มาธวีใช้เวลาช่วงเที่ยงในการจัดการกับอาการมึนงงและทำใจกับความจริงที่ว่าต้องทำงานภายใต้การควบคุมโดยตรงของท่านประธาน
เธอพยายามรวบรวมสมาธิในการจัดทำสไลด์ Power Point สรุปยอดไตรมาสแรกที่องศาสั่งขณะที่มาธวีกำลังตรวจสอบตัวเลขสุดท้ายบนจอคอมพิวเตอร์ ชไมพรก็หันมาคุยกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผึ้งจ๊ะ งานสรุปยอดเสร็จหรือยัง”
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะพี่แก้ว เหลือแค่ใส่กราฟอีกนิดหน่อยค่ะ”
“ดีเลยจ้ะ เพราะพี่มีเรื่องด่วนจะบอก เย็นนี้ประมาณห้าโมงครึ่ง คุณองศาต้องการให้ผึ้งเข้าร่วมประชุมน่ะ”
“พี่แก้วก็เข้าประชุมด้วยใช่ไหมคะ”
“เปล่าจ้ะ พี่คงไม่เข้าด้วยเพราะเป็นการประชุมแค่ในบริษัท และพี่ก็มีธุระต้องไปจัดการ”
มาธวีถึงกับวางมือจากคีย์บอร์ด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“แต่หนูเป็นแค่เด็กฝึกงานนะคะพี่แก้ว”
“พี่รู้จ้ะ พี่ก็ตกใจเหมือนกัน แต่นี่เป็นคำสั่งของคุณองศาโดยตรงเลยนะ ท่านบอกว่าต้องการให้หนูเข้าไปในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวในการนำเสนอข้อมูลสรุปยอดที่หนูทำ”
“แต่หนูกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีนะคะพี่แก้ว หนูไม่มีประสบการณ์เลย” มาธวีพยายามปฏิเสธ เธอรู้สึกว่านี่ไม่ใช่โอกาสแต่เป็นกับดักที่ถูกวางไว้อย่างตั้งใจ
“คุณองศาย้ำกับพี่แล้วจ้ะว่าไม่เป็นไร ท่านต้องการให้หนูไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ท่านยังกำชับให้พี่สั่งหนูว่าไม่ต้องกังวลมันเป็นการประชุมเล็ก ๆ ภายในเองนะมีแต่หัวหน้าแผนกเข้าประชุม พี่ว่าเป็นโอกาสดีนะ”
‘โอกาสอะไรกัน... นี่มันการกลั่นแกล้งชัดๆ’ มาธวีคิดในใจ ความรู้สึกหวาดระแวงพุ่งสูงขึ้น เธอแน่ใจว่าองศาทำแบบนี้เพื่อเป็นการลงโทษที่เธอดูถูกเขาด้วยเงินสามพันบาท การให้เธอเข้าห้องประชุมผู้บริหารเท่ากับเป็นการโยนเธอลงไปกลางทะเลลึกโดยที่ไม่มีชูชีพ
“พี่แก้วคะ หนูขอปฏิเสธได้ไหมคะ” มาธวีพยายามหาทางออก
“เป็นคำสั่งโดยตรงจากคุณองศาจ้ะ ผึ้งรู้ดีว่าถ้าเขาสั่งแล้วเราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
คำพูดนั้นทำให้มาธวีเงียบไปทันทีองศาได้ใช้อำนาจสูงสุดในบริษัทมาบีบเธออย่างชัดเจน การปฏิเสธคำสั่งนี้เท่ากับการจบเส้นทางการฝึกงานของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้น หนูจะต้องเตรียมอะไรบ้างคะ” ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้เธอก็ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพราะถ้าเธอทำพลาดเขาก็คงจะรอเหยียบซ้ำ
“นำ Power Point ที่ทำเสร็จแล้วใส่แฟลชไดรฟ์ไว้ แล้วก็พิมพ์สำเนาเอกสารสรุปยอดออกมาเผื่อไว้ด้วยสองสามชุด ที่สำคัญ ทำใจให้สบาย แล้วก็มั่นใจในตัวเองนะ”
เวลา 17:30 น.
มาธวีเดินตามหลังองศาไปที่ห้องประชุมด้วยหัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับกลองศึก
ห้องประชุมหรูหรามีโต๊ะยาวขนาดใหญ่และผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าแผนกหลายคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ
องศานั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะ ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้รอยยิ้ม แววตาไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด ๆ
“มาธวีมานั่งข้างผม” องศาออกคำสั่งสั้น ๆ โดยไม่มองหน้าเธอเลยแม้แต่น้อย
“แนะนำตัวกับทุกคน” องศาสั่งเสียงเรียบ
มาธวีตัวแข็งทื่อ แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้า
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมาธวี เป็นนักศึกษาฝึกงานวันนี้มาช่วยท่านประธานนำเสนอข้อมูลค่ะ”
เสียงทักทายของผู้บริหารดังตอบกลับมาเบา ๆ มาธวีรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความกังวลและความกดดัน
เพชรภูมิหุ้นส่วนและเป็นเพื่อนสนิทขององศา นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เขายกยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย เขาเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวคืนนั้นขององศาและบรรยากาศที่แปลกประหลาดนี้ทำให้เขาเริ่มสนใจ
“เอาล่ะ เริ่มได้” องศาเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ
มาธวีเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วฉาย Power Point ขึ้นจอใหญ่ด้วยมือที่เย็นเฉียบแต่สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดก็ทำงาน เธอเริ่มนำเสนอข้อมูลสรุปยอดไตรมาสแรกอย่างติด ๆ ขัดๆ ในช่วงแรก แต่เมื่อเริ่มเข้าที่เข้าทาง เธอก็สามารถอธิบายข้อมูลที่เป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจนตามที่ได้ฝึกฝนมา
ขณะที่เธอกำลังนำเสนออย่างเต็มที่องศาก็ไม่ได้มองไปที่หน้าจอเลยแต่เขากลับจ้องมองใบหน้าของมาธวีตลอดเวลา
“ท่านประธานคะ กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วประมาณ 5%” เธออธิบาย
“ทำไมถึงเพิ่มขึ้น” องศาถามขึ้นทันที น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดุดัน แต่เย็นชาจนน่ากลัว
“จากข้อมูลที่รวบรวมมา ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาคารค่ะ” มาธวีตอบอย่างรวดเร็ว พยายามแสดงให้เห็นว่าเธอศึกษาข้อมูลมาอย่างดี
“คุณแน่ใจนะว่ามาจากค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาคาร” องศาถามย้ำ
“จากข้อมูลสรุปยอดที่ฉันได้รับมาเป็นแบบนั้นค่ะท่านประธาน”
“ผมว่าคุณต้องตรวจสอบใหม่นะ” องศายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ตัวเลข 5% สำหรับบริษัทเราไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คุณต้องมั่นใจในข้อมูล”
คำพูดนั้นทำให้มาธวีรู้สึกหน้าชาเธอถูกท้าทายต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงนี่ไม่ใช่การสอนงาน แต่เป็นการกดดันและตั้งใจทำให้เธอรู้สึกผิดพลาด
“ขอโทษค่ะท่านประธาน ฉันจะรีบตรวจสอบใหม่ให้ละเอียดค่ะ”
“ไม่เป็นไร มาธวีคุณทำได้ดีแล้ว เอกสารสรุปยอดโดยทั่วไปก็ถูกต้องสมบูรณ์ดี แต่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง” เพชรภูมิที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง เขายิ้มให้มาธวีอย่างให้กำลังใจ ซึ่งรอยยิ้มนั้นแตกต่างจากองศาอย่างสิ้นเชิง
“ขอบคุณค่ะคุณเพชรภูมิ” มาธวีรู้สึกโล่งใจที่ยังมีคนเข้าใจ
องศาเหลือบมองเพชรภูมิด้วยสายตาที่เฉียบคมราวกับจะตำหนิแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
การประชุมดำเนินต่อไปด้วยการนำเสนอของผู้บริหารฝ่ายอื่น ๆ แต่ตลอดเวลานั้น มาธวีก็ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาขององศาที่จับจ้องมาที่เธอเป็นระยะ
มาธวีไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองเธอด้วยสายตาแบบไหน เขากำลังให้โอกาสเธอในการเติบโตในตำแหน่งที่ไม่เคยมีเด็กฝึกงานคนไหนได้รับหรือเขากำลังสนุกกับการเห็นเธอต้องดิ้นรนภายใต้อำนาจของเขา เธอรู้สึกสับสนกับท่าทีขององศาที่บางครั้งดูเหมือนจะรอคอยให้เธอแสดงความสามารถ แต่บางครั้งก็ดูเหมือนจงใจทำให้เธอขายหน้า
เมื่อการประชุมจบลงผู้บริหารต่างทยอยกันเดินออกไปจากห้องเหลือเพียงองศา เพชรภูมิและมาธวีที่กำลังเก็บอุปกรณ์
“ฉันว่าน้องน้ำผึ้งนี่เก่งจริงๆ นะองศา เป็นเด็กฝึกงานคนแรกที่กล้าขึ้นมานำเสนอข้อมูลต่อหน้าพวกเรานะเนี่ย” เพชรภูมิเดินเข้ามาใกล้โต๊ะ
“แน่นอน ผมเป็นคนเลือกมาเอง ย่อมไม่ธรรมดา” องศาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินอ้อมโต๊ะมาหามาธวี
คำพูดขององศาทำให้เพชรภูมิยิ้มอย่างรู้ทัน ส่วนมาธวีรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกครั้งกับความรู้สึกเป็นเจ้าของที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“ผมหวังว่าคุณจะเห็นโอกาสที่ผมมอบให้คุณนะน้ำผึ้ง” องศาก้มลงมากระซิบข้างหูเธอเบา ๆ ขณะที่เพชรภูมิยืนอยู่ไม่ไกล ลมหายใจอุ่น ๆ ทำให้มาธวีขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขากำลังทำให้เธอรู้สึกว่าต้องสู้ให้มากกว่านี้
“หนูจะทำให้ดีที่สุดค่ะท่านประธาน” เธอตอบเสียงหนักแน่น
“ดี” องศายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้เพชรภูมิยืนมองทั้งคู่อย่างสนใจ
“ดูท่าท่างแล้วฉันว่านายจะเอาคืนเธอได้แล้วนะองศา” เพชรภูมิพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหามาธวี
“น้องน้ำผึ้งเก่งมากจริง ๆ นะ อย่าไปสนใจท่าทีของท่านประธานเลย เขาเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ถ้าเขาเลือกใครแล้วแปลว่าคนนั้นต้องมีดีจริง ๆ” เพชรภูมิให้กำลังใจ
“ขอบคุณค่ะคุณเพชรภูมิ”
“ผมกลับก่อนนะ แล้วเจอกัน” เพชรภูมิยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป
มาธวีเดินออกจากห้องประชุมด้วยความรู้สึกที่สับสนอย่างที่สุด โอกาสในการเป็นผู้ช่วยเลขาฯ และการได้เข้าร่วมประชุมระดับสูง มันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ แต่ในขณะเดียวกันการกลั่นแกล้งและการบีบด้วยอำนาจขององศาก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมที่เธอไม่รู้กฎเลย
สิ่งเดียวที่มาธวีรู้ตอนนี้คือเธอต้องแกร่งพอที่จะรอดพ้นจากเกมนี้ให้ได้