11

2258 Words
ชายชุดดำซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง ค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีลง เขาพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ท่านเป็นหมอหรือ” เฟิงหลี่เฉียงยิ้มนิดๆ “ข้าเป็นบัณฑิตชื่อ เฟิงหลี่เฉียง แต่ก็รู้การแพทย์ด้วย” อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยไปส่งข้ายังสถานที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่” เด็กหนุ่มถามเขาตรงๆ ว่า “ขออภัย ข้าต้องขอสอบถามก่อนว่าเป็นที่ใด” ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อนจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปด้วย ชายชุดดำก็ตอบตามตรงว่า “องครักษ์เสื้อแพร จินอวี่เว่ย” เขารู้ว่าตนเองต้องพึ่งพาเด็กหนุ่มคนนี้ เพื่อรีบกลับไปรายงานข่าวสำคัญที่ไปสืบมา และชายชุดดำรู้ดีว่า หากเด็กหนุ่มคิดไม่ซื่อกับเขา การตามหาตัวเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับราชองครักษ์อย่างพวกเขา เด็กหนุ่มจึงรับปาก เขาคิดอยู่แล้วว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นทหาร เขาจึงบอกลู่ปู่ให้เตรียมรถไว้ และช่วยกันประคองชายชุดดำไปขึ้นรถลาก และมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกของเมืองหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของพระราชวัง เชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูง ชายชุดดำบอกให้พวกเขาไปจอดที่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ที่มีรั้วรอบขอบชิดอยู่ใกล้กับเขตพระราชวัง เมื่อเห็นรถของชาวบ้านมาจอดด้านหน้า ทหารที่รักษาความปลอดภัยก็รีบเดินมาที่รถ และถามลู่ปู่ด้วยเสียงดุดันว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการมาพบใคร” แล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังมาจากในรถ “ข้าเอง! มาช่วยพาข้าลงจากรถเดี๋ยวนี้!” ทหารยามหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาจำเสียงนี้ได้ ในขณะที่เฟิงหลี่เฉียงเปิดประตูรถ และประคองชายชุดดำที่หน้าตาซีดเซียวลงมาจากรถ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ทหารยามอุทานออกมาว่า “ผู้กองเว่ย!” และรีบกระวีกระวาดเข้ามาช่วยประคอง พาเข้าไปในประตูใหญ่ แต่ก่อนจะหายเข้าประตูไปนั้น ชายชุดดำหรือผู้กองเว่ย ก็หันมาพูดกับเด็กหนุ่มที่ยืนมองดูพวกเขาว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก แล้วข้าจะตอบแทนพวกท่านในภายหลัง” เฟิงหลี่เฉียงก้มหัวลงเล็กน้อย เขาเดินกลับไปที่รถลาก และขึ้นไปนั่งข้างลู่ปู่ จากนั้นก็ขี่รถลากออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้กองเว่ยซึ่งมองตาม อดคิดในใจไม่ได้ว่า บัณฑิตคนนี้มีจิตใจแข็งแกร่งมั่นคง เพราะคนทั่วไป เมื่อได้ยินชื่อของจินอวี่เอ่ย ต่างพากันหวาดกลัวและถอยห่าง แต่เด็กหนุ่มคนนี้ กลับช่วยเหลือเขาด้วยท่าทีนิ่งเฉยอย่างน่าประหลาด เมื่อขี่รถออกห่างมาแล้ว ลู่ปู่ที่รู้สึกตื่นเต้นก็อดถามเด็กหนุ่มไม่ได้ว่า “เสี่ยวเฉียง จินอวี่เว่ย