หลังจากมาธวีกลับไปแล้ว องศาก็ยืนนิ่งเงียบในห้องทำงานใหญ่ สีหน้าเขาเรียบเฉย แม้จะรู้ชื่อของเธอแล้วแต่ชายหนุ่มก็อยากจะมั่นใจว่าไม่ผิดคน ตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองมักจะจำใบหน้าผู้คนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะผู้หญิง แต่ใบหน้าของเด็กฝึกงานคนนั้นมันคุ้นเหลือเกิน
“ไม่ผิดแน่กลิ่นนี้...กลิ่นเดียวกับเธอคนนั้น...” เขาจำกลิ่นเธอได้ตอนที่เธอเดินสวนทางกับเขาแม้แค่เสี้ยววินาทีแต่มันก็ชัดเจนในความรู้สึก
องศาเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน พลิกดูเอกสารในมือแต่สมาธิกลับไม่อยู่กับเนื้อหาแม้แต่น้อย ดวงตาคมมองผ่านกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนภาพของเมืองกรุงเบื้องล่าง แต่ในใจกลับเห็นเพียงใบหน้าผู้หญิงที่เคยยิ้มให้เขาท่ามกลางเสียงเพลง ท่านประธานหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจยาว ก่อนจะกดปุ่มอินเตอร์คอมเรียกเลขา
“มีอะไรหรือคะ คุณองศา?” เสียงนุ่มของเลขาดังขึ้นทันที
“เข้ามาข้างในหน่อยผมมีเรื่องจะถาม”
ออกคำสั่งไปไม่นานประตูห้องทำงานก็เปิดออกพร้อมด้วยเลขาที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“เมื่อกี้ เด็กฝึกงานที่เอาเอกสารมาให้ชื่ออะไร”
“มาธวีค่ะ ชื่อเล่นน้ำผึ้งเธอมาจากมหาวิทยาลัยที่เรารับนักศึกษาฝึกงานเข้ามาเป็นประจำค่ะ”
“น้ำผึ้งเหรอ...” เขาทวนชื่อในใจซ้ำช้า ๆ คำเดียวกันกับที่เขาเคยได้ยินในคืนนั้น ตอนที่เธอหัวเราะออกมาหลังจากเขาเอ่ยชื่อเล่นของเธอ ตอนที่เธอพูดจายั่วเขาด้วยแววตากล้าท้าทาย
“ชื่อฟังดูหวานดีนี่นา”
“แต่ระวังจะโดนผึ้งต่อยเอานะคะ...”
เสียงนั้นยังคงชัดในความทรงจำของเขา
“คุณองศามีอะไรหรือเปล่าคะ” ชไมพรถามเมื่อเห็นเจ้านายนิ่งไปนาน
“ช่วยส่งรายชื่อเด็กฝึกงานทั้งหมดของบริษัทมาให้ผมด้วยนะ”
“ได้ค่ะคุณองศา” เธอตอบรับโดยไม่ถามอะไรก่อนจะเดินกลับออกมาจากห้องทำงานใหญ่
องศารอไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งแฟ้มประวัติของนักศึกษาฝึกงาน
“นี่เป็นประวัติของนักศึกษาฝึกงานทั้งหมดค่ะ ปีนี้เรารับมาห้าคนกระจายไปตามแผนกต่าง ๆ เอกสารพวกนี้ฝ่ายบุคคลไม่ได้เอาลงคอมพิวเตอร์คุณองศาต้องอ่านในแฟ้มไปก่อนนะคะ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ”
หลังประตูปิดลง เขาเปิดแฟ้มพลิกดูรายชื่ออย่างตั้งใจ
ชื่อมาธวีปรากฏอยู่ในหน้าแรกสุด พร้อมรูปถ่ายติดมุมกระดาษ
รอยยิ้มสดใสของหญิงสาวในรูปทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว
“ใช่เธอจริง ๆ ด้วยน้ำผึ้ง” เขาพึมพำอย่างมั่นใจ
องศาหลับตาลง นึกถึงเช้าวันนั้นที่เขาตื่นขึ้นมาและพบเพียงกระดาษโน้ตและเงินสามพันบาท เขาหยิบซองเล็ก ๆ นั้นออกมาจากลิ้นชัก จ้องมองมันอีกครั้งด้วยแววตาที่ผสมทั้งขำ ทั้งหงุดหงิด
‘ฉันไม่รู้ว่าบาร์เทนเดอร์อย่างคุณคิดค่าตัวเท่าไหร่ แต่ขอให้เงิน 3,000 บาทนี้ เป็นค่าปิดปากเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นคืนนี้นะคะ’
“เธอกล้าดีนะที่ทำแบบนี้กับฉัน แต่เธอคงไม่หนีได้ตลอดหรอกในเมื่อตอนนี้เราอยู่บริษัทเดียวกัน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในห้องเงียบๆ ริมฝีปากเขายกยิ้มมุมเล็กๆ อย่างมีแผนในใจไม่ใช่ยิ้มแบบนักธุรกิจ แต่เป็นยิ้มของผู้ชายที่เริ่มสนุกกับการไล่ล่า
ช่วงเย็นมาธวีเดินลงมาที่ล็อบบี้ของตึกสูงหลังเลิกงาน หญิงสาวรู้สึกเหมือนทั้งวันใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ตั้งแต่ตอนบ่ายที่ได้เจอผู้ชายคนนั้นเธอก็เอาแต่คิดถึงภาพนั้นซ้ำไปมา
“เธอเป็นบ้าอะไรของเธอนะผึ้ง ก็แค่เจอประธานบริษัททำไมต้องรู้สึกใจเต้นด้วยล่ะ เขาก็แค่คนหน้าคล้ายไม่มีทางเป็นคนเดียวกันแน่นอน” มาธวีบ่นกับตัวเองเบา ๆ ระหว่างรอรถเมล์ แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองยังไง ภาพของท่านประธานก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ แล้วส่ายหัวแรง ๆ เพื่อไล่ความคิดนั้น
แล้ววันศุกร์มาถึงอย่างรวดเร็ว มาธวีเริ่มคุ้นเคยกับงานประจำวันของแผนกธุรการแล้ว เธอสามารถจัดการงานเอกสาร สแกนและจัดเรียงแฟ้มได้อย่างคล่องแคล่ว ทุกคนในแผนกต่างชื่นชมในความขยันและเรียนรู้งานเร็วของเธอ
“น้ำผึ้งนี่เก่งจริง ๆ เลยนะเนี่ย พวกพี่สบายไปเยอะเลยตั้งแต่มีหนูมาช่วย” พี่ศิริอรเอ่ยชมระหว่างมื้อกลางวัน
“หนูแค่ทำตามที่พี่ ๆ สอนค่ะ” มาธวีตอบด้วยรอยยิ้ม
เย็นวันนั้นหลังจากเคลียร์งานเสร็จ มาธวีช่วยพี่พิมพ์จัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยก่อนจะกลับบ้าน
“เจอกันวันจันทร์นะคะพี่พิมพ์ พี่อร” มาธวีโบกมือลาพี่ ๆ ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์
ขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออก เธอก้าวเข้าไปพร้อมกับพนักงานอีกสองสามคน แต่ก่อนที่ประตูจะปิดก็มีเสียงทุ้มต่ำแทรกเข้ามา
“เดี๋ยวก่อน”
ทุกคนในลิฟต์หันไปมองพร้อมกัน และมาธวีก็รู้สึกว่าเลือดในกายเย็นวาบเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามาในลิฟต์ด้วยท่าทางที่สง่างามนั้นคือท่านประธานองศา
เขายืนอยู่ท่ามกลางพนักงานตัวเล็ก ๆ คนอื่นด้วยรัศมีที่แผ่ซ่านออกมาจนทุกคนต้องเงียบกริบ พนักงานคนอื่นยืนตัวตรงด้วยความประหม่า
มาธวีเลือกที่จะยืนอยู่มุมหลังสุดของลิฟต์ ก้มหน้ามองปลายรองเท้าของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับท่านประธานที่แสนจะเย็นชา
“คุณ” เสียงทุ้มต่ำเรียกขึ้น
มาธวีเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมาที่เธออย่างไม่ผิดตัว
“คะ ท่านประธาน” เธอตอบเสียงสั่น
“นักศึกษาฝึกงานแผนกธุรการใช่ไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
“ค่ะ”
“เช้าวันจันทร์ขึ้นมาพบผมที่ห้องทำงานด้วย” องศายกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นแต่กลับทำให้หัวใจของมาธวีเต้นรัวอย่างน่าประหลาด
คำสั่งนั้นทำให้ทุกคนในลิฟต์มองมาที่มาธวีเป็นตาเดียวด้วยความตกใจ
“ขึ้นไปพบท่านประธานเหรอคะ” มาธวีถามทวนอย่างไม่เข้าใจ เธอเป็นแค่เด็กฝึกงานในแผนกธุรการ ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ท่านประธานจะต้องเรียกพบโดยตรง
“ใช่ ผมมีงานบางอย่างให้คุณช่วยเลขาของผมจะโทรไปแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมที่แผนกธุรการ” องศาไม่ให้โอกาสเธอซักถาม
เมื่อลิฟต์หยุดที่ชั้นล่างสุดเขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในลิฟต์
“นี่น้องไปทำอะไรมาเนี่ย? ท่านประธานเรียกพบโดยตรงเลยนะ ขนาดพี่ทำงานมาห้าปี ยังไม่เคยได้เข้าห้องท่านประธานเลย” พนักงานคนหนึ่งรีบหันมาถามมาธวีทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง
“หนูไม่รู้จริง ๆ ค่ะพี่ หนูจะซวยไหมคะ”
“ไม่หรอก ห้องนั้นใคร ๆ ก็อยากจะเข้าไป” พี่คนหนึ่งพูดขึ้น
ตลอดทางกลับบ้าน มาธวีเอาแต่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นเธอไม่รู้ว่าเขามีงานอะไรที่จะต้องมอบหมายให้เด็กฝึกงานทำหรือว่าเอกสารที่ฉันจัดเมื่อวานมีอะไรผิดพลาดไปยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเครียด ในภาพใบหน้าเคร่งเครียดของท่านประธานทับซ้อนกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของบาร์เทนเดอร์คนนั้น ถึงแม้จะแตกต่างกันแต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับให้ความรู้สึกอันตรายจนขนลุก
เมื่อถึงบ้านมาธวีก็เล่าเรื่องการทำงานและเรื่องที่ถูกท่านประธานเรียกพบให้คุณยายมาลัยฟัง
“ดีจังเลยลูก ยายว่าท่านประธานต้องเห็นแววในตัวหลานยายแน่ๆ เลย” คุณยายยิ้มอย่างดีใจ
“หนูว่ามันแปลกๆ นะคะยาย หนูมีนักศึกษาตั้งหลายคนแต่ทำไมท่านประธานถึงเรียกพบหนูล่ะคะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกลูก บางทีเขาอาจจะอยากให้เราไปช่วยประสานงานเอกสารสำคัญอะไรสักอย่างก็ได้ ทำใจให้สบายแล้วตั้งใจทำให้เต็มที่นะ” คุณยายปลอบโยน
มาธวีพยายามจะคิดบวกแต่มันก็ยังเป็นกังวล