คฤหาสน์หลังโตถูกรังสรรค์ให้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ก็โอ่อ่าไม่น้อยหน้าเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นถึงเจ้าสัวเจ้าของบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ของประเทศไทย
กลางคฤหาสน์ปรากฏร่างบ่าวสาวที่นั่งพับเพียบอยู่บนพรมราคาแพง เบื้องหน้ามีสินสอดทั้งเงินสดมูลค่าหลายล้าน โฉนดที่ดินหลายแห่ง ทองแท่งกองพะเนิน เครื่องเพชรหลายกะรัต และที่สำคัญคือแหวนเพชรเม็ดงาม
สองบ่าวสาวนั่งเมียงมองกันด้วยความรู้สึกมากมายที่เปี่ยมล้นอยู่ในอก...ยกเว้นสิ่งที่เรียกว่าความรัก ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้
“สวมแหวนให้น้องสิตาสมิทธิ์”
เสียงของคุณหญิงสิริพรรณเอ่ยบอกลูกชายด้วยใบหน้าแช่มชื่น มือหนาจึงยื่นไปหยิบแหวนเพชรจากกล่องแล้วสวมใส่ที่นิ้วนางเรียวยาวข้างซ้ายของเจ้าสาวแสนสวย ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งจนคนตัวเล็กหัวใจสั่นหวิว ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น รู้สึกประหม่าจนมือเย็นเฉียบ
เมื่อแหวนเพชรเม็ดโตถูกสวมที่นิ้วแล้ว เจ้าสาวป้ายแดงก็ค่อย ๆ ก้มลงไปกราบแนบตักแกร่งของเจ้าบ่าวอย่างนอบน้อมและอ่อนหวาน ก่อนที่เงยหน้าและช้อนสายตาขึ้นมาสบตากับดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว ทำเอาหัวใจดวงน้อยวูบไหว จนต้องรีบเบี่ยงสายตาหนีเพราะไม่กล้าสู้สายตานั้น
“สวมแหวนให้พี่เขาสิลูก”
เจ้าบ่าวหนุ่ม หรือ สมิทธิ์ มองเจ้าสาวของตัวเองอย่างอริญรดา ที่กำลังหยิบแหวนขึ้นมาด้วยมือสั่นเทาด้วยแววตาดุดันและขุ่นเคือง ก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่แหวนวงโตถูกสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาบ้าง
เมื่อแหวนถูกสวมเรียบร้อยก็ตวัดตาคมมองร่างบางข้างกายพร้อมพ่นลมหายใจออกมาหลายครั้งหลายครา ยิ่งเห็นพ่อแม่ของเธอทำหน้าชื่นตาบานก็ยิ่งโมโห นึกอยากลุกหนีออกไปจากตรงนี้ทุกชั่วขณะ ทว่าก็พยายามอดกลั้นและข่มไว้เพราะต้องรักษาหน้าตาของพ่อแม่
“ถ่ายรูปหน่อยครับ”
สิ้นเสียงประกาศสองบ่าวสาวก็ค่อย ๆ หันมองไปทางกล้องให้ช่างภาพที่ถูกจ้างมาได้จับภาพอันน่าจดจำนี้ไว้เป็นที่ระลึก ท่ามกลางความยินดีและแช่มชื่นของบรรดาแขกเหรื่อที่เอ่ยปากชื่นชมความหล่อความสวยของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแบบไม่ขาดปาก
หลังจากการถ่ายภาพบรรยากาศสวมแหวนจบลง สมิทธิ์ก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจดันตัวลุกขึ้นเดินหนีออกไป ทิ้งให้อริญรดานั่งทำหน้าเหวอด้วยความตกใจ ก่อนจะยิ้มจืดเจื่อนอยู่คนเดียวพร้อมความรุ่มร้อนกลางอกเมื่อถูกหักหน้าจากสามีหมาด ๆ โดยที่ถูกสายตาเคลือบแคลงสงสัยจากแขกภายในงานสาดใส่ไม่หยุด
“ไม่เป็นไรลูก”
ฝ่ามือบางของแม่สามีตบลงบนบ่าเล็กเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ เธอจึงหันไปยิ้มให้โดยที่ดวงตาคู่สวยมีน้ำใส ๆ เคลือบอยู่
“อย่าขี้แยเป็นเด็กสิยัยอิน แขกมองอยู่”
เสียงคนเป็นแม่อย่างอรอนงค์กระซิบปรามลูกสาวขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม อริญรดาจึงฝืนยิ้มพลางกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อไล่น้ำตาจนเหือดแห้ง แล้วขยับเข้าไปก้มกราบลงบนตักผู้อุปการคุณทั้งสองที่เป็นผู้ให้กำเนิด จากนั้นก็ตามด้วยคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อแม่สามีทั้งสองที่ยิ้มปริ่มอย่างเอ็นดูและชอบใจให้สะใภ้อย่างเธอไม่น้อย
“ม้าสัญญาว่าจะดูแลหนูให้ดี ลูกสะใภ้ของม้า” มือของหญิงวัยกลางคนลูบลงบนเรือนผมนุ่มของสะใภ้ป้ายแดงอย่างอ่อนโยนและละมุนละไม พาให้หัวใจดวงน้อยรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
แม้สามีจะไม่รัก แต่ถ้าพ่อแม่ของสามีรักเธอก็รู้สึกโชคดียิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งแล้ว...