น่ากลัวอย่างที่คนเขาลือจริงหรือ” เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะ และอธิบายว่า “จินอวี่เว่ย หรือองครักษ์เสื้อแพร เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง คือ จักรพรรดิหงอู่ ทำหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ และยังมีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม นั่นคือ สามารถดำเนินคดีกับใครก็ได้อย่างมีเสรี โดยเฉพาะกับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ หน่วยงานนี้ยังทำงานเป็นหน่วยข่าวกรองให้กับฮ่องเต้ด้วย แบบนี้แล้ว ท่านคิดว่าพวกเขาน่ากลัวหรือไม่ล่ะ” ลู่ปู่หดคอลงด้วยความสยดสยอง “ข้าเคยได้ยินมาว่า จินอวี่เว่ย จะจับกุมใครไปสอบสวนก็ได้ ผู้คนก็เลยทั้งเกลียดทั้งกลัว!” เด็กหนุ่มรีบบอกให้เขาพูดเบาๆ เพราะบริเวณนี้ยังอยู่ในเขตของชนชั้นสูง ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดหรือไม่ พวกเขาจึงรีบเดินทางกลับไปยังบ้านเช่าที่อยู่เขตเมืองชั้นนอกโดยไม่รอช้า หลังจากนั้น ชีวิตของเฟิงหลี่เฉียงก็กลับมาสู่ความปกติ ในระหว่างที่รอผลการสอบฮุ่ยซื่ออยู่นั้น เฟิงหลี่เฉียงยังคงอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในระดับพระราชวัง ซึ่งเป็นการสอบระดับสุดท้าย เขามั่นใจว่าตัวเองจะต้องติดอยู่ใน 10 อันดับแรกอย่างแน่นอน ในอีกสองอาทิตย์ต่อมา ก็ถึงวันประกาศผลการสอบในระดับประเทศ ลู่ปู่ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนไปดูผลการสอบให้เฟิงหลี่เฉียงมาตลอดระยะเวลา 9 ปี ก็ออกเดินทางไปที่สนามสอบตั้งแต่เช้า ถึงแม้เด็กหนุ่มจะบอกว่า เขาจะไปดูเอง แต่ลู่ปู่ยืนยันว่า “เจ้าอยู่บ้านแต่งตัวรอเอาไว้ ทางการจะต้องส่งคนมาประกาศผลจินชื่ออันดับหนึ่งอย่างแน่นอน!” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “พี่เชื่อใจข้าขนาดนั้นเลยหรือ” ลู่ปู่มองดูเด็กชายที่เขาเห็นมาตั้งแต่อายุหกขวบ ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้ว 12 ปี จากเด็กน้อยไร้เดียงสา ได้กลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความคิดโตเกินวัย และกำลังจะได้เป็นขุนนางอนาคตไกล สำหรับลู่ปู่แล้ว เฟิงหลี่เฉียงเป็นเหมือนกับญาติคนหนึ่ง ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างมั่นใจ โดยไม่พูดอะไรอีก แต่เด็กหนุ่มกลับบอกว่า ครั้งนี้เขาอยากจะเห็นชื่อบนป้ายประกาศด้วยตาของเขาเอง เพราะนี่คือการสอบครั้งสำคัญ ด้วยเหตุนี้ ลู่ปู่กับเฟิงหลี่เฉียงจึงขี่รถลากไปที่ลานหน้าสนามสอบด้วยกัน ในตอนนี้เริ่มมีคนมาเฝ้ารอดูผลจำนวนมากแล้ว โชคดีที่พวกเขามาแต่เช้า จึงไปยืนรอใกล้ๆ ได้ เมื่อได้เวลา พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่หลายคน ถือกระดาษมาหลายแผ่นเพื่อติดประกาศ เจ้าหน้าที่ตะโกนเสียงดังว่า “ถอยออกไป ทางการจะติดประกาศผลการสอบฮุ่ยซื่อแล้ว!” พวกเขาถอยออกมา ในขณะที่เจ้าหน้าสองคนช่วยกันติดประกาศ คนหนึ่งทากาว คนหนึ่งส่งกระดาษให้ และอีกคนแปะกระดาษไว้ที่กระดานประกาศผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเดินห่างออกมา ผู้คนต่างกรูกันเข้าไปดูผลอย่างตื่นเต้น สำหรับเฟิงหลี่เฉียงที่มีวรยุทธ์ แต่ไม่อยากทำตัวเด่นด้วยการตีลังกาข้ามหัวคนอื่นไป เขาจึงเดินตามลู่ปู่ที่แทรกตัวเข้าไปดูประกาศอย่างใจเย็น ในระหว่างนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจ และเสียงร้องไห้ดังลั่นด้วยความผิดหวังจากผู้เข้าสอบดังไปทั่วบริเวณนั้น หลายคนที่เป็นทั้งบัณฑิตและคนที่มาเฝ้ารอดู ต่างพากันตะโกนถามเสียงดังลั่นว่า “ใครได้เป็นฮุ่ยหยวนในปีนี้! บอกชื่อมาหน่อยสิ ข้าอยากรู้!” “ใช่ๆ ฮุ่ยหยวนปีนี้ชื่ออะไร ใครเห็นชื่อบ้าง!” “นี่ๆ ชื่ออยู่ตรงนี้!” ใครคนหนึ่งตะโกนด้วยความตื่นเต้น เฟิงหลี่เฉียงที่เข้าไปถึงป้ายประกาศแผ่นแรก ก็กวาดสายตาดูผลการสอบอย่างตื่นเต้นเหมือนคนอื่น เขาไล่รายชื่อผ่านตาไปนับสิบคน แต่ก็ยังไม่เห็นชื่อของตัวเอง แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “ฮุ่ยหยวนปีนี้ ชื่อ เฟิงหลี่เฉียง!!” แล้วเสียงของคนที่มาเฝ้าดูก็ฮือฮาด้วยความชื่นชมและความอิจฉาผสมกันไป ลู่ปู่หันขวับมามองเจ้าของชื่อที่เป็นฮุ่ยหยวนปีนี้ เฟิงหลี่เฉียงยิ้มกว้างออกมา ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อยด้วยความดีใจ ถึงเขาจะมั่นใจว่าตัวเองทำได้ แต่การได้รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ที่ทำคะแนนสอบได้สูงสุด ก็ทำให้เขาดีใจมากเช่นกัน ลู่ปู่ซึ่งก็หน้าแดงด้วยความตื่นเต้น ตบหลังเขาด้วยความดีใจ “ยินดีด้วยนะเสี่ยวเฉียง!” ถึงตอนนี้ เฟิงหลี่เฉียงสามารถแหวกผู้คนเข้าไปดูชื่อของตัวเองได้แล้ว บนกระดาษแผ่นใหญ่สีขาว เฟิงหลี่เฉียงเห็นชื่อตัวเองโดดเด่นอยู่เป็นอันดับแรก เขาจึงมั่นใจว่า นี่คือชื่อของเขาแน่นอน แต่ก่อนที่จะรีบถอยออกมา เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อดังมาจากข้างหลังว่า “เฟิงหลี่เฉียง!” เมื่อหันไปดู ก็พบบัณฑิต 4-5 คนที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน มองตรงมาที่เขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บางคนแสดงความยินดีอย่างจริงใจ บางคนไม่มองหน้าเขา และบางคนก็ฝืนแสดงความยินดี แต่ไม่ว่าจะแบบไหน เฟิงหลี่เฉียงก็ไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มขอบคุณและแสดงความยินดีกับคนอื่นด้วยเช่นกัน หลังจากรู้ว่าใครได้เป็นฮุ่ยหยวนปีนี้ ไม่ว่าเฟิงหลี่เฉียงจะเดินไปทางไหน สายตาของผู้คนนับสิบต่างก็จ้องมองมาที่เขา ไม่เพียงแต่เป็น ฮุ่ยหยวนที่อายุน้อย เขายังมีหน้าตารูปร่างดีด้วย และที่สำคัญ บางคนที่มามุงดูรอบนอก เริ่มพยักหน้าให้ลูกน้องและคนรับใช้เตรียมชิงตัวฮุ่ยหยวนคนนี้กลับบ้าน! นี่คือธรรมเนียมที่บางคนนิยมทำ คนที่สอบผ่านและได้เป็นบัณฑิตที่มีคะแนนสูง ถือกันว่าเป็นคนที่มีอนาคตไกล ใครๆ ต่างก็อยากจะได้เป็นลูกเขย และถ้ามัวแต่รีรอ คนอื่นจะชิงตัดหน้าไปเสียก่อน พ่อแม่บางคนที่มีเงินและมีอิทธิพล จึงพาลูกน้องมายืนรอ และดูว่าคนไหนที่ดูจะมีอนาคตไกล เมื่อประกาศผลแล้ว พวกเขาก็จะกรูกันเข้าไปแบกร่างบัณฑิตที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับบ้าน และบังคับให้แต่งงานกับลูกสาวของตน เช่นเดียวกับการประกาศผลสอบครั้งนี้ ที่เป็นการประกาศผลบัณฑิตในระดับประเทศ คนที่ผ่านการสอบ สามารถเข้ารับราชการเป็นข้าราชการระดับสูงได้ทันที ดังนั้น เมื่อคนที่มารอ เห็นว่าฮุ่ยหยวนปีนี้ ทั้งหนุ่มทั้งหล่อ พวกเขาจึงไม่รอช้า ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปหาเฟิงหลี่เฉียง ที่เดินออกมาพร้อมกับลู่ปู่แค่สองคน บางกลุ่มหันไปแย่งชิงตัวบัณฑิตคนอื่น เพราะเห็นว่าคู่แข่งที่จะชิงตัวฮุ่ยหยวนคนนี้มีมากเกินไป เสียงทะเลาะเบาะแว้งและเสียงร้องโวยวายขอความช่วยเหลือดังไปทั่ว แต่เฟิงหลี่เฉียงรู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เมื่อเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคนวิ่งกรูเข้ามา บางคนยื่นมือเข้ามาเพื่อจะจับแขนขาของเขาเพื่อแบกออกไป แต่คนที่ยืนมองความครึกครื้นก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นบัณฑิตร่างสูงผอมคนนี้พริ้วตัวหลบมือของชายเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือกระแทกเข้าไปที่หลังของพวกเขา ทำให้คนเหล่านั้นที่ตัวใหญ่กว่ามาก ล้มถลาลงไปที่พื้น บัณฑิตหนุ่มยังกระโดดลอยตัวขึ้น ยกขาขึ้นถีบไปที่หน้าอกของคนเหล่านั้น จนหงายหลังกระแทกพื้น ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ที่จริงแล้วเฟิงหลี่เฉียงไม่ได้ใช้แรงมาก เพราะเขารู้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้ต้องการทำร้ายเขา แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ชอบวิธีการลักพาตัวเช่นนี้ เมื่อเห็นบัณฑิตบางคนถูกลากตัวไปโดยไม่ยินยอม เฟิงหลี่เฉียงก็ตามไปจัดการกับคนเหล่านั้นอีก 2-3 กลุ่ม เขายังหันไปตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่อำเภอให้มาช่วยด้วยความโมโห “พี่ชาย! ท่านปล่อยให้คนพวกนี้ลักพาตัวบัณฑิตได้อย่างไร! มาช่วยพวกเขาด้วย!” เจ้าหน้าที่จากอำเภอที่ยืนอยู่ตรงประตู จึงรีบเข้ามาช่วยเหลือบัณฑิตอ่อนแอที่น่าสงสารเหล่านี้ ในที่สุดความวุ่นวายจึงยุติลง ทั้งบัณฑิตและผู้คนที่เฝ้ามองอย่างใจหายต่างก็ตบมือชื่นชม และขอบคุณฮุ่ยหยวนคนนี้ ที่ไม่เพียงแต่เฉลียวฉลาด แต่ยังมีวรยุทธ์อีกด้วย! ในวันนั้น เขากับลู่ปู่รีบเดินทางกลับ เพื่อไปต้อนรับขบวนประกาศจากทางการที่จะเดินทางไปที่บ้านเช่าของเขา และก็เป็นเช่นเดียวกับทุกครั้ง ขบวนตีฆ้องร้องป่าวจากทางการก็เดินทางมาถึง ชาวบ้านในเมืองหลวงคุ้นชินกับภาพนี้ ที่จะเกิดขึ้นทุก 3 ปี แต่ที่ทำให้ชาวบ้านแถวนี้ตื่นเต้น คือ บัณฑิตฮุ่ยหยวนของปีนี้ คือ เฟิงหลี่เฉียงที่พวกเขารู้จักนั่นเอง! บ้านเฟิงออกมายืนรอรับขบวนแห่ รับเอาม้วนประกาศแต่งตั้ง และรางวัลจากทางการไปเก็บไว้ ลู่ปู่มอบเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้ประกาศเพื่อเป็นการขอบคุณ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มองด้วยความชื่นชม พวกเขาอยากให้เด็กหนุ่มอยู่แถวนี้ต่อไป เพื่อที่พวกเขาจะได้พึ่งพา แต่ก็นั่นละ ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของเด็กหนุ่มจะเป็นอย่างไร เขาอาจจะถูกแต่งตั้งไปทำงานต่างเมือง หรืออาจจะถูกแต่งตั้งไปทำงานในวังก็ได้!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD