“คุณองศาเรียกหนูขึ้นรถมามีอะไรหรือเปล่าคะ?” มาธวีรีบถามหลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถของเขาแล้ว เธอรู้สึกตัวเกร็งไปหมดเพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านประธานของบริษัทมากขนาดนี้
“ผมเห็นว่าเลิกงานผิดเวลาน่ะก็เลยอยากจะไปส่ง”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะคุณองศา หนูนั่งรถเมล์ไปไม่กี่ป้ายก็ถึงบ้านแล้ว”
“รังเกียจผมเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะแต่หนูเกรงใจค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ
“แต่ผมเป็นคนทำให้คุณต้องเลิกงานผิดเวลานะ ถ้าทำที่แผนกเดิมก็คงได้เลิกงานตามเวลา” องศาพูดเหมือนรู้สึกผิดแต่ทุกอย่างมันเป็นแผนของเขา
“เรื่องนี้หนูเต็มใจเองนะคะ ไม่ได้มีใครบังคับเลยนะคะ”
“แต่ไหน ๆ คุณก็ขึ้นรถมาแล้วยังไงให้ผมไปส่งที่บ้านดีกว่านะ บอกทางมาสิ”
“คุณองศาคะถ้าคุณอยากจะไปส่งจริง ๆ คุณส่งแค่หน้าปากซอยได้ไหม”
“ทำไมล่ะหรือที่บ้านมีใครรออยู่ แล้วกลัวเขาจะรู้ว่ามีผู้ชายมาส่งที่บ้านเหรอ?”
“เปล่าค่ะ หนูอยู่กับยายและหนูไม่อยากให้ยายตกใจที่เห็นคุณองศาซึ่งเป็นถึงประธานบริษัทมาส่งหนูที่บ้าน”
“แต่ผมว่าถ้าผมไปส่งคุณที่บ้านยายคุณน่าจะไม่ว่าอะไรหรอกนะ ท่านก็คงรู้สึกดีที่หลานสาวของท่านถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
“แต่หนูว่าอย่าเลยค่ะ หนูไม่อยากให้คนอื่นรู้ด้วยค่ะ”
“ผมว่านอกจากกลัวยายรู้แล้ว คุณยังกลัวคนอื่นจะรู้อีกหรือเปล่าล่ะ คุณคงกลัวแฟนรู้สินะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะที่หนูบอกว่ากลัวคนอื่นจะรู้ก็คือหนูกลัวเพื่อนที่ฝึกงานด้วยกันจะรู้หรือไม่คนที่บริษัทของคุณองศารู้หนูคงเดือดร้อนแน่ ๆ หนูไม่อยากจบช้านะคะ คุณองศาคะหนูขอร้องล่ะค่ะส่งหนูแค่หน้าปากซอยนะคะ” หญิงสาวมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดเธอกลัวว่าเรื่องนี้คนอื่นจะรู้และมันจะกระทบกับการฝึกงานของเธอ
บรรยากาศในรถเงียบงันชั่วขณะ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่เดินเบา ๆ กับเสียงลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะของหญิงสาว
องศาเหลือบมองเธอจากหางตา เห็นท่าทางนั้นก็ได้แต่ยกยิ้มบาง ๆ มุมปาก
“ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมน้ำผึ้ง” เสียงของเขาเรียบ
“คุณองศาจะถามอะไรหนูคะ” มาธวีรู้สึกถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้นโดยเฉพาะเมื่อเขาเน้นที่ชื่อเล่นของเธอมันฟังดูคล้ายกับบาร์เทนเดอร์ในคืนนั้น หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาและเมื่อตั้งใจมองจากมุมด้านข้างภาพของเขาในเช้านั้นมันก็ซ้อนทับกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“คุณจำผมไม่ได้จริง ๆ เหรอน้ำผึ้ง?”
“หมายความว่ายังไงคะ?” เธอแกล้งถามออกไปทั้งที่ตอนนี้ในใจมันเต้นแรงและกำลังคิดหาทางปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงในคืนนั้น
องศาไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงมองถนนตรงหน้า สายตาเรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยบางอย่างที่
“ผมอยากรู้จังว่าคุณเมามากจนจำเรื่องคืนนั้นไม่ได้หรือคุณแค่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าเราสองคนเคยเจอกันมาก่อน” องศาหยุดรถชิดข้างทางแล้วหันกลับมามองหน้ามาธวีตรง ๆ สายตาคมเข้มที่จ้องมานั้นทำให้เธอแทบกลั้นหายใจ หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
“แต่หนูกับคุณไม่เคยเจอกันนะคะ” เธอพยายามปฏิเสธ ทั้งที่เสียงเริ่มสั่นและสายตาหลบเลี่ยง
“คิดว่าจะหนีความจริงพ้นเหรอน้ำผึ้ง”
“เปล่านะคะ” เสียงของเธอสั่นพร่าทั้งที่พยายามฝืนให้คงที่
“คุณคิดว่าเงินสามพันจะปิดความลับได้เหรอ?”
“แล้วคุณต้องการเท่าไหร่?”
“พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า คุณกำลังจะเอาเงินปิดปากผมทั้งที่ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณฝึกงานอยู่นะ”
“แล้วคุณจะให้หนูทำยังไง?” ดวงตาของมาธวีเริ่มสั่นระริก ความทรงจำบางส่วนที่เธอพยายามฝังลึกให้ลืมเลือน เริ่มกลับมาทีละน้อยเหมือนเงาที่โผล่จากความมืด ภาพแสงไฟนีออน เสียงเพลงจังหวะเร้าใจ รอยยิ้มของผู้ชายที่ดูอบอุ่นแต่แฝงเสน่ห์บางอย่าง แม้ว่าตอนแรกเธอจำได้เพียงเลือนราง แต่เสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบข้างหูในคืนนั้นมันคือเสียงเดียวกับคนตรงหน้าในตอนนี้
“คืนนั้นคุณตั้งใจใช่ไหม คุณรู้ว่าผมเป็นใครใช่ไหม?” องศาถามออกไปอย่างไม่แน่ใจเพราะถ้าหากมันเป็นแบบนั้นเขาก็จะเลิกสนใจในตัวเธอ
“หนูไม่รู้ว่าคุณคือใคร ถ้ารู้หนูคงไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก คุณคงไม่ยกเลิกการฝึกงานของหนูใช่ไหมคะ?”
“คุณทำผิดอะไรผมถึงต้องยกเลิก”
“ก็คือ หนู.....” เมื่อคิดถึงโน้ตที่ตัวเองทิ้งไว้หญิงสาวก็รู้สึกอายจนหน้าแดง เขาเป็นถึงประธานบริษัทแต่เธอกลับคิดว่าเขาคือบาร์เทนเดอร์อีกทั้งยังจ่ายเงินให้เขาอีกด้วย ตอนนี้มาธวีกลัวว่าเขาจะโกรธและยกเลิกการฝึกงานของเธอ
“มีอะไรจะพูด”
“คุณเป็นคนเดียวกับผู้ชายคืนนั้นจริงใช่ไหมคะ?” เธออยากให้เขาตอบว่าไม่แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของท่านประธานแล้วเธอก็หน้าจ๋อย
“ใช่สิ จะให้ผมบอกไหมว่าคืนนั้นเราทำอะไรกันบ้าง มีความสุขแค่ไหนและตอนเช้าคุณทิ้งโน้ตว่าอะไรบ้าง ผมจำไม่ลืมนะ”
มาธวีเม้มปากแน่น มือเย็นเฉียบจนต้องกำไว้กับตัก เธอรู้สึกเหมือนโลกหมุนช้าลง ทุกอย่างรอบตัวพร่าเบลอก่อนจะถามออกไปด้วยเสียงสั่น
“คุณองศารู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่แรกใช่ไหมคะ ว่าหนูคือคนคนนั้น”
“รู้” เขาตอบตรง ๆ
“แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเรียกหนูขึ้นรถ ต้องทำให้หนูรู้สึก....” น้ำเสียงของเธอขาดห้วงไป เพราะไม่รู้จะใช่คำว่าอะไรดี อับอาย? กลัว? หรือเจ็บกันแน่
“เพราะผมอยากให้คุณจำผมได้” องศามองหน้าเธอ ดวงตานั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“แต่คุณไม่ควรพูดมันออกมาแบบนี้ หนูอยากจะลืม คุณรู้ไหมว่าหนูรู้สึกยังไง หนูพยายามลืมมัน พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นแค่เรื่องผิดพลาดของคนเมา หนูไม่คิดว่าจะต้องมาเจอคุณอีก” มาธวีเสียงสั่น
“แต่เราก็ได้เจอกันอีก ผมคิดว่าอาจเป็นโชคชะตา” องศาพูดอย่างเย็นชา
“โชคชะตาเหรอคะแต่สำหรับหนูคิดว่ามันคือฝันร้ายต่างหาก” มาธวีหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่น้ำตาเริ่มคลอ
คำพูดนั้นแทงใจเขาอย่างจัง องศาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ผมขอโทษนะน้ำผึ้งที่พูดเรื่องนี้โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของคุณ ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าผมจำคุณได้และไม่เคยดูถูกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเลย”
หญิงสาวไม่ตอบ เธอหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง พยายามซ่อนแววตาที่สั่นไหวและน้ำตาที่กำลังรื้นขึ้นมา เธอไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะโกรธหรือเสียใจดี
องศานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้น
“ผมจะส่งคุณแค่หน้าปากซอยอย่างที่ขอ” แล้วรถก็เคลื่อนไปไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย
เมื่อรถจอดที่หน้าปากซอยมาธวีรีบเปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว เธอไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการไปฝึกงานพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง