CHAPTER 1
CHAPTER 1
ร่างเพรียวระหงส์ราวกับนางแบบอินเตอร์ก้าวขายาวมาจากทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศของสนามบินใหญ่แห่งหนึ่งต่างสะกดสายตาของทั้งนักท่องเที่ยวและพนักงานที่อยู่บริเวณนั้นให้สนใจมองมายังเธออย่างไม่สามารถละสายตาได้เลย ด้วยร่างกายที่สูงกว่าร้อยเจ็ดสิบหกแขนขายาวรับกับรูปร่างสูงเด่นทำให้องประกอบที่ตกแต่งด้วยเสื้อเกาะอกสีดำสนิทแนบเนื้อตัดกับความขาวที่โชว์ออกมาทางหน้าท้องที่แบนราบนิดๆ ส่วนด้านล่างก็เป็นกางเกงขายาวโปร่งเอวสูงสีขาวเนียนรับกับรองเท้าสั้นเข็มสีดำที่มีความสูงตั้งสี่นิ้ว
ใบหน้าเรียวเล็กสไตล์ฝรั่งเบี่ยงสายตาใต้แว่นตาสีชาหรูไปทางซ้ายทีมาทางขวาทีราวกับว่ารอใครมารับนั่นไม่มีใครรู้ว่าเธอรู้สึกหงุดหงิดเพียงใดยิ่งบรรยากาศร้อนๆ ไม่เหมือนเมืองที่เธอจากมาที่มีความเย็นจนแทบติดลบด้วยซ้ำ
“ชักช้าจริง”
และแล้วเรียวปากได้รูปก็เอ่ยขึ้นเป็นคำแรกหลงจากที่เท้าสวยได้ลงเหยียบแผ่นดินถึงแม้ว่าภายในจิตใจจะร้อนระอุถึงจุดเดือดมากเท่าไหร่แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เป็นข้อเสนอหลักจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของตัวเองแล้วมันก็สามารถคลายความหงุดหงิดเหล่าได้อย่างทันท่วงที
เหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อน
Rr…….
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบนหัวเตียงอย่างต่อเนื่องหลายสิบสายที่ดังขึ้นติดต่อกันเป็นเวลาเนินนานจนทำให้คนที่คลุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาสีขาวบนเตียงใช้มือปิดหูบ้าง ใช้หมอนปิดหูบ้างแต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เสียงโทรศัพท์บ้านั้นหยุดเข้าไปในโสตประสาทของการได้ยิน
Rr…….
จนกระทั่งร่างเล็กเอื้อมมือไปแตะโทรศัพท์ที่ยังคงส่งเสียงดังมาอย่างงัวเงียจากนั้นก็กดรับสายทันทีโดยที่ไม่ดูหน้าจอว่าเป็นสายของใคร ถ้าไม่มีเรื่องที่สำคัญคอขาดบาดตายสัญญาเมญ่าจะด่าให้กระเจิงเลยคอยดูที่บังอาจโทรมาตอนนี้ทั้งๆ ที่เธอพึ่งล้มตัวนอนได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป!
[ยังไม่ตื่น?]
“…”
เสียงราบปลายสายถามตามสไตล์ที่เคยพูดกับฉัน มันเหมือนเดิมทุกอย่างทั้งๆ ที่เราไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบปีก็ตามแต่เมื่อฉันเงียบเสียงตะคอกก็เริ่มขึ้น
[เมญ่า!]
“อือ นายโทรมามีไรอยากตายไง!” ฉันตอบซันอย่างัวเงีย
[โทรมาหาคู่หมั้นไง]
“อย่ากวนประสาทคนจะนอน!”
[อย่าพึ่งหงุดหงิดหน่ามีเรื่องให้ช่วยได้ข่าวว่าปิดเทอมอยู่กลับไทยหน่อยดิ]
“เรื่อง?”
