เช้าวันอังคารมาถึงพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งภายในหัวใจของมาธวี เธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆ จากการร้องไห้หนักเมื่อคืน ภาพใบหน้าขององศาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่แฝงด้วยความเย็นชาเมื่อเขาเผยความจริงบนรถยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในห้วงความคิด
‘ท่านประธานองศา... บาร์เทนเดอร์... เขาคือคนเดียวกัน’
ความจริงข้อนี้ทำให้เธอไม่สามารถทำใจยอมรับได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของความอับอายที่ไปจ่ายเงินปิดปากเจ้าของบริษัท แต่เป็นความรู้สึกเหมือนถูกหลอกและถูกคุกคามโดยอำนาจที่เหนือกว่า
มาธวีพยายามแต่งตัวและทานอาหารเช้าตามปกติ แต่ทุกการเคลื่อนไหวดูเชื่องช้าและไร้ชีวิตชีวา คุณยายมาลัยสังเกตเห็นความผิดปกติของหลานสาว แต่มาธวีก็อ้างเพียงว่านอนไม่พอเพราะเครียดเรื่องงาน
การเดินทางไปบริษัทวันนี้เป็นไปด้วยความหนักใจ เธอเดินเข้าสู่ล็อบบี้ของตึกสูงด้วยหัวใจที่เต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เธอรู้ว่าต้องขึ้นไปที่ชั้น 25 เพื่อช่วยงานพี่ชไมพรและนั่นหมายถึงการเผชิญหน้ากับองศาอย่างเลี่ยงไม่ได้
‘ถ้าเขาจะยกเลิกการฝึกงานของฉันจริง ๆ ก็ปล่อยให้เป็นไปเถอะ อย่างน้อยฉันก็จะได้ไม่ต้องเจอเขาอีก’ เธอคิดเรื่องนี้มาตลอด แต่ในใจลึกๆ ก็อดเสียดายโอกาสดี ๆ ที่ได้ฝึกงานในบริษัทใหญ่โตแบบนี้ไม่ได้
เมื่อมาถึงชั้นผู้บริหาร เธอเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ด้วยท่าทางที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด
“สวัสดีค่ะพี่แก้ว”
“อ้าว ผึ้ง มาเช้าจังเลยนะ” ชไมพรยิ้มต้อนรับ
“แต่พี่แก้วก็มาเช้ากว่าหนูอีกนะคะ พรุ่งนี้หนูคงต้องมาเช้า ๆ”
“ผึ้งมาเวลาปกตินั่นแหละจ้ะ ไม่ต้องรีบมาแต่เช้าหรอกนะ”
“ค่ะพี่แก้ว”
“ไหน ๆ ก็มาแล้วเอากาแฟเข้าไปให้คุณองศาหน่อยนะ”
“นี่ท่านประธานมาทำงานแล้วเหรอคะ ทำไมมาเช้าจัง”
“พี่เองก็แปลกใจนะว่าทำไมถึงมาเช้า ผึ้งเอากาแฟเข้าไปให้ก่อนเถอะ มาเช้าแบบนี้คงยังไม่ได้กินอะไรมา”
“แล้วเขากินแค่กาแฟเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ คุณองศาเขากินแค่กาแฟดำนะ”
“ค่ะพี่แก้ว”
มาธวีเดินมาชงกาแฟจากนั้นก็เดินไปเคาะห้องท่านประธานก่อนจะเปิดเข้าไปเอากาแฟวางบนโต๊ะให้เขาแล้วรีบเดินออกมาโดยไม่ได้พูดอะไร
“พี่แก้วคะ วันนี้หนูต้องเริ่มงานอะไรก่อนดีคะ” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น
“วันนี้มีแฟ้มจากฝ่ายการตลาดที่ต้องนำไปเสนอท่านประธานด่วนตอนสิบโมง พี่อยากให้ผึ้งช่วยจัดลำดับความสำคัญของเอกสารในแฟ้มนี้ให้ดีก่อน ท่านประธานไม่ชอบเอกสารที่ไม่เป็นระเบียบ จำที่พี่บอกได้ใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจก็ถามได้นะ”
“ได้ค่ะพี่แก้ว” มาธวีรับแฟ้มมาจัดการอย่างตั้งใจ งานเอกสารทำให้ความกังวลของเธอทุเลาลงไปได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่สายตาเหลือบไปที่ประตูห้องทำงานบานใหญ่ เธอก็รู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองออกมาทั้งที่ประตูห้องก็ปิดทึบ
“ผึ้งจ๊ะ แฟ้มเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่แก้ว”
“ดีมากจ้ะ เอาแฟ้มนี้เข้าไปให้ท่านประธานเลยนะ ท่านรออยู่พอดี”
มาธวีรู้สึกว่าเท้าหนักอึ้งเหมือนมีหินถ่วงอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอหยิบแฟ้มขึ้นมาแล้วเดินไปที่ประตูห้องทำงานขององศา เธอเคาะประตูอย่างเบามือที่สุด
ก๊อก... ก๊อก...
“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำตอบกลับมาเหมือนทุกครั้ง
มาธวีเปิดประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ องศานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ของเขา โดยมีกองเอกสารกองอยู่ด้านหน้า เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา
“แฟ้มการตลาดท่านค่ะท่านประธาน” มาธวีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามรักษาระยะห่างที่เหมาะสม
“วางไว้ตรงนั้น” องศาชี้นิ้วไปที่มุมหนึ่งของโต๊ะ
มาธวีเดินไปวางแฟ้มตามที่เขาสั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยกลับออกมาเพื่อเตรียมตัวออกจากห้อง
แต่แล้วเสียงขององศาก็รั้งเธอไว้
“เดี๋ยว....”
มาธวีหยุดนิ่ง หัวใจเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เธอรวบรวมความกล้าแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา
“คะ? ท่านประธาน” เธอไม่ได้ใช้คำว่าคุณองศา อีกต่อไปเพื่อเป็นการรักษาระยะห่างและสถานะทางอาชีพไว้อย่างชัดเจน
องศาพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบมองเธออย่างพิจารณา แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย ไม่มีร่องรอยของความโกรธ ความเจ้าเล่ห์หรือแม้แต่ความเสียใจจากเมื่อคืนเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ช่วยเตรียมข้อมูลสรุปยอดของไตรมาสแรกไว้ด้วย เย็นนี้ผมอาจจะต้องใช้” องศาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการ
“เดี๋ยวหนูบอกพี่แก้วให้ค่ะ”
“คุณเพิ่งช่วยเธอทำสรุปยอดเมื่อคืน ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดน่าจะยังอยู่ในสมองของคุณ ไปเอาไฟล์จากระบบมาแล้วจัดทำ Power Point ให้ผมดูง่ายที่สุด”
มาธวีกัดริมฝีปากแน่น การพูดถึงเมื่อคืนของเขานั้น ไม่ใช่การพูดถึงเหตุการณ์ในรถ แต่เป็นการพูดถึงงานที่เธอช่วยชไมพรล่วงเวลา นั่นแสดงว่าเขารับรู้ทุกรายละเอียดของการทำงานของเธอ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุด
“ค่ะท่านประธาน” เธอตอบรับอย่างจำนน
“แล้วอีกอย่าง รบกวนคุณช่วยเอาแก้วกาแฟใบนั้นไปทิ้งให้ผมด้วย” เขาชี้ไปที่แก้วกาแฟเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ
มาธวีรู้สึกเหมือนถูกแกล้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอเดินไปหยิบแก้วกาแฟที่เย็นชืดมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไม่มีคำพูดใด ๆ อีก
เมื่อประตูห้องทำงานปิดลง มาธวีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความรู้สึกอึดอัดหนักอึ้งจนแทบจะหายใจไม่ออก
‘เขา... ทำไมเขาถึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย’ เธอคิดว่าเขาจะแสดงความโกรธ หรืออย่างน้อยก็ใช้ถ้อยคำที่ทำให้เธอต้องรู้สึกอับอาย
แต่เขากลับเลือกที่จะใช้ความเงียบและความเป็นทางการมาบีบให้เธอต้องอยู่ในสถานะเด็กฝึกงานที่ต้องทำตามคำสั่งของท่านประธานเท่านั้น
ความนิ่งเฉยของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าการแสดงความโกรธเสียอีก เพราะมันทำให้เธอไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขาต้องการอะไรจากเธอ
ตลอดช่วงเช้าวันนี้มาธวีจมอยู่กับการทำสไลด์นำเสนอข้อมูลสรุปยอดส่วนชไมพรก็ยังคงวุ่นอยู่กับงานของตัวเอง
ในขณะที่มาธวีกำลังจดจ่อกับการจัดรูปแบบตัวเลขและกราฟอยู่นั้น ในห้องทำงานที่ปิดสนิทองศาไม่ได้สนใจเอกสารที่กองอยู่เลยแม้แต่น้อย เขานั่งพิงพนักเก้าอี้แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาคมกริบของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
‘อยากจะลืมงั้นเหรอ? ฝันร้ายงั้นเหรอ’ คำพูดของมาธวีเมื่อคืนยังคงก้องอยู่ในหูของเขา
องศายกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ตอนแรกเขาตั้งใจจะใช้เรื่องราวในคืนนั้นมาข่มขู่หรือเรียกร้องบางอย่างจากเธอ เพื่อให้เธอยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขา ไม่ว่าจะเป็นความสนใจหรือความต้องการที่เขาเคยสัมผัสได้ในคืนนั้น แต่เมื่อได้เห็นแววตาหวาดกลัวและเสียใจของเธอเมื่อคืน เขาก็รู้ทันทีว่าวิธีนั้นใช้ไม่ได้ผล
‘ถ้าคุณจะลืม... ผมก็จะทำให้คุณจำ’
การแสดงความเจ้าเล่ห์หรือการข่มขู่จะยิ่งผลักเธอออกไปไกลกว่าเดิม สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นการครอบครองความคิดและความรู้สึกของเธอทั้งหมด
เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะใช้สถานะท่านประธานในการบีบให้เธอเข้ามาในชีวิตเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นการลดความตึงเครียดส่วนตัวของเธอลง แต่ก็ยังคงรักษาระยะห่างทางอำนาจไว้เพื่อให้เธอไม่กล้าแข็งข้อ
องศาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก
“คุณแก้วต่อจากนี้ผมอยากให้คุณมอบหมายงานให้น้ำผึ้งมากหน่อยนะ ฝึกเธอให้เก่งเพราะถ้าคุณลาคลอดผมจะได้มีเลขาที่ทำงานคล่องเหมือนคุณ”
“นี่คุณจะจ้างเธอเหรอคะ” ปลายสายกระซิบถาม
“ครับ หรือคุณอยากฝึกคนอื่นล่ะ”
“ไม่ล่ะคะคนนี้ฝึกง่ายขยันมากด้วย แก้วว่าโอเคเลยค่ะ”
“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ นะเริ่มจากการประชุมเย็นนี้ ให้เธอเตรียมแฟ้มให้ผมด้วย ผมจะให้เธอเข้าร่วมประชุมกับผมในฐานะผู้ช่วย บอกให้เธอเตรียมตัวให้ดี”
“ได้ค่ะ”
องศาวางสายลง แล้วหันกลับไปมองประตูห้องทำงานอีกครั้ง ดวงตาคมกริบเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น
‘ผมไม่ใช่บาร์เทนเดอร์ที่เธอสามารถจ่ายเงินสามพันแล้วเดินหนีไปได้อีกแล้วน้ำผึ้ง ต่อจากนี้ไปคุณจะต้องอยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา’
ในขณะเดียวกัน มาธวีกำลังพิมพ์ข้อมูลสุดท้ายของสไลด์นำเสนอเสร็จพอดี เธอรู้สึกดีใจที่เสร็จงานได้อย่างรวดเร็ว เธอไม่รู้เลยว่าการที่เธอเข้ามานั่งทำงานในชั้นผู้บริหารนี้ไม่ใช่แค่การช่วยงานเลขาฯ แต่มันคือเอาคืนที่เธอบังอาจมาดูถูกเขาด้วยเงินสามพันบาท