“เป็นยังไงบ้างจ๊ะหนูอิน เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม เฮียสมิทธิ์ดูแลหนูดีหรือเปล่า”
เมื่อเห็นร่างบางของสะใภ้ป้ายแดงเดินลงบันไดมา แม่สามีอย่างคุณหญิงสิริพรรณก็เอ่ยทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงและใบหน้าอิ่มอกอิ่มใจทันที
“สบายดีค่ะ”
อริญรดาเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแม่สามีแล้วส่งยิ้มหวานให้ รู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกครั้งยามที่ได้อยู่ใกล้หรือได้พูดคุยกับหญิงวัยกลางคนคนนี้
“เห็นทีป๊ากับม้าคงได้อุ้มหลานเร็ว ๆ นี้”
แม่สามีพูดเสียงหยอกเย้ากับลูกสะใภ้ด้วยใบหน้าปลาบปลื้ม รู้สึกรักและเอ็นดูให้สะใภ้คนนี้ไม่น้อย เพราะอริญรดาทั้งสวยหวานทั้งน่ารัก แถมยังเป็นเด็กดีอีกต่างหาก ได้มาเป็นลูกสะใภ้ถือว่าเป็นความโชคดี
“คงอย่างนั้น...มั้งคะ”
อริญรดายิ้มจืดเจื่อนตอบพลางก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาแม่สามีเพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าเธอนั้นโกหก เพราะหากบอกออกไปตามตรงก็คงไม่ดีแน่ อีกอย่างสามีใจร้ายคนนั้นก็พูดขู่เธอไว้ว่าห้ามฟ้องพ่อแม่ของเขาโดยเด็ดขาด
“สนใจไปช่วยม้าเข้าครัวไหมจ๊ะ?”
“สนใจค่ะ แต่อินทำอาหารไม่ค่อยเป็นนะคะ”
ใบหน้าของอริญรดาฉายแววเป็นกังวล คิ้วเรียวขมวดมุ่น เนื่องจากเธอไม่ค่อยได้เข้าครัวทำอาหาร ปกติแม่ของเธอจะเป็นคนทำทั้งหมด ส่วนเธอมีหน้าที่รอทานและทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า
“ไม่เป็นไรเลยหนูอิน ไม่ใช่ปัญหาจ้ะ”
แม่สามียกยิ้มบาง ๆ อย่างเอ็นดูให้สะใภ้คนสวย ก่อนจะเดินไปควงแขนและพาเดินเข้ามาในห้องครัวที่ในตอนนี้แม่ครัวและคนรับใช้กำลังขะมักเขม้นกับการทำอาหารเช้าอยู่
เห็นดังนั้นสะใภ้สาวก็หันไปมองแม่สามีอย่างนึกฉงนใจ เพราะเธอนึกว่าไม่มีคนทำอาหารให้ซะอีก แม่สามีถึงได้ชวนเธอมาช่วยอย่างนี้
“ถึงแม้ว่าจะมีแม่ครัวอยู่แล้ว แต่ม้าก็อยากควบคุมรสชาติเอง อยากให้ถูกใจสามีกับลูกชายน่ะ”
ได้ยินดังนั้นอริญรดาก็กระจ่าง พยักหน้าเข้าใจให้แม่สามี ก่อนจะปรายตามองแม่ครัวกับคนรับใช้ที่พากันฉีกยิ้มแฉ่งมาให้เจ้านายคนใหม่อย่างเธอ
“เหลืออะไรบ้างแม่อ้วน?” คุณหญิงของบ้านเอ่ยถามแม่ครัวอาวุโสประจำบ้าน
“เหลือต้มข่าไก่จ้ะคุณหญิง กำลังตั้งหม้อต้มน้ำอยู่ คุณหญิงชิมอาหารที่เสร็จแล้วรอก่อนก็ได้จ้ะ”
“ก็ได้ มาสิหนูอิน มาช่วยม้าชิมอาหารเร็ว”
“ค่ะ”
คุณหญิงของบ้านจูงมือสะใภ้ป้ายแดงไปชิมอาหารพลางหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข โดยการกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาของแม่ครัวและคนรับใช้ที่แอบลอบมองเป็นพัก ๆ และพลอยปลื้มปริ่มและมีความสุขตามไปด้วย
ดูท่าแล้วคุณหญิงของบ้านคงจะเห่อลูกสะใภ้มากไม่น้อย
“เดี๋ยวต่อไปนี้ม้าจะช่วยสอนทำอาหารอร่อย ๆ มัดใจสามีให้ รับรองทำให้ตาสมิทธิ์ทานแล้วทั้งรักทั้งหลงหนูเลย ผู้ชายเขาชอบผู้หญิงมีเสน่ห์ปลายจวักกัน”
แม่สามีเอ่ยบอกลูกสะใภ้ขึ้นหลังจากที่ชิมและปรุงรสชาติอาหารให้ลงตัวดีแล้ว
“ได้เลยค่ะ หนูขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะม้า หนูไม่ได้เก่งหรือทำงานบ้านเป็น แต่หนูพร้อมเรียนรู้เพื่อที่ตัวเองจะได้เหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของบ้านหลังนี้ค่ะ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้หนูอิน แค่ทำหน้าที่เมียคอยปรนเปรอผัวก็พอ ม้าจะสอนแค่ที่หนูจำเป็นต้องใช้พอ ไม่ต้องเก่งหรือเลิศเลออะไรมากหรอกลูก”
“ขอบคุณนะคะ” ยกมือไหว้คนมีอายุกว่าอย่างนอบน้อม ยิ่งทำให้คนถูกไหว้ชอบใจยกใหญ่
“น่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเรา ม้าอยากมีลูกสาวมานานแล้ว ดีจังที่ได้หนูมาเป็นสะใภ้”
อริญรดาคลี่ยิ้มหวานให้แม่สามีอย่างซาบซึ้งใจ ไม่คิดว่าสามีไม่ดูดำดูดี แต่แม่สามีกลับรักและเอ็นดูเธอมากขนาดนี้ ถือว่าเธอยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง
หลังจากดูความเรียบร้อยในครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงของบ้านก็จูงมือลูกสะใภ้มานั่งรอทานข้าวเช้ากับสามีและลูกชาย
“วันนี้มีแต่อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยคุณหญิง”
“มีต้มข่าไก่ของโปรดคุณพี่ด้วยนะคะ”
ประมุขของบ้านอย่างสหรัฐต์เดินมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับภรรยาและลูกสะใภ้พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประดับบนใบหน้า แตกต่างจากลูกชายที่เดินตามเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น
สมิทธิ์ตวัดตามองภรรยาป้ายแดงของตนเองที่คลี่ยิ้มหวานส่งมาให้เขาเพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนที่จะหยิบแก้วกาแฟไปยกดื่มจนหมด จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป
“จะรีบไปไหนตาสมิทธิ์ ไม่กินข้าวเช้าก่อนหรือไง แล้วกาแฟแค่แก้วเดียวพอหรือไง?”
เห็นลูกชายทำท่าจะเดินออกจากห้องอาหารไป คนเป็นแม่ก็รีบร้องถามเสียงแข็ง
“เรียกให้ผมกลับมาทำงาน ผมก็ต้องขยันขันแข็งทำงานสิ”
“ประชดประชันเก่งจริงลูกคนนี้ ป๊าเรียกแกให้มาทำหน้าที่ผัวด้วย เห็นเมียแกนั่งหัวโด่อยู่นี่ไหม รีบมานั่งกินข้าวเดี๋ยวนี้!”
คนเป็นพ่อเอ่ยตำหนิลูกชายด้วยความเห็นอกเห็นใจให้ลูกสะใภ้ที่นั่งเงียบนิ่งไม่กล้ามีปากเสียงอะไร
“ผมกินไม่ลง ขอตัว”
สมิทธิ์ปรายตามองภรรยาเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดหักหน้าภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย และพอพูดจบก็ไม่รอให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้โวยวายอะไรกลับมา รีบสาวเท้าเดินออกจากห้องอาหารไป ทิ้งให้คนบนโต๊ะอาหารพากันนั่งหน้าเหลอหลา
“ไอ้ลูกคนนี้นี่!” สหรัฐต์สบถเบา ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจให้ลูกชายนัก ก่อนที่จะทอดถอนหายใจออกมายาวเหยียด ไม่รู้จะจัดการกับลูกชายตัวดีของตัวเองอย่างไรดี
“คิดเรื่องฮันนีมูนหรือยังจ๊ะ ให้ป๊าม้าช่วยคิดไหม?”
