ตอนที่ 2: ผู้ช่วยชีวิต

1984 Words
“พี่สาวครับ ผมไม่มีบ้านแล้ว พ่อแม่บอกว่าผมคือตัวปลอม ไม่ใช่ลูกของเขา พวกเขาไล่ผมออกมา ยังปล่อยหมาไล่กัดเพื่อไม่ให้ผมกลับไปหาพวกเขาอีก ผมไม่มีที่ไปฮื่อๆ” คราวนี้ “ถงหยวน” ปล่อยโฮ แม้เขาจะยึดมั่นว่าลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตาและพยายามเข้มแข็ง แต่เขาเป็นแค่เด็กอายุแปดขวบเท่านั้น ยังต้องเผชิญโลกกว้างลำพัง ชิงเกอได้ยินถึงกับพูดไม่ออก เธอเคยเห็นแต่ในละครสั้นเรื่องสลับลูกตัวจริงตัวปลอม หรือทำลูกหายจึงรับเอาเด็กมาเลี้ยง พอตามหาเจอกับทอดทิ้ง จึงสงสารเขามาก “ตอนนั้นที่นายช่วยฉันเพราะเดินตากฝน ยังไม่รู้จะไปที่ไหนสินะ” “อื้อ! ฉันไปหลบฝนที่ใต้สะพาน เพราะมันดึกมากและฉันก็ง่วง ไม่คิดว่ายังมีคนหวง พวกเขาบอกว่าที่นั่นเป็นของเขา หากไม่รีบไปจะซ้อมฉันให้ตาย แล้วจะเอาไปขายให้แก๊งค้ามนุษย์” ถงหยวนปาดน้ำตาเช็ดขี้มูก ตอนนั้นเขากลัวมากจริงๆ เขาอยากวิ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แต่ทำไม่ได้อีกแล้ว “ไม่เป็นไรนะ ให้พี่สาวกอดเธอแทนแม่ก็ได้ ดูสิ ตากฝนจนตัวแห้งจะทำให้เป็นหวัด เอาแบบนี้ เราไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลกัน จะได้ไปซื้อเสื้อใหม่” “พี่สาวครับ พี่พาผมไปส่งที่บ้านเด็กกำพร้าได้ไหม ผมหิว ผมอยากมีที่ซุกหัวนอน ไม่อยากเร่ร่อน” “....” คำพูดนี้กระแทกใจชิงเกออย่างจัง เขาต้องสิ้นหวังและเข้มแข็งขนาดไหนถึงพูดคำนี้ออกมา เด็กคนหนึ่งที่มีพร้อมทุกอย่าง กลับถูกทอดทิ้งเพียงเพราะความผิดพลาดที่เขาไม่ได้ก่อ คนที่เป็นพ่อแม่ใจร้ายเกินไปแล้ว อย่างไรเลี้ยงดูมาตั้งหลายปี ไม่มีความรัก ก็ควรมีความผูกพัน กระแสความโกรธของเธอนั้นรุนแรงกว่าที่มีต่อหลี่หยางหยางกับชีหวายอันเสียอีก “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้น เอาแบบนี้เธอไปอยู่กับพี่สาวก่อน ในเมื่อเทพองค์นี้เคยช่วยชีวิตฉันไว้ ต่อไปฉันจะบูชาเธอ” “พี่พูดจริงหรือ! แต่ แต่ฉันจะเป็นภาระหรือเปล่า พ่อแม่ชอบพูดว่าฉันดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง พวกเขาเริ่มไม่ชอบฉัน เมื่อลูกแท้ๆ กลับมา” ชิงเกอกลับคิดว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาซนไม่เชื่อฟังหรอก แต่เป็นอารมณ์เบื่อหน่ายที่ขาดความรับผิดชอบ ตอนคิดว่าเป็นลูกก็รักใคร่ดี พอรู้ว่าไม่ใช่ร้อยพันข้ออ้างพ่นออกมาทำร้ายความรู้สึกเขา เพื่อให้เขาเชื่อว่าคือเขาเองที่ผิด “ฉันคิดว่าเธอยังพอบอกสอนได้ ในเมื่อเธอไม่อยากเป็นภาระฉัน เธอต้องรู้ว่าควรทำยังไง เธอก็เห็นว่าพี่สาวคนนี้ไม่ใช่คนรวยจากไหน การอยู่ด้วยกันอาจไม่สุขสบายนัก แต่รับรองว่าไม่ถึงขั้นไปคุ้ยขยะข้างนอก” ปลายนิ้วเขี่ยจมูกเบาๆ อย่างเอ็นดู เธอเคยอยากมีน้องชายแต่พ่อแม่งานยุ่ง มันไม่ค่อยดีนักที่จะให้เด็กเกิดมาอีกคนแต่กลับไม่มีเวลาดูแลเขา “แล้วพี่จะไหวหรือ” “ไหวสิ อย่าคิดมาก” อย่างน้อยตอนนี้เธอยังมีงานทำ แม้จะเป็นเพียงพนักงานบริษัท คอยจัดการเอกสารตัวเล็กๆ แต่มีบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เงินเดือนจึงเลี้ยงปากท้องได้ เพิ่มเด็กมาอีกคนก็ไม่ทำให้ขัดสนเท่าไร ปัญหา…. คือคุณภาพชีวิตของเขา ทั้งการศึกษา สภาพแวดล้อมและสังคม ไม่แน่ใจว่าจะดูแลเขาได้ดีไหม? เธอไม่มีพี่น้อง ไม่เคยเลี้ยงเด็ก ยิ่งไม่เคยเป็นแม่ งานนี้คงต้องเรียนรู้กันยาว แต่พอมองเขาแล้วเธอไม่สามารถปล่อยไปได้จริงๆ และตอนนี้เธอเหงามาก… ไร้ที่พึ่งพิงทางใจเช่นเดียวกัน หลังจากติดต่อทำเรื่องเพื่อออกจากโรงพยาบาล ชำระค่าใช้จ่ายเสร็จสิ้น จึงออกไปเรียกรถเพื่อต่อรถไฟฟ้าใต้ดินกลับไปยังที่พัก ตลอดเวลานั้นชิงเกอสมองไม่ว่าง เธอเอาแต่คิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไปในอนาคต จนกระทั่งถงหยวนเอ่ยเรียกเธอ “พี่สาว” “หืม ว่าอย่างไร” “ปวดฉี่” เด็กชายพูดอย่างอายๆ เขานั่นอดกลั้นมาสักพัก ชิงเกอได้ยินกลับเอ็นดู แต่อีกสิบนาทีจึงถึงที่พัก เกรงว่าเขาจะทนไม่ไหว “รอเดี๋ยวนะ รถไฟสายนี้วิ่งยาว ฉันจะลองถามพนักงานเผื่อเขาจะพอช่วยได้” “ผม… คิดว่าทนไหว ว่าแต่อีกนานไหมกว่าจะถึง” “สิบห้านาทีแน่ะ คิดว่าไหวรึเปล่า?” ชิงเกออยากหัวเราะ แต่ไม่อยากทำให้เขาอายจึงเก็บรอยยิ้มขบขันไว้ ดูเอาเถอะทั้งที่เขาปวดแทบแย่ แต่ยังแสดงออกว่าไหว “เอ่อ... ถ้าไม่ขยับไม่สะเทือนก็ไหว” ถงหยวนรู้ขีดจำกัดตัวเอง เขานั่งนิ่งผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอ ชิงเกออยากช่วย แต่เห็นแววตาหนักแน่น จึงไม่อยากทำลายความเคารพตัวเองของเขา นั่งเอาใจช่วยเขาอยู่ข้างๆ ซึ่งถงหยวนทำได้ดีมาก เขาอดทนจนรอถึงสถานีปลายทาง แต่ท่าเดินเข้าห้องน้ำของเขาก็น่าเอ็นดู ชิงเกอที่อยู่ในอารมณ์อ่อนไหวกลับผ่อนคลายลงอย่างเหลือเชื่อ เธอเพิ่งเข้าใจคำว่า... อย่าปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านตอนเป็นทุกข์ เพราะมันจะดำดิ่งลึกจนปีนขึ้นมายากลำบาก แต่พอมีอะไรทำก็ช่วยให้เราห่างไกลความเศร้าไปชั่วขณะ ขณะที่เธอยืนรอหน้าห้องน้ำ ห่างตาเห็นตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ คิดคำนวณดูตอนนี้เจ็ดโมงเช้า เธอถูกนำส่งโรงพยาบาลตอนห้าทุ่มเด็กน่าจะยังไม่ได้กินอะไร พยาบาลบอกเธอว่าถงหยวนนั่งเฝ้าเธอทั้งคืน นอกจากเข้าห้องน้ำก็ไม่ยอมออกห่าง จึงกดนมกับน้ำผลไม้มาอย่างละหนึ่งกระป๋อง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าถงหยวนชอบหรือไม่ชอบอะไร ยิ่งไม่รู้ว่าเขามีอาหารที่แพ้รึไม่ “พี่สาว” “มาแล้วหรือ ดีขึ้นไหม” เธอกล่าวพลางส่งเครื่องดื่มให้ “พี่สาวคนนี้ไม่รู้ว่าเธอทานอะไรได้บ้าง แพ้อะไรรึเปล่า เลือกกดมาเยอะหน่อย” เห็นสีหน้าที่งงงวยของเขาเธอจึงอธิบายอย่างใจดี ถงหยวนก้มดูอย่างตื่นเต้น เขาทำเหมือนไม่เคยเห็น นั่นทำให้ชิงเกอคิดว่าเขาถูกจำกัดอิสระจนไม่เคยได้ลิ้มลอง ซึ่งถูก! เพราะมาตรฐานที่เข้มงวด อาหารขยะขนมขบเคี้ยวเป็นของต้องห้ามสำหรับเขา แม้แต่การเล่นเกมอ่านการ์ตูนดูทีวีก็ทำไม่ได้ ภูมิหลังของครอบครัวนั้นมีไอคิวสูงเขาจึงต้องการต้นกล้าที่มีคุณภาพ เพื่อขยายสาขาชื่อเสียง “ฉันกินได้ทุกอย่าง ไม่มีของที่แพ้” เขารู้ เพราะจะถูกตรวจสุขภาพทุกหกเดือน เพื่อติดตามผลการเจริญเติบโต ทุกอย่างจะถูกบันทึกเป็นสถิตเปรียบเทียบ ถ้ามันด้อยกว่ามาตรฐานที่พ่อแม่กำหนด เขาจะต้องเข้ารับการเพิ่มศักยภาพทันที แม้ค่าเฉลี่ยจะสูงกว่าเด็กทั่วไป แต่ครอบครัวต้องการให้เขาเป็นอัจฉริยะ “ดี เช่นนั้นให้เธอหมดเลย” “พูดจริงหรือ! ฉันสามารถกินได้ทั้งหมด!” “จริงสิ ไป เราต้องไปหาซื้อผ้าชุดใหม่ให้เธอ” ชิงเกอพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้า เลือกชุดมาไว้สับเปลี่ยนก่อนสิบชุด แต่เธอต้องแปลกใจในการเลือกของถงหยวน ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือบังเอิญ เพราะแต่ละชุดที่เขาเลือกราคาไม่ถูกเลย จนเธอแอบปาดเหงื่อตอนจ่าย แต่ต้องยอมรับว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นมันเข้ากับเขามาก พอเสื้อเปลี่ยนแล้วเด็กคนนี้คือว่าที่หนุ่มหล่อ ที่สามารถเป็นดาราชั้นแนวหน้า ถ้าเธอพาไปออดิชั่นอาจผ่านจนได้โลดแล่นในวงการบันเทิง “พี่สาว สีหน้าพี่ไม่ดี หรือว่าฉันซื้อของที่แพงเกินไป” เขาถามอย่างระมัดระวัง หลงลืมไปว่าเธอเป็นเพียงพนักงานเงินเดือนธรรมดา ไม่ใช่ระดับผู้บริหารที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากมาย จึงหยิบโดยไม่คิด จะมาสังเกตก็ตอนจ่ายเงิน “อย่าคิดมาก ของพวกนี้เหมาะกับเธอ นี่ก็ใกล้สิ้นเดือน ไม่ลำบากหรอก ไปเถอะ เรายังต้องซื้อของใช้ส่วนตัวให้เธออีก แต่เธอหิวรึยัง” “ยังครับ ผมยังอิ่มอยู่ กินนมกับน้ำผลไม้ไปเสียเยอะ” เพราะเขาไม่เคยลิ้มลองเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง จึงกินอร่อยและอยากชิมทุกรส ทำเอาน้ำเต็มกระเพาะ ให้กินข้าวตอนนี้คงไม่ไหว