บท 4

2679 Words
หลังอ่านข้อความนั้นจบ หัวใจของพิมรัมภาก็กลับมาเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เมื่อเธอไม่คิดว่าการที่อีกฝ่ายหายไปนานหลายนาที มันเป็นเพราะว่าเจ้าตัวกำลังเดินมาหาหญิงสาว งั้นก็หมายความว่าคนที่เก็บโทรศัพท์ของเธอได้ คือ คนที่พักอาศัยอยู่ในหอนี้สินะ... พิมรัมภาตั้งข้อสันนิษฐานในใจ แต่เธอก็ยังไม่อยากฟันธงอะไรทั้งนั้น “หรือว่าเขาอยู่ห้องข้าง ๆ กัน” หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่ว และยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรไปไกลกว่านี้ เสียงเคาะห้องก็ดังขึ้นอีกหน คล้ายต้องการกดดันเธอให้ลุกไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “ให้ตายเถอะ” พิมรัมภาเอ่ยเสียงเบาพลางชะโงกหน้าไปดูที่ประตูห้องของตัวเองอย่างใช้ความคิด หลังเธอกำลังกลัวว่าหากเธอลุกไปเปิดประตูให้ มันจะทำให้เธอได้รับอันตราย เนื่องจากพิมรัมภายังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตัวเอง ‘ทำไมคุณถึงไม่เดินมาเปิดประตูให้กันล่ะ’ อีกฝ่ายพิมพ์ข้อความกลับมาหากันอีกครั้ง ‘ก็ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณต้องการอะไร’ ‘คุณก็บอกมาก่อนสิว่าจะเอาอะไร’ ‘แล้วฉันจะเดินไปเปิดประตูให้’ หญิงสาวพิมพ์ข้อความกลับไปหาและเริ่มเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง ซึ่งพิมรัมภาก็มักจะแสดงอาการเช่นนี้ออกมาเสมอ เวลาที่เธอกำลังคิดหนักหรืออยู่ในสภาวะเครียด ‘ก็ออกมาคุยกันไง’ ‘มันคงง่ายกว่าการพิมพ์แช็ตตอบโต้กันแบบนี้นะ’ ‘นี่คุณไม่อยากได้ของ ๆ ตัวเองคืนเหรอ’ หลังเห็นข้อความนั้นที่บอกว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอาของมาคืนกัน ดวงตากลมโตก็ฉายความวูบไหวออกมาทันที เพราะเธออยากได้ของ ๆ ตัวเองคืน แต่เพราะเธอไม่รู้ว่านั่นคือกับดักที่ล่อลวงให้เธอเปิดประตูให้หรือเปล่า นั่นจึงทำให้หญิงสาวยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ‘วางไว้ที่หน้าห้อง พอคุณไปแล้วฉันจะเปิดประตูออกไปเอาเอง’ ‘ผมไม่ได้คืนให้ฟรี ๆ นะ’ ‘ผมอยากได้ของตอบแทน’ ‘แล้วจะเอาอะไรล่ะคะ’ ‘คุณก็รีบพิมพ์บอกกันสักทีเถอะ มัวแต่ลีลาอยู่ได้’ ก้านนิ้วสวยของพิมรัมภาพิมพ์ตอบโต้ข้อความนั้นด้วยความหงุดหงิดใจ จากนั้นหญิงสาวก็นอนคอยข้อความจากคนที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยใจจดจ่อ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมพิมพ์ข้อความอะไรกลับมาอีกแล้ว “อย่าบอกนะว่ากำลังหาวิธีเข้ามาในห้องนี้น่ะ” พิมรัมภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวพร้อมหันไปมองที่ประตูห้องอีกครั้ง ซึ่งพอเธอมองเห็นเงาดำของคนที่อยู่หน้าห้องผ่านใต้ประตูและไม่ได้ยินเสียงงัดแงะอะไร พิมรัมภาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทั้งที่ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่มีอะไรให้น่าโล่งอกเลยแม้แต่นิด ‘ฉันว่าพวกเรามาคุยกันดี ๆ กันเถอะนะคะ’ ‘คุณอยากได้อะไรจากฉันเหรอ?’ ‘ช่วยบอกกันมาเถอะนะคะ’ ‘เพราะการที่คุณทำแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกกลัว’ พิมรัมภาพิมพ์ข้อความกลับไปหาอีกหน เมื่อเธออยากเจรจากับคนหน้าห้องอย่างสันติจริง ๆ ซึ่งพิมรัมภาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงต้องใช้ความพยายามมากมายในการพูดคุยกับคนประเภทนี้ด้วย ‘ผมเป็นแฟนคลับของคุณ’ อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาเพียงสั้น ๆ ทว่านั่นกลับทำให้พิมรัมภาแอบยกยิ้มมุมปากจาง ๆ เมื่อการคาดเดาตอนก่อนหน้านี้ของเธอเป็นเรื่องจริง “ตกลงเป็นพวกโรคจิตจริง ๆ สินะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ขณะเดียวกันความกังวลมากมายที่พิมรัมภาเคยแบกเอาไว้บนบ่าของตัวเองก็ค่อย ๆ เบาบางลงเช่นกัน ไม่ใช่ว่าพวกโรคจิตเป็นพวกที่สามารถจัดการได้ง่าย แต่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิมรัมภาเจอคนประเภทนี้ นั่นจึงทำให้หญิงสาวพอจะรู้วิธีรับมือ การเผชิญหน้ากับพวกโรคจิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ที่แน่ ๆ มันคงจะง่ายกว่าการรับมือกับพวกที่เดาทางไม่ออกว่าต้องการอะไรจากตัวเองเป็นไหน ๆ ‘เข้าใจแล้วค่ะ’ ‘คุณอยากมีเซ็กซ์กับฉันใช่ไหมคะ’ หลังรู้ตัวว่าตัวเองกำลังพูดคุยกับคนประเภทไหนอยู่ พิมรัมภาจึงพิมพ์ข้อความถามอย่างตรงไปตรงมา เวลาเดียวกันในหัวของหญิงสาวก็พยายามหาข้อแลกเปลี่ยนกับชายที่ยืนอยู่หน้าห้องไปด้วย พิมรัมภาจะต้องยื่นข้อเสนอบางอย่างให้อีกฝ่าย เพื่อให้ตัวเองได้โทรศัพท์คืนและเธอเองก็ไม่ต้องเปลืองตัวมากนัก ‘แต่ว่าช่วงนี้ฉันมีประจำเดือน’ ‘ถ้าอย่างนั้นฉันขอใช้ปากให้ได้ไหมคะ แล้วเอาโทรศัพท์ของตัวเองคืน’ ‘ฉันจะไม่แจ้งตำรวจ ถือเสียว่าเป็นสินน้ำใจระหว่างเรา’ นั่นเป็นข้อความเพิ่มเติมที่พิมรัมภาพิมพ์ไปให้ และเมื่อเธอเห็นว่าอีกฝ่ายกดอ่านและไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของตัวเอง หญิงสาวจึงรีบลุกลงจากเตียงเดินไปยังห้องครัว เพื่อหยิบมีดปอกผลไม้มาเป็นอาวุธป้องกันตัวมาเหน็บเอาไว้ตรงด้านหลังกระเป๋ากางเกง เผื่อว่าอีกฝ่ายคิดจะทำร้ายร่างกายเธอ หลังเดินมาถึงประตูห้องแล้ว พิมรัมภาก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกสติให้ตัวเอง เพราะเธอไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เธอเปิดประตูให้อีกฝ่าย มันจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเธอบ้าง “เอาวะ! เพื่อโทรศัพท์ของเรา” พิมรัมภาพูดปลุกกำลังใจตัวเอง จากนั้นมือสวยก็เอื้อมไปจับที่ลูกบิดประตูและออกแรงบิดเล็กน้อย จนในที่สุดประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับการเจอกันครั้งแรก “เข้ามาสิคะ” เมื่อมองเห็นชายหน้าห้องที่มีส่วนสูงราว ๆ ร้อยแปดสิบ อายุอานามน่าจะเท่า ๆ กับเธอ พิมรัมภาก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เนื่องจากเธอคิดว่าโรคจิตที่คอยปั่นประสาทเธอตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้จะเป็นตาแก่พุงพลุ้ยหรือมีลักษณะน่ารังเกียจเสียอีก ทว่าผู้ชายคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอกลับไม่ได้เข้าข่ายว่าจะมีลักษณะแบบนั้นด้วยซ้ำ “เข้ามาคุยกันก่อนค่ะ” พิมรัมภาเรียกอีกครั้งพร้อมเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องของเธอ โดยในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเดินผ่านหน้าหญิงสาวไป พิมรัมภาก็ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่คลับคลายคลับคลาว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมผู้ชายแบบที่เธอชอบ ทำเอาพิมรัมภาต้องหันมองตามแผ่นหลังนั้นโดยพลัน ดวงตากลมโตจ้องมองชายร่างสูงที่เดินเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างใช้ความคิด ขณะเดียวกันหญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจที่เริ่มจะไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เพียงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายใช้น้ำหอมกลิ่นที่ตัวเองชอบ หลังอีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว พิมรัมภาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เพื่อเรียกสติให้กับตัวเอง ก่อนที่ต่อมาหญิงสาวจะหันไปปิดประตูห้องแล้วย่างเท้าเข้าไปข้างในอย่างไม่รีบร้อนอะไร พิมรัมภายังคงยืนมองแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างใช้ความคิด ซึ่งในขณะเดียวกันเธอก็ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้สายตาสำรวจรอบ ๆ ห้องของเธอไปด้วย และเวลาต่อมาหญิงสาวถึงค่อยพูดบางอย่างเสียงนิ่ง “คุณเคยเข้ามาในห้องของฉันแล้วไม่ใช่เหรอคะ ตอนนั้นยังสำรวจไม่พออีกหรือไง” นั่นเป็นคำพูดที่พิมรัมภาเอ่ยกับอีกฝ่าย โดยมันก็เต็มไปด้วยการจิกกัด บ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตร “ผมบอกเหรอว่าผมเคยเข้ามาที่นี่” อีกฝ่ายหันกลับมาถามกันด้วยน้ำเสียงติดตลก ขณะที่พิมรัมภาก็ได้แต่ยืนกอดอกแล้วจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตานิ่ง ๆ เท่านั้น หญิงสาวทำได้แค่ใช้สายตาสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า สังเกตได้แต่ลักษณะการแต่งกายและบุคลิกภาพของอีกฝ่าย พิมรัมภาทำได้แค่เท่านั้นจริง ๆ เพราะบนใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังมีแมสปิดบังใบหน้าของเจ้าตัวเอาไว้อยู่ “...” “ช่วยถอดแมสหน่อยค่ะ เพราะการคุยแบบนี้สำหรับฉันแล้วมันดูเป็นการเสียมารยาทไปหน่อย” พิมรัมภาหาข้ออ้างมาพูด เมื่อเธอนึกอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ เพื่อที่จะได้ระมัดระวังตัวเอง “แล้วถ้าผมไม่ถอดล่ะ คุณจะเดินมาถอดให้เหรอ” อีกฝ่ายถามต่ออย่างใคร่รู้ “ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ว่า...” “...” “ถ้าคุณสนใจสินน้ำใจของฉัน คุณก็น่าจะรู้นะคะว่าของแบบนี้มันต้องอาศัยอารมณ์ด้วยมันถึงจะทำมันออกมาได้ดี” “จริงเหรอ” อีกฝ่ายถามกลับมาอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะคล้อยตามกัน แต่ทุกอย่างมันก็เป็นแค่การแสร้งทำเท่านั้น “ไม่เชื่อกันเหรอคะ” คราวนี้พิมรัมภาถามกลับไปเสียงห้วน “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย” “...” “แต่ที่ผมถามก็เพราะผมเห็นว่าแต่ละผลงานของคุณ มันไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้อารมณ์เลย คุณสามารถทำมันได้ดีต่อให้คุณไม่มีอารมณ์ก็ตาม” อีกฝ่ายอธิบายต่อ และนั่นก็ทำให้พิมรัมภาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมารอยยิ้มจาง ๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว “นี่ฉันกำลังยืนคุยกับแฟนคลับตัวยงของตัวเองสินะคะ” พูดจบ พิมรัมภาก็ค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้าไปหาผู้ชายตรงหน้าตัวเองอย่างไม่รีบร้อนอะไร พิมรัมภาทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กลัวอีกฝ่าย ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้น้ำหอมกลิ่นที่เธอโปรดหรือแต่งตัวดูเข้าท่า ยังไงเสียผู้ชายคนนี้ก็เป็นโรคจิตอยู่ดี เพราะคนปกติเขาไม่มีทางเข้าหาผู้หญิงคนที่ตัวเองชอบแบบนี้หรอก “ถอดแมสออกนะคะ” เมื่อเดินไปหยุดที่ตรงหน้าของอีกฝ่ายแล้ว พิมรัมภาก็พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมเป็นฝ่ายเกี่ยวเอาหน้ากากอนามัยของอีกฝ่ายลงอย่างช้า ๆ เพราะเธอไม่ต้องการแค่การมองตาเพียงอย่างเดียว โดยในคราวแรกพิมรัมภาก็นึกว่าอีกฝ่ายจะขัดขืนกันด้วยซ้ำ เนื่องจากพวกโรคจิตโดยส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยชอบเปิดเผยใบหน้าของตัวเองเท่าไรนัก เพราะพวกนี้เป็นมนุษย์ที่ขาดความมั่นใจ ...แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับคนนี้ หลังพิมรัมภาถอดหน้ากากอนามัยให้อีกคนได้สำเร็จ ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสองทันที ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น ทั้งสองทำเพียงแค่ยืนสบตากันอย่างนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นนานหลายนาที อันที่จริงผู้ชายคนตรงหน้าของพิมรัมภาไม่ใช่คนที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เลยแม้แต่นิด อีกฝ่ายหน้าตาดี ตัวสูงแถมยังหนุ่มมาก ๆ ด้วย แต่พิมรัมภากลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะความจริงแล้วเครื่องหน้าของอีกฝ่ายน่าจะมีผู้หญิงเข้าหาอยู่ไม่ขาดสายแน่ สัญชาตญาณของพิมรัมภาบอกเธอว่าอย่างนั้นจริง ๆ พิมรัมภาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมทั้งคิ้วขมวด ก่อนที่ต่อมาหญิงสาวจะมีการกระแอมเสียงเล็กน้อย เพื่อเรียกสติคืนกลับมาให้ตัวเองแล้วค่อยพูดบางอย่างกับอีกฝ่าย “คุณเองก็หน้าตาดีนะคะ ผู้หญิงน่าจะเข้าหาคุณอย่างไม่ขาดสายแน่ แต่ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ล่ะ” พิมรัมภาถามอย่างไม่เข้าใจ “...” “แต่เอาเถอะค่ะ นั่นมันเป็นเรื่องของคุณ ว่าแต่...ไหนล่ะคะ โทรศัพท์ของฉัน” หญิงสาวถามต่อ เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะออกนอกเรื่องไปเสียหน่อย “ผมยังไม่ให้คุณตอนนี้” “หมายความว่ายังไงคะ” พิมรัมภาถามกลับทันที “...” “ก็หมายความว่าผมจะให้คุณ หลังจากที่คุณให้สินน้ำใจกับผมไง” อีกฝ่ายบอกกลับมา ซึ่งนั่นก็ทำให้หญิงสาวแสดงความไม่พอใจออกมาโดยพลัน “แต่มันคือของ ๆ ฉันนะคะ” พิมรัมภาท้วงอย่างมีน้ำโหแล้วว่าต่อ หลังนาทีนี้ความอดทนของเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว “คุณจะมาเล่นลิ้นกันไปถึงไหน ฉันชักจะรำคาญแล้วนะ” “แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ผิดสัญญา” คนตรงหน้าถามกลับมา “แล้วฉันจะกล้าผิดสัญญากับคุณได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อ...” ในจังหวะที่พิมรัมภากำลังจะพูดบางอย่างออกไป จู่ ๆ หญิงสาวก็ชะงักค้างไปกลางอากาศเสียก่อน เนื่องจากเธอคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องดีนัก หากเธอคิดจะบอกคนตรงหน้าว่าตัวเองกลัวอีกฝ่ายมากแค่ไหน เพราะบางทีหากอีกฝ่ายรู้ว่าพิมรัมภากำลังเกรงกลัวเจ้าตัวอยู่ อีกฝ่ายก็อาจฉวยโอกาสนี้ในการเพิ่มความหวาดกลัวให้กับหญิงสาวแล้วข่มเหงเธอได้ “ในเมื่ออะไร พูดออกมาสิ” คนตรงหน้าถามกันเสียงนิ่ง เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าพิมรัมภาเงียบนานเกินไป “ในเมื่อ... ฉันเป็นคนรักษาคำพูดของตัวเองจะตาย” นานเกือบนาทีกว่าที่หญิงสาวจะตอบกลับไป ซึ่งคำพูดของเธอก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับต้องหรี่ตามองคล้ายต้องการจะจับผิดกัน “ว่าแต่ชุดของฉันล่ะคะ คุณได้เอามาด้วยหรือเปล่า เพราะคุณหยิบมันไปจากห้องฉัน” พิมรัมภาถามหาชุดหากินของตัวเองต่อ พลางมองตามมือของอีกฝ่ายว่ามีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วยหรือไม่ ซึ่งเธอก็เห็นว่าคนตรงหน้ากำลังถือถุงบางอย่างเอาไว้พอดี และก็น่าจะเป็นเหล่าบรรดาชุดของเธอที่อีกฝ่ายหยิบติดมือไป “นอกจากโทรศัพท์ของฉันแล้ว ฉันขอชุดพวกนั้นของฉันคืนด้วยนะคะ” หญิงสาวว่า “ก็ตั้งใจจะเอามาคืนอยู่แล้ว” “แล้วคุณหยิบไปทำไมตั้งแต่แรกเหรอคะ ฉันตากของฉันไว้ดี ๆ คุณเอาไปทำอะไรกัน” พิมรัมภาซักไซ้ต่อ ก่อนที่ต่อมาเธอจะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อคำถามเมื่อครู่นี้ของเธอมันเป็นอะไรที่ไม่น่าถามเลยแม้แต่นิด เพราะพวกโรคจิตที่หยิบเอาของพวกนี้ไป มันก็คงจะเอาไปทำอะไรแค่ไม่กี่อย่างหรอก... “เราจะเริ่มกันเลยไหม” หลังจากที่ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองนานเกือบนาที ผู้ชายตรงหน้าของพิมรัมภาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เราเริ่มกันเลยก็ได้ค่ะ เพราะวันพรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานต่อ” หญิงสาวพยักหน้าตอบกลับไป โดยเธอก็ยังทำเหมือนเบื่อหน่ายและไม่ได้ตื่นเต้นอะไรทั้งนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่พิมรัมภาจะใช้ปากให้ผู้ชาย เพราะปกติเธอถนัดเล่นของเล่นมากกว่า พวกคอนเทนต์ในแอคเคานต์ของเธอก็ล้วนแต่เป็นคอนเทนต์เล่นของเล่นทั้งนั้น พิมรัมภาไม่เคยได้ลองลงสนามจริงเลยสักครั้ง เนื่องจากเธอไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองวุ่นวายไปมากกว่านี้...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD