บทที่ 4 ภรรยาที่ไม่นิ่งเฉย

1746 Words
ร่างสูงเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน ปรายตามองภรรยาสาวที่ยืนมองตาปริบ ๆ อยู่เพียงชั่ววินาที ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไปด้วยท่าทีเมินเฉย ไม่แม้แต่จะปริปากพูดหรือบอกกล่าวใด ๆ ทำราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ หญิงสาวทอดถอนหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความท้อแท้ใจ ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามียังคงไม่พัฒนาและยังคงบึ้งตึงใส่กันเหมือนเดิม สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว ก่อนที่หมุนตัวเตรียมจะเดินขึ้นบันไดไป ทว่าฝีเท้าก็ต้องชะงักเมื่อดวงตากลมโตสบเข้ากับร่างบางของแม่สามีที่ยืนอยู่กลางบันไดด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย และดูท่าว่าจะเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หมดแล้วทุกอย่าง “ม้า...” อริญรดาเอ่ยเรียกแม่สามีเสียงแผ่ว รู้สึกใจคอไม่ดีราวกับเด็กกลัวความผิด “มาคุยกันหน่อยสิจ๊ะหนูอิน” ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นก็เดินก้มหน้าตามหญิงวัยกลางคนมานั่งที่โซฟา “ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเฮียสมิทธิ์ไม่ได้นอนกับหนูอินเลยใช่ไหมลูก” คุณหญิงสิริพรรณพูดเข้าประเด็นทันทีแบบไม่อ้อมค้อม เห็นพฤติกรรมหมางเมินของลูกชายที่แสดงต่อลูกสะใภ้ในวันนี้ก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้ ซึ่งการกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาของหญิงวัยกลางคนตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ใช่ว่าจะไม่รู้หรือไม่สังเกตเห็น เพียงแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมาเฉย ๆ เพราะคิดว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนทั้งคู่ แต่ดูท่าแล้วเธอคงปล่อยไปแบบไม่ทำอะไรเลยไม่ได้เสียแล้ว “ม้ารู้ด้วยเหรอคะ?” เลิกคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าแม่สามีจะล่วงรู้ ทั้ง ๆ ที่เธอพยายามทำตัวร่าเริงสดใสเหมือนไม่มีเรื่องกังวลใจ “ม้ามองออกแม้ว่าหนูจะพยายามทำเป็นไม่เป็นอะไรเพื่อกลบเกลื่อนก็ตาม ม้ารู้จักลูกชายของม้าดี คนมีอีโก้สูงเสียดฟ้าอย่างเฮียสมิทธิ์ของหนูนั้น ม้ารู้ว่าเขาไม่มีทางยอมรับหนูง่าย ๆ แต่แค่รอเวลาให้หนูมาปรึกษา” “อินไม่เป็นไรเลยถ้าเฮียจะไม่รัก ขอแค่ได้อยู่แบบนี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ” “รักเฮียเขามากเลยใช่ไหมลูก?” “รักมาก ๆ ค่ะ อินจะรอจนกว่าเฮียจะเปิดใจให้ ม้าไม่ต้องกังวลนะคะ อินเชื่อว่าสักวันเฮียจะต้องยอมรับในตัวอินอย่างแน่นอน” แววตาที่ดูหม่นลงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อนึกถึงความใจดีของสามีที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้สัมผัส จุดประกายความหวังของตัวเองแม้ในตอนนี้จะริบหรี่มากก็ตาม “ขอบใจนะลูก ขอบใจที่มาเป็นลูกสะใภ้ของม้า เป็นความโชคดีของม้าจริง ๆ ที่มีลูกสะใภ้น่ารักและแสนดีแบบนี้” “หนูก็โชคดีที่มีแม่สามีใจดีและอบอุ่นอ่อนโยนอย่างม้าเหมือนกันค่ะ” สองแม่สามีกับลูกสะใภ้นั่งพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ลูกสะใภ้จะนึกอะไรบางอย่างออก จึงเอ่ยเรียกแม่สามีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ม้าคะ” “หืม มีอะไรเหรอจ๊ะ?” “อินอยากไปทำงานค่ะ” “อยู่บ้านเรียนรู้การเป็นกุลสตรีดูแลผัวเฉย ๆ ไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ ทำไมต้องอยากออกไปทำงานให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจด้วย สังคมในที่ทำงานสมัยนี้มันท็อกซิกเยอะจะตายไป” คิ้วเรียวของคุณหญิงสิริพรรณขมวดเข้าชนกันอย่างไม่ค่อยเข้าใจความคิดของลูกสะใภ้นัก ทั้ง ๆ ที่เธอมีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้ว ทำไมจะต้องไปลำบากลำบนทำงานที่ได้ค่าตอบแทนอันแสนน้อยนิดด้วย “อินรู้ค่ะ แต่อินขอพูดตามตรงเลยนะคะ คืออินเบื่อค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ได้เรียนทำอาหารหรืองานบ้านงานเรือนกับม้า แต่อินเพิ่งเรียนจบมา ยังไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถพวกนั้นไปทำงานพัฒนาองค์กรเลยค่ะ ถ้าไม่ได้เอาไปใช้ก็น่าเสียดายแย่ อุตส่าห์ตะบี้ตะบันเรียนมาตั้งสี่ปี” “หนูอินนี่เป็นเด็กที่มีความคิดดีจริง ๆ ม้าขอชื่นชมเลย” ได้ยินดังนั้นคุณหญิงสิริพรรณก็รู้สึกประทับใจในตัวลูกสะใภ้ไม่ใช่น้อย ชอบอยู่แล้วก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายของตนเองถึงไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอดีมากขนาดนี้ “เอาสิ ถ้าหนูอยากทำม้าก็ไม่ขัด ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำไปเลย หนูอายุยังน้อยยังมีอะไรให้เรียนรู้หรือได้เผชิญอีกเยอะแยะ สิ่งพวกนี้จะทำให้หนูแข็งแกร่งขึ้น” “อ่าค่ะ” “ว่าแต่มีที่ไหนสนใจหรือยังจ๊ะ?” “อินยังไม่มีที่ไหนที่สนใจเป็นพิเศษเลยค่ะ” อริญรดาเพียงแค่คิดว่าอยากทำงาน แต่ยังไม่ได้เล็งสถานที่ทำงานไว้เลย คิดว่าหากได้รับอนุญาตแล้วค่อยไปหาและโปรยใบสมัคร “ไปลองทำที่บริษัทป๊าสิ ใช้เส้นของป๊ากับม้า” แม่สามีเสนอออกไปด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม คิดว่าหากให้ลูกสะใภ้ไปทำงานที่บริษัทสามีตนเองคงจะดีกว่าไปทำที่อื่น เพราะไม่รู้ว่าจะดีหรือเปล่า “ไม่เอาค่ะ ถ้าเฮียรู้เข้าคงไม่พอใจแน่ อินไม่อยากมีปัญหากับเฮียค่ะ” เพียงแค่คิดว่าสามีจะโมโหหรือโวยวายใส่เมื่อเห็นเธอไปเสนอหน้าอยู่ที่บริษัท อริญรดาก็ขนลุกเกรียว สมิทธิ์ในยามโกรธดูน่าเกรงกลัวจนเธอขยาด ไม่กล้าต่อกรกับเขา “ก็อย่าให้รู้สิจ๊ะ” “ทำได้ด้วยเหรอคะ?” “ใช้เส้นของม้าซะอย่าง ทำไมจะทำไม่ได้ อีกอย่างห้องทำงานของพวกผู้บริหารอยู่ห่างจากแผนกการตลาดตั้งสองชั้น” ได้ยินดังนั้นนัยน์ตาคู่สวยก็ฉายแววเป็นประกายวาววับอย่างมีความหวัง เธอรู้สึกโชคดีไม่น้อยที่แม่สามีคอยให้ท้ายและดูแลเป็นอย่างดี จนอดคิดไม่ได้ว่าชาติที่แล้วเธอไปช่วยกู้ชาติมาหรือเปล่า “แต่ต้องหลังจากกลับจากฮันนีมูนนะจ๊ะ” “ได้ค่ะ” “เดี๋ยวม้าจัดการให้ไม่ต้องเป็นห่วง เรามาคุยเรื่องฮันนีมูนกันก่อนดีกว่า ม้ามีประเทศที่น่าสนใจมาเสนออยู่สองประเทศ” สองแม่สามีกับลูกสะใภ้นั่งพูดคุยกันเรื่องสถานที่ฮันนีมูนอยู่นานสองนาน จนกระทั่งได้ข้อสรุปจึงแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว เวลาห้าโมงเย็นกว่า ๆ ร่างสูงของสมิทธ์ก็ลงมาจากรถ หลังจากที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน ฝีเท้าก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบตาไปเห็นภรรยาสาวที่กำลังนั่งกอดเข่ามองดูปลาคาร์ปในบ่อข้างบ้านอย่างเพลิดเพลินอยู่ ใบหน้าสวยหวานยามจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่างดูไร้เดียงสาและน่าพิสมัยไม่น้อย ทำเอาเขาไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้เลย ทว่าก็ต้องเบือนหน้าหนีเมื่อรู้ตัวว่าเผลอมองเธอนานเกินไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น “น้องน่าเอ็นดูเนอะตาสมิทธิ์” “ตรงไหนครับ?” ย้อนถามกลับไปแม้จะรู้คำตอบดี ในเมื่อภาพตรงหน้ามันฟ้องเสียขนาดนั้น แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมรับออกไปตรง ๆ “ทุกตรงนั่นแหละ หน้าตาสวยหวาน ดวงตาก็กลมโต รอยยิ้มก็สดใส ผิวพรรณขาวผ่อง ดูน่าทะนุถนอม สเปคของลูกชัด ๆ ไม่รักได้เหรอ?” “แม้จะตรงสเปค แต่เป็นเมียที่ไม่ได้ต้องการ เมียที่ป๊าม้าหรือพ่อแม่ของเธอยัดเยียดมาให้ คิดว่าผมจะรักเธอลงเหรอ?” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินหนีเข้าบ้านไป ทิ้งให้คนเป็นแม่ยืนส่ายหน้าด้วยความระอาให้ลูกชาย ไม่รู้ว่าจะถือทิฐิไปถึงไหนต่อไหน พอถึงมื้ออาหารเย็นคุณหญิงสิริพรรณก็เปิดประเด็นพูดถึงเรื่องฮันนีมูนกลางโต๊ะอาหาร ซึ่งได้ข้อสรุปว่าเป็นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยที่สมิทธิ์เพียงนั่งฟังคนอื่นพูดอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไร หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวของใครของมันเหมือนดั่งเช่นทุกวัน อริญรดายืนถือเสื้อผ้าที่ถูกซักทำความสะอาดและรีดเรียบร้อยแล้วอยู่หน้าห้องรับแขกที่เป็นที่ปักหลักของสมิทธิ์ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มือเล็กยกขึ้นทำท่าจะเคาะประตูแต่ก็ผละออกหลายต่อหลายครั้ง ความประหม่าเกาะกินหัวใจ กลัวว่าจะถูกสามีไล่ตะเพิดและพูดจาหักหาญน้ำใจเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งอีก หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะยกมือขึ้นเตรียมเคาะประตูอีกครั้ง ทว่าก็ต้องชะงักและผงะตกใจเมื่อคนด้านในเปิดประตูออกมาพอดี “มีอะไร?” สมิทธิ์ที่เห็นภรรยาสาวยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่หน้าห้องก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มดุ ใบหน้าฉายแววไม่ค่อยชอบใจนัก “อินเอาชุดมาให้ค่ะ เผื่อชุดทำงานของเฮียไม่พอใส่” พูดพลางชูเสื้อผ้าให้สามีที่ยืนทำหน้านิ้วคิ้วขมวดใส่ ดูไม่อยากเห็นหน้าเธอแบบสุด ๆ “บอกให้อยู่เฉย ๆ ต่างคนต่างอยู่เธอไม่เข้าใจหรือไงอริญรดา?” “...อาทิตย์หน้าเราต้องไปฮันนีมูนกันที่ญี่ปุ่น อย่าลืมนะคะ” ไม่ตอบแต่เลือกที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องแทน เพราะเธอไม่อยากตอบคำถามปนตำหนิของเขา ก่อนที่จะยัดเหยียดเสื้อผ้าให้เขาไปถือไว้เอง “เฮ้อ...” พอไม่ได้รับคำตอบและเห็นพฤติกรรมของภรรยาสาวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่ายใจ สร้างความกดดันให้เธอจนต้องรีบเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ “อินขอตัวค่ะ” เมื่อหมดธุระแล้วเธอก็รีบหมุนตัวเดินสาวเท้ากลับเข้าห้องอย่างว่องไว ทิ้งให้สามีมองตามหลังด้วยแววตาขุ่นเคือง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD