🃏
ตึกกิจกรรมนักศึกษาสว่างอยู่ไม่กี่ชั้น
ไฟสีขาวสะท้อนพื้นกระเบื้องจนดูโล่งผิดปกติ
เกือบสี่ทุ่ม
แต่ในห้องประชุมยังมีคนอยู่
เพลงพิณนั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะยาว
โน้ตบุ๊กเปิดค้าง เอกสารกองอยู่ข้างตัว
กาแฟแก้วที่สามเย็นชืดไปแล้ว
ฝั่งตรงข้าม
ขุนเขายืนพิงโต๊ะ มือหนึ่งถือแท็บเล็ต
อีกมือกดโทรศัพท์ สั่งทีมวิศวะให้เช็กงานรอบสุดท้าย
บรรยากาศเงียบ
ไม่ใช่ความอึดอัด
แต่เป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างค้างอยู่กลางห้อง
“ถ้าเวทีเลื่อนออกมาอีกนิด”
เพลงพิณพูดขึ้น
เสียงนิ่ง แต่จริงจัง
“ภาพรวมจะบาลานซ์กว่าเดิม”
ขุนเขาเงยหน้าขึ้นมอง
ไม่ได้สวนทันที
เขาเดินเข้ามาใกล้
ก้มดูแปลนที่เธอเลื่อนให้ดู
ระยะห่างใกล้กว่าที่ควร
ใกล้จนเพลงพิณรู้สึกได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ
และความร้อนจากร่างเขา
ภาพบางอย่างวาบขึ้นมาในหัว
แสงสลัว
ระยะใกล้แบบนี้
ลมหายใจที่เคยชิดกว่านี้มาก
เพลงพิณขยับตัวถอยออกมาเล็กน้อย
ขุนเขาเงยหน้าขึ้นพอดี
สายตาสบกันอีกครั้ง
ใกล้เกินไป
“เธอไม่สบายหรือเปล่า”
เขาถาม
น้ำเสียงไม่ได้แข็งเหมือนก่อน
“เปล่า”
เพลงพิณตอบเร็ว
“แค่เหนื่อย”
ขุนเขาพยักหน้า
แต่สายตายังไม่ละไปไหน
เขาหันกลับไปที่แปลน
นิ้วลากไปตามเส้น
“ถ้าเลื่อนแบบนี้”
เขาพูด
“ระบบไฟต้องขยับตาม แต่ทำได้”
เพลงพิณเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้า
“งั้นก็โอเค”
คำตอบสั้น
แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นแบบไม่มีเหตุผล
⸻
เที่ยงคืนกว่า
ทีมงานคนอื่นทยอยกลับหมดแล้ว
เหลือแค่สองคน
กับห้องประชุมที่เงียบเกินไป
เสียงเครื่องปรับอากาศดังสม่ำเสมอ
กับเสียงกดคีย์บอร์ดเป็นระยะ
เพลงพิณลุกขึ้นไปยืนยืดเส้น
เดินไปที่กระจกบานใหญ่
มองแสงไฟเมืองด้านนอก
“ปกตินายทำงานดึกแบบนี้บ่อยไหม”
เธอถาม
ไม่ได้หันกลับมา
“บ่อย”
ขุนเขาตอบ
“ชินแล้ว”
“เหมือนกัน”
เธอพูด
“แต่ไม่ชินกับการทำงานกับคนที่ชอบกวนประสาท”
เขาหัวเราะเบา ๆ
“เธอก็กวนผมไม่แพ้กัน”
เพลงพิณยิ้ม
แต่ยังไม่หันกลับ
“บางที”
เธอพูดช้า ๆ
“ฉันก็รู้สึกเหมือนเคยทำงานกับนายมาก่อน”
ประโยคนั้น
ทำให้ขุนเขานิ่งไป
เขาวางแท็บเล็ตลง
มองแผ่นหลังของเธอ
“ผมก็รู้สึกแบบนั้น”
เขาพูดเสียงต่ำ
“แต่ผมนึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่”
เพลงพิณหันกลับมา
สายตาทั้งคู่สบกันตรง ๆ
ความเงียบแทรกกลาง
หนักแน่นกว่าคำพูดใด ๆ
และในวินาทีนั้นเอง
ภาพหนึ่งก็ชัดขึ้นพร้อมกัน
⸻
ประตูปิด
เสียงดังเบา ๆ แต่ชัดเจน
ไฟในห้องไม่สว่าง
มีแค่แสงจากโคมข้างผนัง
ระยะห่าง
ใกล้กว่านี้
มือที่ยกขึ้นกั้นข้างศีรษะ
“อย่ามองแบบนั้น”
เสียงผู้หญิง
เสียงเดียวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
ขุนเขาขบกรามแน่น
เผลอหลับตาลงเสี้ยววินาที
เพลงพิณเองก็หน้าซีดลง
มือที่กำเสื้อคลายออกช้า ๆ
เธอเห็นภาพเดียวกัน
ชัดขึ้นเรื่อย ๆ
จนปฏิเสธไม่ได้
“นี่เรา…”
เธอพูดไม่จบ
“อย่าพูด”
ขุนเขาขัด
เสียงเขาไม่ดัง
แต่จริงจัง
เขาเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง
แต่ครั้งนี้หยุดอยู่ห่าง ๆ
เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง
“มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด”
เขาพูด
เหมือนกำลังบอกตัวเอง
เพลงพิณหัวเราะแผ่ว
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
ทั้งคู่ยืนเงียบ
หัวใจเต้นแรง
แต่ไม่มีใครก้าวเข้าไปอีก
“ถ้าคืนนั้น…”
เพลงพิณเริ่ม
แล้วหยุด
ขุนเขามองหน้าเธอ
สายตาซับซ้อน
“ผมยังไม่พร้อมจะยอมรับ”
เขาพูดตรง
“และถ้าเธอไม่พร้อม ผมก็จะไม่ถาม”
เพลงพิณพยักหน้า
ช้า ๆ
“ดีแล้ว”
เธอพูด
“ฉันก็ยังไม่อยากรู้ความจริงตอนนี้”
ทั้งคู่หันกลับไปเก็บของ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในใจ
ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
⸻
ก่อนแยกกันหน้าลิฟต์
ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง
ประตูกำลังจะปิด
“ขุนเขา”
เพลงพิณเรียก
เขาหันมา
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคืนนั้น”
เธอพูด
“ตอนนี้ เราก็ยังเป็นแค่คนทำงานร่วมกัน”
เขามองเธอ
ก่อนจะพยักหน้า
“ใช่”
“แค่คนทำงานร่วมกัน”
ลิฟต์ปิดลง
แต่ทั้งคู่รู้ดีว่า
คำว่า “แค่”
เริ่มไม่จริงอีกต่อไป
🃏 ครึ่งหนึ่งที่ยอมรับ (แต่ยังไม่พูดออกมา)
เช้าวันถัดมาในมหาวิทยาลัย
อากาศยังเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกไม่ใช่
เพลงพิณเดินเข้าคณะด้วยสีหน้าเรียบ
เสื้อเชิ้ตสีอ่อน กระโปรงเรียบ ผมรวบหลวม ๆ
ทุกอย่างดูปกติในสายตาคนอื่น
ยกเว้นในใจของเธอ
แพรวาเดินมาข้าง ๆ
มองหน้าเพื่อนแล้วขมวดคิ้ว
“เมื่อคืนทำงานดึกใช่ไหม”
เสียงถามเหมือนเดา ไม่ได้ถามจริง
เพลงพิณพยักหน้า
“อือ”
รดาที่เดินตามหลังมองสองคน
ก่อนจะพูดเรียบ ๆ
“แกดูเหมือนคนนอนไม่หลับ”
เพลงพิณหัวเราะเบา ๆ
“คงเพราะงาน”
คำตอบนั้น
ไม่ถึงกับโกหก
แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
เธอไม่ได้เล่าอะไรเพิ่ม
และเพื่อนก็ไม่ได้ซักต่อ
เพราะบางอย่างในแววตา
มันบอกชัดว่าเธอยังไม่พร้อม
⸻
อีกฝั่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย
ขุนเขาเดินเข้าคณะวิศวะพร้อมเพื่อน
สีหน้าเขายังนิ่งเหมือนเดิม
แต่เพื่อนกลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรต่างออกไป
“มึง”
แทนพูดขึ้น
“เมื่อคืนกลับกี่โมง”
“ดึก”
ขุนเขาตอบสั้น ๆ
“ทำงานกับดาว มอ. ใช่ไหม”
โอมแซว
น้ำเสียงกวนตามเคย
ขุนเขาเหลือบมอง
“ก็งานเดียวกัน”
“แต่กูไม่เคยเห็นมึงเงียบขนาดนี้มาก่อน”
แทนพูดตรง
“มันเหมือนมึงกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา”
ขุนเขาไม่ตอบ
เดินนำเข้าอาคารไป
เขาไม่อยากอธิบาย
เพราะตัวเขาเองก็ยังอธิบายไม่ได้
เขาแค่รู้ว่า
ภาพบางภาพที่เคยขาดหาย
มันเริ่มต่อกันแล้ว
⸻
ช่วงสาย
การประชุมย่อยถูกนัดขึ้นอีกครั้ง
เพลงพิณมาถึงก่อน
นั่งรออยู่ในห้องประชุมเล็ก
เปิดไฟแค่ครึ่งเดียว
ไม่กี่นาทีต่อมา
ขุนเขาเดินเข้ามา
ทั้งสองสบตากัน
เงียบไปครู่หนึ่ง
ไม่ใช่ความอึดอัด
แต่เป็นความรู้สึกที่ยังหาที่วางไม่เจอ
“เมื่อคืน…”
เพลงพิณเปิดก่อน
แต่ก็หยุด
ขุนเขาวางแฟ้มลง
นั่งตรงข้าม
“ถ้าเธอจะพูดเรื่องนั้น”
เขาพูดเสียงนิ่ง
“ผมคิดว่าเราควรโฟกัสงานก่อน”
เพลงพิณเลิกคิ้ว
“ฉันก็ไม่ได้จะคุยยาว”
เธอสูดหายใจ
แล้วพูดต่อ
“ฉันแค่จะบอกว่า…
ฉันยอมรับว่า เราน่าจะเคยเจอกันมาก่อน”
คำว่า น่าจะ
ถูกเน้นชัดเจน
ขุนเขานิ่งไป
สายตาจับที่ใบหน้าเธอ
เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักคำพูดนั้น
“ผมก็คิดแบบนั้น”
เขาพูดในที่สุด
“แต่ผมยังไม่อยากสรุป”
เพลงพิณยิ้มบาง
“ฉันก็เหมือนกัน”
ครึ่งหนึ่งของความจริง
ถูกวางไว้ตรงกลางโต๊ะ
แต่ไม่มีใครหยิบมันขึ้นมาเต็มมือ
“งั้นเราตกลงกันอย่างหนึ่งได้ไหม”
เธอพูด
“อะไร”
“ต่อให้คืนนั้นจะเป็นอย่างที่เราคิด”
“ตอนนี้ เราก็ยังเป็นแค่คนทำงานร่วมกัน”
ขุนเขาพยักหน้า
ช้า ๆ
“ผมไม่อยากให้เรื่องส่วนตัว
มาทำให้งานพัง”
“ฉันก็ไม่อยาก”
เพลงพิณตอบ
“และฉันไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด”
เขามองเธอ
สายตานิ่ง แต่จริงจัง
“ผมไม่ได้ทำให้ใครเข้าใจผิด”
“ดี”
เธอตอบ
“งั้นเราก็เข้าใจกันแล้ว”
คำว่า เข้าใจ
ฟังดูง่าย
แต่ความหมายกลับซับซ้อนกว่าที่พูด
⸻
การประชุมดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
ทั้งคู่ทำงานได้ดี
โต้กันด้วยเหตุผล
ไม่มีอารมณ์ส่วนเกิน
แต่ทุกครั้งที่สายตาสบกัน
ความรู้สึกเมื่อคืน
ก็เหมือนจะขยับเข้ามาใกล้อีกนิด
ช่วงพัก
ทั้งสองเดินออกมาหน้าห้องพร้อมกัน
ยืนเงียบ
ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อน
“ขุนเขา”
เพลงพิณเรียก
“ครับ”
“ถ้าวันหนึ่งฉันอยากรู้ความจริงทั้งหมด”
เธอพูด
“นายจะหนีไหม”
เขานิ่งไป
ก่อนจะตอบตรง ๆ
“ผมไม่หนี”
“แต่ผมอาจยังไม่พร้อมตอบทุกอย่าง”
เพลงพิณพยักหน้า
“แค่นั้นก็พอ”
ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงนั้น
ใกล้กัน
แต่ยังรักษาระยะ
ยอมรับกันครึ่งหนึ่ง
เก็บอีกครึ่งไว้ในใจ
โดยยังไม่มีใครกล้าก้าวข้ามเส้น
และนั่นทำให้ทุกอย่าง
ตึง
ลึก
และน่าลุ้นขึ้นกว่าเดิม
เพราะเมื่อความจริงอีกครึ่งหนึ่งถูกเปิดออก
ไม่มีใครรู้ว่า ความสัมพันธ์นี้
จะยังคุมได้เหมือนเดิมหรือเปล่า 📿🎻⚙️🔥