เห็นว่าเขาไม่ได้พูดให้เธอสบายใจ จึงจูงมือไปดูของใช้สำหรับเด็กผู้ชาย ขณะที่เลือกของและจะไปจ่ายเงิน พลันเหลือบเห็นชีหวายอันที่พาหลี่หยางหยางมาเดินช็อปปิ้ง ชิงเกอกำหมัดยังกัดฟัน! ที่นี่ไม่ได้เป็นทางผ่านหรืออยู่ใกล้บ้านใกล้บริษัท ใช้หัวแม่เท้าก็รู้ว่าต้องเป็นหลี่หยางหยางที่ขอให้เขาพามา เพื่อหวังจะทำให้เธอเห็น ได้ทำร้ายจิตใจเธอ คงอยากให้เธอรู้ว่าพวกเขามีความสุขอย่างไร “พี่สาวครับ พี่กำลังโกรธหรือ?” เสียงเล็กๆ อันไร้เดียงสา ทำให้ชิงเกอได้สติ เธอหลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ ก่อนจะหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ฉันเพียงเห็นคนที่ไม่ชอบเลยหงุดหงิด ทำเธอตกใจหรือเปล่า” “ฉันอยากจัดการคนนั้น เพื่อแก้แค้นให้พี่ สัญญาว่าจะทำให้เขาต้องร้องขอชีวิต” คำพูดที่เข้าข้างแบบไม่มีเงื่อนไขกลับทำให้ชิงเกออุ่นซ่านในใจ ตั้งแต่พ่อแม่ตายไป ก็ไม่มีใครทะนุถนอมความรู้สึกเธอแบบนี้ “เด็กดี” บางทีพ่อแม่อาจเป็นห่วงเธอ เห็นว่าเธอเจ็บปวดและถูกรังแกจึงส่งถงหยวนมาให้ แม้ชิงเกอจะพยายามทำลายอารมณ์ที่ขุ่นมัว ด้วยการพาถงหยวนออกจากที่นั่นให้ไว แต่หลี่หยางหยางที่เห็นเธอเช่นกันไม่ยอมปล่อยผ่าน เธอจงใจชวนชีหวายอันให้เดินมาเจอ แสร้งทำเหมือนว่าเป็นเรื่องบังเอิญ “อ้าวพี่สะใภ้! ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี่” หลี่หยางหยางใช้น้ำเสียงร่าเริง มือสองข้างกระชับกอดแขนชีหวายอันอย่างเช่นคนรัก ใบหน้าที่เหมือนยกชาเขียวมาทั้งสวนทำให้ถงหยวนขมวดคิ้วไม่พอใจ เขามองอารมณ์ของพี่สาวก็เข้าใจได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ทำให้พี่เขาหงุดหงิด แต่ยังอยากรอดูอีกหน่อยจึงไม่พูดอะไร “เธอมาทำอะไรแต่เช้า” คู่หมั้นที่ดูประหลาดใจเอ่ยถามห้วนๆ เขามองชิงเกอตั้งแต่หัวจรดเท้า พบว่าเธอยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิม “วันนี้วันหยุด และฉันไม่ได้ทำงานที่บริษัทคุณ” น้ำเสียงที่เย็นชาของชิงเกอทำให้ชีหวายอันเปลี่ยนสีหน้า เขาคิดว่าเธอทำตัวเป็นเด็กที่งี่เง่า แต่พอคิดว่าเมื่อวานเขาทิ้งเธอไว้อาจทำให้โกรธจึงเปลี่ยนท่าทีลง ยังเดินเข้ามาเพื่อจะอธิบายกับคู่หมั้นอย่างใจเย็น “ชิงเกอ เรื่องเมื่อวานฉันรีบร้อนเกินไป หยางหยางเธอป่วยและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน” “ต้องโทษฉันที่ป่วยง่าย แต่..สุขภาพฉันไม่ดีนัก และฉันไม่ไว้ใจคนอื่น พี่หวายอันคือคนที่โตมาด้วยกัน ฉันคิดกับเขาเหมือนพี่ชาย พี่สะใภ้จะโกรธก็มาลงที่ฉันเถอะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD