หลังจากที่ส่งบ่าวสาวเข้าห้องหอพร้อมให้คำอวยพรเพื่อเป็นสิริมงคลเสร็จสิ้น ญาติฝั่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็พากันทยอยออกไปจนกระทั่งหมด ภายในห้องหอจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ เพราะเหลือเพียงเจ้าของห้องทั้งสองที่เอาแต่นั่งเงียบสงบนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงเคียงคู่กัน
อริญรดานั่งเม้มริมฝีปากแน่น มือกุมกันไว้ที่หน้าตัก ทั้งรู้สึกประหม่าและทำตัวไม่ถูก เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสอยู่กับสามีหมาด ๆ เพียงลำพังแบบสองต่อสอง
นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองกลีบกุหลาบที่เรียงกันเป็นรูปหัวใจบนเตียงกว้างด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ระหว่างรู้สึกผิดหรือรู้สึกดีกันแน่
ก่อนจะถอนสายตาจากเตียงแล้วชำเลืองมองร่างหนาที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง สายตาเหม่อมองตรงไปเบื้องหน้า ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือตามความคิดในหัวเมื่อเห็นปฏิกิริยาเฉยเมยของอีกฝ่าย
“อินเด็กไปใช่ไหมคะเฮียสมิทธิ์ถึงได้รังเกียจ”
“ไม่ได้พูด” ตอบเสียงเรียบไม่บ่งบอกโทสะหรืออะไรใด ๆ ดวงตายังคงเหม่อมองไปที่ประตูห้องแบบไม่ละไปไหน
“แต่ท่าทีของเฮียสมิทธิ์ดูเหมือนว่าจะเกลียดอิน”
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมทอดถอนสายตาจากประตูห้อง แล้วหันมามองคนข้างกายอย่างเชื่องช้า แววตาเฉยเมยราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่เห็นชัด ๆ แต่ก็รู้ว่ามี
“คนที่ทำให้ชีวิตที่แสนสงบสุขของฉันต้องพังทลาย เธอว่าสมควรโดนเกลียดไหม?”
ก่อนที่จะย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มปนดุ ทำเอาสาวเจ้าพูดไม่ออก เม้มเรียวปากไว้แน่น ขอบตาเริ่มรู้สึกร้อนผ่าว ๆ ราวกับอีกไม่นานน้ำใส ๆ จะรินไหลออกมาเป็นสายธารา
“......”
มองจ้องตาพลางสาดความรู้สึกข้างในใจออกไปให้กันและกัน ก่อนที่อริญรดาจะเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้สามีหมาด ๆ ด้วยความรู้สึกผิดที่จุกแน่นอยู่ในอก
“อินขอโทษค่ะ เฮียสมิทธิ์จะเกลียดอินก็ไม่แปลก เพราะอินพรากชีวิตที่อิสระของเฮียมา”
“เลิกตีสองหน้าเถอะ ฉันรำคาญ!”
เผลอขึ้นเสียงใส่ภรรยาสาวอย่างข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ความอัดอั้นตันใจตลอดหลายวันที่เตรียมงานแต่งจนกระทั่งถึงวันนี้มันปะทุออกมา ทำเอาร่างบางถึงกับสะดุ้งจนร่างสั่นสะท้านด้วยความตกใจ
“ฮะ..เฮีย!”
“ปลอมเปลือกทั้งครอบครัว!”
“เฮียสมิทธิ์...” เรียกสามีเสียงแผ่วเบา ไม่พูดแก้ตัวกลับไปเพราะมันคือความจริงตามที่เขากล่าวหา ความจริงที่ว่าครอบครัวของเธอไม่ได้ดีและน่ายกย่องเท่าไหร่นัก
พ่อของอริญรดาทวงบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตของพ่อแม่สมิทธิ์ไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน โดยการให้สมิทธิ์กับลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเองแต่งงานกัน เพื่อหวังนำเงินค่าสินสอดไปจุนเจือธุรกิจที่กำลังจะพังไม่เป็นท่า
พ่อแม่ของสมิทธิ์ที่ปฏิเสธคำขอไม่ได้บวกกับถูกใจอริญรดาอยู่แล้วจึงตอบตกลง บีบบังคับให้สมิทธิ์ทิ้งธุรกิจร้านอาหารที่กำลังไปได้ดีมารับช่วงต่อบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปของครอบครัวและแต่งงานกับอริญรดา คนที่เลือกอะไรไม่ได้อย่างสมิทธิ์จึงต้องทำตามความต้องการของพ่อแม่แม้จะไม่ได้เต็มใจก็ตาม
“ฉันไม่ปฏิเสธสิ่งที่เธอคิดและเอ่ยออกมา เพราะมันคือความจริงเธอก็รู้อยู่แก่ใจ วันหลังไม่ต้องถามอีก ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก”
“......”
ได้ยินดังนั้นอริญรดาก็หลุบตามองมือเล็กที่กุมกันไว้แน่นบนตักด้วยความรู้สึกผิดไม่เสื่อมคลาย หากแต่ภายในใจก็รู้สึกน้อยใจไม่น้อยที่เขากล่าววาจาร้ายกาจและทำตัวใจร้ายกับเธอ
“เฮียสมิทธิ์จะไปไหนคะ!?”
เห็นร่างสูงลุกพรวดจากเตียงเดินตรงไปที่ประตูห้องก็รีบร้องถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“ฉันไม่อยากเข้าห้องหอกับเธอ” ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดเย็นชาโดยที่ไม่ได้หันหน้าไปมองคนถาม
“แต่วันนี้คือวันแต่งงานของเรา...”
“ไม่ได้รัก ไม่ได้รู้สึกอะไร จะให้นอนด้วยกันก็กระไรอยู่”
“......”
หัวใจดวงน้อยเจ็บแปลบในทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น เรียวปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่น ขอบตาที่ก่อนหน้านี้เคยหายร้อนผ่าวไปแล้วกลับมาร้อนใหม่อีกครั้ง
ไม่ได้รัก
ไม่ได้รู้สึกอะไร
เกลียด
ทุกคำที่เปล่งออกมาจากปากของเขาล้วนตอกย้ำให้เธอเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ราวกับคำพูดพวกนี้มันเหยียบย้ำหัวใจของเธอจนแทบแหลกจมดิน
“เธอนอนห้องนี้ไปคนเดียวเถอะ ฉันจะไปนอนห้องอื่น แล้วก็ห้ามปริปากฟ้องป๊ากับม้าฉันเด็ดขาด ฉันไม่อยากมีปัญหา”
“......”
“เข้าใจหรือเปล่าอริญรดา”
เมื่อเห็นเธอไม่ตอบก็ถามย้ำ โดยที่เพียงหันหน้าไปด้านข้าง ไม่ได้หันหลังกลับไปถามแบบประจันหน้า
“อิน เรียกอินเฉย ๆ ได้ไหมคะ”
“ให้เธอเรียกฉันว่าเฮียแบบไม่ว่าอะไรก็เกินพอแล้ว ได้คืบแล้วจะเอาศอกหรือไง อย่าเรียกร้องอะไรอีก เพราะมันดูงี่เง่า”
“แต่คนเป็นสามีภรรยากัน เรียกชื่อกันเต็มยศแบบนี้มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะคะ”
“แล้วแต่เธอจะคิด เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจ”
พูดจบก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไปแบบไม่เหลียวแลร่างบาง หรือไม่แม้แต่จะชั่งใจเลยสักนิดเดียว ทำเอาคนโดนกระทำใส่ถึงกับน้ำตาแตก น้ำตาสีใสรินไหลอาบแก้มด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งหัวใจ
งานแต่งงานที่เธอเคยวาดฝันไว้ตอนเด็กพังทลายลงแบบไม่เหลือชิ้นดี...
เจ้าสาวหมาด ๆ ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้โฮออกมาตามความเสียใจอยู่เนิ่นนานหลายนาที ก่อนที่จะกวาดสายตามองรอบห้องหอด้วยแววตาสั่นระริกที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาสีใสพลางสะอื้นไห้เบา ๆ พร้อมความคิดที่ว่า...วันแต่งงานทั้งทีแต่กลับถูกทิ้งให้นอนอ้างว้างอยู่คนเดียว ไร้สามีนอนข้างกาย เธอช่างหน้าน่าสมเพชเวทนาเสียจริง
“อิน...ฮึก...อินรักเฮียสมิทธิ์...”
อีกด้าน
หลังจากโดดการเข้าหอกับเจ้าสาวแสนสวย สมิทธิ์ก็เดินดุ่ม ๆ มาที่ห้องรับแขกริมสุดของคฤหาสน์หลังโต ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอกราวกับอึดอัดใจเสียเต็มประดา
ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากพลางเหม่อมองฝ้าเพดานห้องด้วยแววตาว่างเปล่า เพียงนึกถึงใบหน้าสวยหวานของภรรยาสาวก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
ภาระ...
ผู้หญิงคนนั้นคือภาระของเขาชัด ๆ ชีวิตที่แสนสงบสุดของเขาพังทลายลงเพียงเพราะพ่อของเธอเปล่งคำพูดทวงคำสัญญาออกมา เขาจะไม่อะไรเลยหากมันไม่ใช่การที่ทำให้เขาต้องแต่งงานกับเธอ
เขาต้องแบกภาระตัวโต ๆ อย่างเธอเพื่อแลกกับชีวิตอิสระ ใครบ้างล่ะจะแฮปปี้กับการแต่งงานในครั้งนี้
แม้เธอจะสวยและน่ารักมากแค่ไหนแต่เขาก็รักไม่ลง สิ่งที่เธอใช้พันธนาการเขาไว้ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า...เกลียดเธอ
เกลียดทั้งเธอและครอบครัว
เจ้าบ่าวหมาด ๆ ยกมือขึ้นเหม่อมองแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายของตนเอง แล้วทอดถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจและเบื่อหน่าย ก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงเพื่อข่มตาหลับ ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปเพราะความเหนื่อยล้า