⸻
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังเข้ามาใกล้
ก่อนที่บรรยากาศตึงเครียดตรงกลางลานจะระเบิดจริง ๆ
“พอ ๆ ๆ!”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
รดา เพื่อนสนิทของเพลงพิณ เดินพรวดเข้ามา ยืนขวางหน้าเธอไว้ทันที
มือหนึ่งดันไหล่เพลงพิณเบา ๆ
เหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะพุ่งไปทำอะไรสักอย่าง
“ใจเย็นก่อนพิณ”
รดากระซิบเสียงต่ำ
“หน้าแกตอนนี้เหมือนพร้อมตบคนจริง ๆ แล้วนะ”
เพลงพิณกำหมัดแน่น ไหล่เกร็ง
เธอไม่ตอบ แต่สายตายังจ้องขุนเขาไม่วาง
อีกฝั่งหนึ่ง วายุภัทรก็ขยับเข้ามาเร็วไม่แพ้กัน
ยืนข้างขุนเขา กดแขนเขาลงเบา ๆ แต่หนักแน่น
“เหี้ยเขา หยุดก่อน”
วายุพูดตรง ๆ ไม่อ้อม
“นี่มันลานกิจกรรม ไม่ใช่สนามประลองอีโก้”
ขุนเขาสะบัดแขนเล็กน้อย กรามขบแน่น
สายตายังไม่ละจากเพลงพิณ
“ฉันไม่ได้ทำอะไร”
เขาตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความหงุดหงิดชัดเจน
รดาหัวเราะหึในลำคอ
“ใช่ ไม่ได้ทำอะไรเลย”
เธอมองไปที่สาวที่ยังยืนอยู่ข้างขุนเขา
“แค่ควงโชว์กลางลาน แค่พูดประชด แค่กวนประสาทคนอื่นเล่น ๆ เองเนอะ”
ขุนเขาหันไปมองรดา แววตาเย็นวาบ
“เรื่องของฉัน” เขาพูด
“ไม่เกี่ยวกับนิเทศ”
เพลงพิณสะบัดมือเพื่อนออกเล็กน้อย
ก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว เสียงนิ่งกว่าที่ทุกคนคิด
“ถ้าไม่เกี่ยว” เธอพูดช้า ๆ
“ก็หยุดพูดถึงฉันได้แล้ว”
ประโยคนั้นทำให้ทั้งลานเงียบลงอีกครั้ง
วายุถอนหายใจยาว เอามือกุมขมับ
เหมือนคนปวดหัวกับเพื่อนตัวเอง
“เขา”
วายุหันไปพูดกับขุนเขา
“มึงกำลังทำตัวเหมือนหึง แต่ปากเสือกบอกว่าไม่เกี่ยว”
คำว่า หึง
เหมือนจุดไฟใส่ถังน้ำมัน
ขุนเขาหันขวับ
“ใครหึง”
รดายกมือขึ้นทันที
“โอเค หยุดค่ะ หยุดทั้งคู่”
เธอขยับมายืนกลางระหว่างสองคน
“นี่มันไม่ใช่เรื่องของใครแพ้ใครชนะแล้ว
มันคือเรื่องที่คนทั้งลานเริ่มมองออก”
เพลงพิณหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก
ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่พยายามนิ่งที่สุด
“ฉันไม่อยากมีปัญหาในงาน” เธอพูด
“และฉันก็ไม่อยากให้ใครเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับหน้าที่”
เธอหันไปมองขุนเขาตรง ๆ
ไม่ประชด ไม่ยิ้ม
“ถ้านายยังทำแบบนี้ต่อ” เธอพูด
“ฉันจะถือว่านายไม่ให้เกียรติฉันในฐานะเพื่อนร่วมงาน”
คำว่า เพื่อนร่วมงาน
แทงใจขุนเขาแรงกว่าคำด่าใด ๆ
เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ แห้ง ขม
“สบายใจดีนี่” เขาพูด
“พูดเหมือนฉันไม่เคยมีตัวตนอะไรกับเธอเลย”
รดาหันไปมองเขาแรง
“เฮ้ย อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อ”
“คนที่เริ่มเล่นเกมก่อนคือนาย”
วายุพยักหน้าเสริม
“เออ และเกมนี้ถ้ามึงไม่หยุด”
“มึงจะเป็นคนแพ้เอง”
ขุนเขานิ่งไป สายตาไหววูบเล็กน้อย
แต่ศักดิ์ศรียังรั้งเขาไว้
เขาหันหลังให้ทุกคน พูดทิ้งท้ายเสียงต่ำ
“ฉันไม่เล่นแล้วก็ได้”
“ถ้าเธออยากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เพลงพิณมองแผ่นหลังเขา
หัวใจหน่วงจนเจ็บ
“ดีค่ะ” เธอตอบ
“เพราะฉันก็ไม่อยากเล่นเกมของนายเหมือนกัน”
ขุนเขาหยุดเดินไปครึ่งวินาที
ก่อนจะก้าวต่อ ไม่หันกลับมา
รดารีบคว้าแขนเพลงพิณไว้
“พอแล้วพิณ”
“ถ้าแกเดินไปอีกก้าว แกจะร้องไห้จริง ๆ”
เพลงพิณกำเสื้อเพื่อนแน่น
เสียงสั่นเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้อยากร้อง” เธอกระซิบ
“ฉันแค่…ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้”
รดากอดไหล่เธอแน่น
“เพราะคนบางคนไม่รู้จักพูดความรู้สึกตรง ๆ ไง”
อีกฝั่ง วายุมองตามแผ่นหลังขุนเขา
ถอนหายใจหนัก
“มึงนี่มันโง่จริง ๆ” เขาพึมพำ
“แพ้ตั้งแต่ยังไม่ยอมรับว่าแพ้”
กลางลานกิจกรรม งานยังเดินต่อ
เสียงเพลงยังดัง คนยังยิ้ม
แต่สำหรับคนสี่คนตรงนั้น
ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะตั้งแต่วินาทีนี้
ไม่มีใครพูดได้เต็มปากอีกว่า
สองคนนี้แค่กัดกันเล่น ๆ
หลังขุนเขาเดินจากไป
ลานกิจกรรมกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
เสียงเพลง เสียงประกาศ เสียงคน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่เพลงพิณรู้ดี
ข้างในเธอพังไปแล้วบางส่วน
รดายังกอดไหล่เธอไว้
มืออุ่น ๆ เหมือนเป็นที่ยึดสุดท้าย
“พิณ ไปนั่งพักก่อนนะ” เพื่อนกระซิบ
“หน้าแกตอนนี้ไม่ไหวจริง ๆ”
เพลงพิณพยักหน้า ยังไม่พูดอะไร
เธอแค่รู้สึกว่า…
ถ้ายืนตรงนี้ต่ออีกนาที เธออาจเผลอร้องไห้ต่อหน้าคนทั้งลาน
และนั่นคือสิ่งที่เธอไม่ยอมเด็ดขาด
เธอหมุนตัว กำลังจะเดินออกจากโซนงาน
แต่ยังไม่ทันพ้นแนวเวที—
“คุณเพลงพิณครับ”
เสียงสุภาพ นุ่ม และคุ้นหูเกินไป
ดังขึ้นจากด้านหลัง
เพลงพิณชะงัก
เธอไม่อยากหัน
แต่สุดท้ายก็ต้องหัน
เพทาย วาตานนท์ ยืนอยู่ไม่ไกล
สูทสีเทาอ่อน เนี้ยบทุกกระดุม
รอยยิ้มละมุนแบบที่สื่อชอบ และคนส่วนใหญ่เชื่อใจ
เหมือนทุกอย่างถูกจัดวางไว้พอดีเกินไป
“บังเอิญจังเลยนะครับ” เขาพูด
สายตาอ่อนโยน
“ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่”
เพลงพิณฝืนยิ้ม ยิ้มตามมารยาท
แต่ในอกกลับหน่วง
“บังเอิญจริง ๆ ค่ะ” เธอตอบ
เสียงเรียบ
รดาขมวดคิ้วเล็กน้อย
มองเพทายแบบไม่ค่อยไว้ใจ
แต่ยังไม่พูดอะไร
เพทายเหลือบมองไปรอบ ๆ
เหมือนเพิ่งสังเกตบรรยากาศ
ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ผมเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นิดหน่อย” เขาพูด
“คุณโอเคไหม”
คำถามนั้น
เหมือนน้ำเย็นราดลงบนแผลสด
เพลงพิณเม้มปาก
ก่อนจะตอบสั้น ๆ
“โอเคค่ะ”
“แค่งานมันตึงนิดหน่อย”
เพทายพยักหน้า
เหมือนเข้าใจทุกอย่าง
ทั้งที่จริง ๆ เขาเลือกเข้าใจในแบบของตัวเอง
“ถ้าเหนื่อย” เขาพูด
“ผมพาออกไปข้างนอกไหมครับ
อากาศตรงนี้มันอึดอัด”
รดาหันมามองเพลงพิณทันที
สายตาเหมือนจะถามว่า โอเคไหม
เพลงพิณนิ่งไปครู่หนึ่ง
และในจังหวะนั้นเอง—
เธอเห็นขุนเขา
เขายืนอยู่อีกฝั่งของลาน
ยังควงสาวคนเดิม กำลังคุยกับคนในคณะ
หัวเราะนิด ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภาพนั้น
เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย
เธอรู้ตัวทันทีว่า
ถ้ายังอยู่ตรงนี้
เธอจะยังคงถูกดึงเข้าไปในเกมที่เธอไม่ได้เลือก
เพลงพิณสูดลมหายใจลึก
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพทาย
“ขอบคุณนะคะ” เธอพูด
น้ำเสียงสุภาพ แต่เว้นระยะชัดเจน
“แต่ฉันขอไปคนเดียว”
เพทายชะงักเล็กน้อย
รอยยิ้มยังอยู่ แต่แววตาไหววูบ
“ผมเป็นห่วง” เขาพูด
เสียงเบา
จริงใจในแบบที่คนฟังยากจะปฏิเสธ
เพลงพิณพยักหน้า
“ฉันรู้ค่ะ”
“แต่บางเรื่อง…ฉันต้องจัดการเอง”
เธอหันไปบีบมือรดาเบา ๆ
เหมือนขอบคุณ
ก่อนจะปล่อย
แล้วเธอก็เดิน
ไม่หันกลับไปมอง
ไม่มองขุนเขา
ไม่มองเพทาย
ไม่มองใครทั้งนั้น
เป็นครั้งแรก
ที่เพลงพิณเลือก
เดินออกจากสนามรบนี้ด้วยตัวเอง
เพทายมองตามแผ่นหลังเธอ
รอยยิ้มค่อย ๆ จางลง
เหลือเพียงสายตานิ่งเย็น
“น่าสนใจ…” เขาพึมพำกับตัวเอง
“…กว่าที่คิด”
อีกฝั่งหนึ่ง
ขุนเขาที่เหมือนจะไม่สนใจอะไร
กลับหยุดหัวเราะกลางประโยค
สายตาเขามองไปยังทางเดิน
ที่เพลงพิณเพิ่งหายไป
หัวใจเหมือนถูกบีบแรง ๆ
เขาไม่รู้ว่าเธอเดินไปกับใคร
แต่เขาเห็นเพทายยืนอยู่ตรงนั้น
เห็นชัดเกินไป
มือเขากำแน่นโดยไม่รู้ตัว
กรามขบจนขึ้นสัน
เธอเดินหนีจริง ๆ…
ไม่ใช่การประชด
ไม่ใช่การงอน
แต่เป็นการเลือก “ไม่อยู่”
และเป็นครั้งแรก
ที่ขุนเขารู้สึกได้ชัดเจนว่า
ถ้าเขายังไม่หยุดเล่นเกมโง่ ๆ นี้
คนที่แพ้
อาจไม่ใช่ใครอื่น
แต่เป็นเขาเอง 🥺⚙️