[อยากได้ไอ้โจไม่ใช่หรือไงถ้าช่วย... ชั้นจะช่วยเรื่องไอ้โจด้วย]
“ตกลง”
ไม่ต้องไปคิดมากให้มันมากความเมื่อหูฉันได้ยินเรื่องของโจเนสปากมันก็รีบตอบรับทันทีก่อนที่จะรู้รายละเอียดจากปากของซันที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นของฉันทีหลัง มันก็น่าสนุกดีด้วยซ้ำที่เปิดเทอมปีนี้มีเรื่องให้ทำแบบสนุกๆ โดยที่ไม่ต้องรับงานถ่ายแบบที่มีคนติดต่อมาอย่างมากมายล้ำเหลือยาวจรดไปยันปีหน้าด้วยซ้ำไปอีกอย่างก็ถือว่าการไปไทยครั้งนี้เป็นการพักผ่อนไปในตัว
ณ เวลาปัจจุบันฉันก็ยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่ไปไหนก่อนที่จะเห็นร่างสูงหล่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นเดินตรงเข้ามาหาอย่างช้าๆ ภายใต้แว่นตาสีดำของเขามีหรือว่าฉันจะไม่รู้ว่าซันมีความสมเพชให้ฉันมาแค่ไหนที่สามารถแกล้งให้ฉันรอได้นานมาก
“นายอยากตายหรือๆ ไง?”
“พูดกับคู่หมั้นดีๆ หน่อยสิครับคุณหนูเมญ่า”
น้ำเสียงอันเชิญชวนกวนประสาทเริ่มต้นขึ้นก่อนที่มือใหญ่จะคว้ากระเป๋าของฉันไปลากเองอย่างน้อยก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอในกลุ่มวายร้ายนี้คงเป็นผู้ชายคนนี้ละมั้งที่ค่อนข้างหวานกว่าคนอื่นๆ และก็โหดมากด้วยเช่นกัน
“ซัน!”
“โอเคๆ ไม่กวนอย่าลืมทำตามแผนล่ะ”
เสียงย้ำทำให้ฉันต้องพยักหน้าแล้วยังไปยังที่ประจำหน้าคนขับของรถเขาทันทีที่ก้าวขาขึ้นรถความเงียบก็ปกคลุมทันที เราสองคนไม่ต้องพูดมากขนาดนี้แค่เพียงทำแผนนี้ให้สำเร็จก็พอ
แล้วทุกอย่างก็เริ่มขึ้นเมื่อซันจอดรถและเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ สระน้ำที่มีขวดเหล้าเกลื่อนจนกระทั่งตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันเดินเข้ามาและนั่งลงบนตักใหญ่ของเขาทำทีว่ามาพึ่งมาหาใหม่ๆ คิดถึงมากมายแทบจะตายจากกันถ้าไม่ได้เจอและจากนั้นแขนของฉันก็ค่อยๆ เข้าไปสอดคล้องกับลำคอใหญ่ของซันทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ฉันกับซันเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เราทั้งสองสร้างขึ้นแต่กับมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูน่ารักวิ่งเข้ามาอย่างหน้าตาตื่นสายตาของเธอมองเราอย่างปวดร้าวดวงใจแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เห็นจะได้มั้ง
“คิดถึงจังเลยค่ะ”
“…”
“รู้ไหมคะว่าเมญ่ารีบมาหาซันมากแค่ไหน?”
การเล่นละครของเราทั้งสองยังคงดำเนินต่อไปอย่างแนบเนียนที่สุดจนกระทั่งสายตาของฉันเข้าไปปะทะกับผู้ชายร่างสูงที่ยืนมองจากระเบียงชั้นสอง สายตาที่ฉันหลงใหลมากเป็นพิเศษมันเหมือนเป็นสิ่งที่ฉันต้องการเข้ามาให้ความอบอุ่นทางร่างกายและจิตใจ
โจเนส....
“….”
แล้วภายในสมองก็คิดอะไรออกมากกว่าการที่ได้นัดแนะกับซันเอาไว้ฉันเองก็แสดงความใจกล้าอย่างไม่มีลิมิตนอกเหนือจากบทนั่นก็คือการนำริมฝีปากแดงจรดเข้าไปยังแก้มของซันทันทีเพื่ออยากเห็นปฏิกิริยาของโจเนสบ้างว่าเขาคิดอย่างไรกับการกระทำของฉันในครั้งนี้
“นั้นใครคะซัน ดูเรามาตั้งนานแล้ว”
“แล้วคิดว่าเป็นใครล่ะ?”
เสียงเรียบเปล่งออกมาเป็นประโยคแรกพร้อมสายตาแข็งแรง
ฉันรู้ว่าซันคงไม่พอใจกับการนอกบทในครั้งนี้แต่ก็ใช้ว่าฉันจะสนใจนิในเมื่อเขาใช้ประโยชน์จากฉัน ฉันเองก็ควรใช้ประโยชน์จากเขาบ้างมันก็แค่นั้นไม่ใช่หรือ?
“เด็กรับใช้?” เธอพูดขึ้นพร้อมมองมาที่ฉันก่อนที่จะกวักมือเรียกเข้าไปใกล้ๆ “เอากระเป๋าฉันไปเก็บที่ห้องซันที ย้ำนะว่าห้องซัน!”
“หึ”
“…”
“ไปสิ ฉันคู่หมั้นซันนะอีกไม่นานก็เป็นเมียแล้ว”
ทันทีที่ผู้หญิงหน้าตาจืดๆ ที่ฉันเดาว่าเป็นเมียของซันเดินนำหน้าลากกระเป๋าของฉันนำทางไปเสียงแข็งก็ได้กระซิบลงมาใกล้หูฉันทันที
“เธอทำบ้าอะไรวะเมญ่า?”
“ก็อยากใช้ประโยชน์จากนายบ้างไง”
ใครจะยอมถึงแม้สายตาของซันจะมีความไม่พอใจผสมบ้างแต่ก็เชื่อเถอะถ้าการกระทำมันมีเหตุผลพอทุกอย่างมันก็จบ
“ไหนนายฉลาดมากไม่ใช่แต่ทำไมสายตาของนายถึงมองไม่เห็นว่าโจเนสเพื่อนรักมากมองอยู่เมื่อกี้มองลงมาจากระเบียง” ริมฝีปากเล็กยกขึ้นด้วยความเบื่อหน่ายไม่เชื่อว่าที่คนอื่นๆ พูดว่ากลุ่มนี้ฉลาดมันยังเป็นจริงอยู่หรือเปล่า “หรือมัวแต่มองเมีย?”
“…”
ภาพที่คนอื่นๆ เห็นอาจจะมองว่าเราทั้งสองเป็นคู่หมั้นที่แสนรักกันปานจะกลืนกินมีการหลอกล้อกันตลอดทางด้วยการกระทำและรอยยิ้มแต่ทว่าทุกอย่างจะไม่มีใครรู้ว่าทั้งฉันและซันต่างสวมหน้ากากเข้าตีบทบาทการแสดงอย่างแนบเนียนถ้าเป็นดารานักแสดงปีนี้คงต้องได้รางวัลเป็นแน่
ยิ่งเมื่อฉันเบี่ยงสายตามองไปยังผู้หญิงร่างเล็กที่แทบจะไม่พูดอะไรเลยสักคำทั้งแต่เดินนำมา ความรู้สึกที่เธอกำลังเจออยู่มันปกปิดได้อย่างไม่แนบเนียนด้วยซ้ำ ความปวดร้าวจนในใจแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงหรือไม่ก็คงแทบกะอักเลือดด้วยซ้ำจนพวกเราเข้ามายังห้องใหญ่ที่เป็นจุดหมายปลายทางที่จะสามารถจบเรื่องบ้าๆ นี้ฉันก็รีบออกจากอ้อมแขนของซันทันทีก่อนจะเดินไปปิดประตู
ปัง!
“ได้ทีลวนลาม”
ฉันค้อนสายตามองไปยังผู้ชายตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นก่อนที่จะทำท่าปัดที่หัวไหล่เบาๆ เหมือนจะบอกว่าตอนนี้ปัดสิ่งสกปรกออกจากตัว
“เหอะ ไม่คิดจะแตะเลยด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็น”
“จำเป็น?” เป็นคำตอบที่ดีเนาะ “อยากจะลองใจเมียหรือไงซัน?”
“…”
“สิ้นคิด” ฉันพูดออกมาพร้อมมองไปยังซันที่ยังมีท่าทีเฉยๆ ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นแม้กระทั่งคำพูดของฉันเอง “ไปตามเมียนายซะไป ป่านนี้ไปกระโดดทะเลตายแล้วมั้ง”
ปัง!
แล้วสุดท้ายสิ้นเสียงของฉันร่างสูงก็รีบวิ่งออกจากห้องไปโดยที่ฉันเองก็เกือบพูดไม่จบด้วยซ้ำไป พึ่งมาคิดได้เหรอว่าวิธีของตัวเองมันเป็นการทำร้ายเมียตัวเองทางอ้อม สายตาของฉันมองไปรอบๆ ห้องจากนั้นก็คว้ากระเป๋าเดินทางลากออกไปทันที
พอเดินมาเรื่อยๆ ตามทางเดินที่รอบข้างทั้งสองข้างทางถูกปลูกด้วยไม้ดอกนานาชนิดอีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมพร้อมกับสีสันมากมาย ห้องที่ฉันจองไว้มันเป็นห้องเดี่ยวที่มีชั้นเดียวนอกจากนี้ยังอยู่ใกล้ทะเลมากกว่าห้องที่พึ่งจากมาก กลิ่นอายของทะเลปะทะเข้าใบหน้าจนร่างกายเผลอสูดดมอากาศเข้าไปเต็มๆ พร้อมกับการหลับตาที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
“ป่วนครอบครัวคนอื่นพอยัง?”
แล้วร่างกายก็สะดุ้งกับเสียงทุ้มเรียบที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองจนทำให้ฉันต้องลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมเบี่ยงไปมองร่างสูงผิวสีแทนที่พิงกับต้นไม้ใหญ่ราวกับถ่ายแบบอยู่ เขาดูดีมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ขนาดฉันไม่เจอตั้งปีกว่า
แต่ทว่าคำทักทายของโจเนสทำให้ฉันต้องเผลอหงุดหงิดขึ้นมาทั้งๆ ที่เมื่อก่อนหน้านี้ยังมีความดีใจอยู่ด้วยซ้ำไป
“มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน” ฉันพูดตอบเขาบ้าง “แล้วอีกอย่างทำไมฉันต้องป่วนด้วย ยัยหน้าจืดคนนั้นสิที่เข้ามาป่วนคู่หมั้นของฉันเองไม่ใช่เหรอ?”
“…”
“หึ เงียบทำไมล่ะ ไม่เจอกันนานนายยิ่งพูดน้อยลง”
“แล้ว?” ผมมองหน้าเมญ่าที่เชิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเอาแต่ใจทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นสไตล์เด็กนอก “เธอเกี่ยวอะไร?”
“ก็กลัวนายจะเป็นใบ้ก่อนหาเมียได้ไง” โจเนสตั้งใจว่าให้ฉันเสือกสายตาของฉันที่ฟาดฟันกับเขายังส่งออกมาอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
“ห่วงตัวเองเถอะ”
“ทำไมฉันต้องห่วง?”
“อีกมันนานอาจโดนถอนหมั้นไม่ใช่ถอนธรรมดา ถอนแบบเอาเธอแทบช็อคด้วยเพราะมันอาจมีของแถมเช่น เมียและลูกของไอ้ซันไง!”
ความอวดดีของผู้หญิงคนนี้มันมีอยู่เต็มเปี่ยมสำหรับผมเธอทั้งหน้าด้านมาก แรดมาก ทำตรงข้างกับสิ่งที่ผู้หญิงดีๆ เขาทำทุกประการ
“I don’t care.” ฉันทำท่าไม่เครียดกับสิ่งที่โจเนสพูด “ยังมีคนอื่นให้ฉันเลือกอีกเยอะหนึ่งในนั้นก็นายไง โจเนส..”
โจเนสรับรู้มาตลอดว่าฉันคิดอย่างไงกับเขาแต่เขาก็ไม่สนใจมันเท่าไหร่นักไม่บ่อยมากที่เขาจะเข้ามาพูดกับฉันแบบนี้สองต่อสอง การพูดจาของโจเนสก็ตามสไตล์โหดๆ นิ่ง ไม่มีการอ้อมใดๆ ทั้งสิ้น
“ขนาดมีคู่หมั้นแล้ว เธอยังแรด ได้ขนาดนี้!”
“แล้วอยากมีเมียเป็นแรดป่ะล่ะ?”
ก็บอกแล้วไงว่าถ้อยคำหรือคำพูดของโจเนสมันตรงโดยไม่มีการอ้อมค้อมอะไรเลยแม้ว่าคู่สนทนาของเขาจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กอย่างฉันก็ตามแต่
“แรดอย่างเธอชาตินี้ก็ไม่มีวันเอาแน่!”