ไม่อยากให้ลูกสะใภ้รู้สึกแย่คุณหญิงสิริพรรณก็ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนอารมณ์
“อินยังไม่ได้คิดเลยค่ะ รบกวนป๊ากับม้าช่วยอินคิดหน่อยนะคะ”
อริญรดาฝืนยิ้มตอบแม่สามีไป แม้จะรู้สึกเสียหน้ากับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มากไม่น้อยก็ตาม
“เดี๋ยวม้าช่วยคิดให้นะจ๊ะ รับรองว่าจะต้องดีมากแน่ นอน หนูอินไม่ต้องเป็นกังวล”
“ขอบคุณมากค่ะ”
หลังจากที่ทานข้าวเช้ากับพ่อแม่สามีเสร็จ อริญรดาก็ถูกแม่สามีไล่ขึ้นมาพักผ่อนบนห้อง เพราะคิดว่าเธอเพิ่งผ่านงานแต่งงานมาคงจะอ่อนเพลียและเหนื่อยล้ามาก เธอจึงไม่กล้าขัดและยอมทำตามแต่โดยดี
เข้ามาในห้องที่ใช้เป็นห้องหอก็รู้สึกประหลาดใจ เมื่อภายในห้องดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย กลีบกุหลาบที่เคยถูกเรียงอยู่บนเตียงในบัดนี้กลับไม่เหลือแม้แต่กลีบเดียว เนื่องจากคนรับใช้ได้เข้ามาทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อริญรดาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่เธอใช้เป็นที่รองรับน้ำตาเมื่อคืนนี้ด้วยความหนักอึ้งในใจ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้สมิทธิ์เลิกเฉยเมยหรือใจร้ายกับเธอสักที เนื่องจากเธอไม่อยากทนทุกข์กับคำว่าไม่รักของเขา
อริญรดานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้านแบบเฉย ๆ โดยไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน แต่กระนั้นรู้ตัวอีกทีเวลาก็จะหมดวันแล้ว
อริญรดาเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินลงมายังชั้นล่าง และก็เป็นจังหวะที่สมิทธิ์ที่เพิ่งกลับมาทำงานเดินสวนขึ้นบันไดมาพอดี
“กลับมาแล้วเหรอคะเฮียสมิทธิ์?”
เอ่ยทักทายสามีหมาด ๆ ด้วยความดีใจ รอยยิ้มสวยหวานผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางกระจับ หากแต่คนถูกทักกลับปรายตามองเพียงนิดเดียว ก่อนที่จะเมินหน้าไปทางอื่น จากนั้นก็เดินย่ำเท้าขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านโดยที่ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ไม่แม้แต่จะคิดตอบคำถามของภรรยาสาว ทิ้งให้เธอยืนหน้าเสียอยู่ลำพังกลางบันไดบ้าน
“เฮียสมิทธิ์ใจร้าย”
พึมพำออกมาเบา ๆ กับตัวเองด้วยใบหน้าเศร้าสลด นึกเสียใจที่ถูกเมินจากสามีไม่ใช่น้อย เพิ่งรู้ว่าการเป็นคนไร้ตัวตนในสายตาใครมันรู้สึกแย่และเจ็บปวดมากขนาดนี้
“เฮ้อ~”
อริญรดาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินไปช่วยแม่สามีและแม่ครัวเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัว
การถูกสามีเมินทำให้รู้สึกแย่ แต่กลับถูกปลอบประโลมด้วยความใจดีของพ่อแม่สามี ทำให้อริญรดาไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวหรือรู้สึกทนทุกข์ที่ต้องอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวโดยไร้คนในครอบครัวของตัวเอง