริงๆหรือเพียงแค่ประชดเขาเท่านั้น
“แล้วเจ้ามากับใครงั้นหรือแม่นางฉาง”
“ข้ามาเพียงลำพัง”
“ว้าวจริงหรือนี่ สตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าเหตุใดถึงกล้าเดินทางมาที่นี่เพียงลำพังกันล่ะ”
“แต่เท่าที่ข้าจำได้ เจ้าเองก็แอบตามข้ามาเหมือนกันนะ”
หลี๋อ๋องพูดขัดนางขึ้นมาทันใด ทว่าเยว่หลิงกลับไม่สนใจที่เขาพูดประชดนางสักเพียงนิด
“นั่นไม่เหมือนกันข้าเป็นชายาของท่านต่อให้ทหารของท่านเห็นข้าพวกเขาก็ไม่กล้าไล่ข้ากลับ อีกอย่างท่านก็รู้ว่าข้านั้นมีมิตรสหายที่สามารถปกป้องข้าได้ แต่นาง…”
“นางอะไร”
“นางเป็นคนรักของท่านใช่หรือไม่หากเกิดอะไรขึ้นกับนางท่านจะไม่เสียใจหรือ”
เยว่หลิงกระซิบกับเขาเบาๆโดยไม่ให้ฉางอิ๋นเซียนได้ยิน
“เหลวไหล”
หลี๋อ๋องรีบปฎิเสธนางทันที ฉางอิ๋นเซียนไม่รอช้ารีบเข้ามาคล้องแขนหลี๋อ๋องเอาไว้
“ท่านอ่องข้าได้ยินว่าท่านจะไปตรวจชาวบ้าน เช่นนั้นพาข้าไปด้วยนะเพคะ”
“ไม่ได้ ที่นั่นมีโรคระบาดจะพาเจ้าไปได้อย่างไร”
“พระชายายังไปได้เลย”
“นางเป็นชายาของข้าหากเกิดอะไรขึ้นข้าย่อมรับผิดชอบไหว แต่เจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าข้าไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบนั้นได้”
“ท่านอ๋อง หากว่านางอยากไปจริงๆก็ให้นางไปเถอะเพคะ เพียงแต่อย่าก่อความวุ่นวายก็พอ”
เยว่หลิงพูดจบก็เดินหนีพวกเขาออกมาทันทีก่อนจะเดินไปสมทบกันกับเจ้าเมืองเล่ออานที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
หลี๋อ๋องที่เห็นว่านางเริ่มแสดงความเอาแต่ใจออกมาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วรีบเดินตามนางไปด้วยความรวดเร็ว
ฉางอิ๋นเซียนที่เห็นว่าหลี๋อ๋องตามใจพระชายาผู้นี้เป็นอย่างมาก ในใจของนางก็เริ่มร้อนเป็นไฟความอิจฉาประทุขึ้นมาในนั้นเงียบๆ
“ท่านอ๋องข้าต้องขออภัยด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่รู้ว่าพระชายาจะมาที่นี่ด้วยจึงไม่ได้เตรียมรถม้าเอาไว้รถม้าที่มีก็ใช้ขนเสบียงยาและอาหารไปที่หุบเขาแล้ว”
“ไม่เป็นไร”
“รถม้าของข้าอย่างไรล่ะ”
“พระชายารถม้าที่ท่านนั่งมานั้นล้อของมันพังแล้วเพคะยังต้องซ่อมอีกนานเลย”
“อะไรกัน แล้วท่านมีม้าอีกกี่ตัวล่ะเอามาให้ข้าที”
“จะหาเพิ่มให้เสียเวลาทำไมเจ้าก็ไปกับข้าอย่างไรล่ะ”
“ท่านอ๋อง แล้วหม่อมฉันล่ะเพคะ”
“หืม”
เยว่หลิงหันไปมองฉางอิ๋นเซียนทันที
‘นี่นางตั้งใจจะนั่งม้าตัวเดียวกับสามีของข้าสินะถึงได้ถามเช่นนั้น ช่างน่าชังเสียจริง!’
“ข้าจำได้ว่าเจ้าขี่ม้าเป็นนะฉางอิ๋นเซียน”
หลี๋อ๋องกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เวลานี้ใจของเขาจดจ่ออยู่ที่ผู้ป่วยที่หุบเขาเหอหนานนั่นแล้วไม่อยากจะเสียเวลาไปอีกแม้เพียงนิด
“คือว่า…”
“ท่านอ๋องข้าน้อยขอมอบม้าของข้าให้แม่นางผู้นั้นนะพ่ะย่ะค่ะส่วนข้าจะขึ้นม้าอีกตัวแทน พวกเรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”
“อืม”
เยว่หลิงที่ยืนกอดอกมองดูฉางอิ๋นเซียนอยู่นั้นเป็นต้องตกใจผวาเข้ากอดแขนของเขาแน่นส่วนฉางอิ๋นเซียนเองก็เบิกตากว้างทันใดที่เห็นภาพตรงหน้า
หลี๋อ๋องที่ขึ้นควบม้าของเขาแล้วเอี้ยวตัวใช้แขนแกร่งของเขาเพียงข้างเดียวโอบเอวของเยว่หลิงไว้แน่นแล้วโอบอุ้มนางขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหน้าของเขาทันที นางมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
‘สักวันเถอะเจ้าจะต้องหายไปจากโลกนี้ไปตลอดกาล เยว่เหวินหลิง!’