หรือว่าแท้ที่จริงแล้วพิมรัมภาไม่ได้ทำโทรศัพท์หาย แต่มีคนจงใจขโมยมันไปจากเธอต่างหาก...
หลังนั่งอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากเบอร์ตัวเองซ้ำ ๆ เกือบร้อยครั้ง พิมรัมภาก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ มันค่อนข้างปั่นประสาทหญิงสาวอยู่พอสมควร
“หรือว่านี่เป็นพวกโรคจิตเหรอ” เธอคาดเดาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เนื่องจาก ณ ปัจจุบันพิมรัมภาไม่มีข้อมูลของคนที่เอาโทรศัพท์ของเธอไปเลย เธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น ตรงข้ามกับคนที่เอาโทรศัพท์ของเธอไปที่อีกฝ่ายรับรู้เรื่องราวของเธอทุกอย่าง แถมยังรู้จักตัวตนของเธอยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานเสียอีก
เพราะนี่เป็นช่องทางเดียวที่จะทำให้พิมรัมภาได้พูดคุยกับคนที่เอาโทรศัพท์ของตัวเองไป นั่นจึงทำให้หญิงสาวตัดสินใจพิมพ์ข้อความกลับไปอีกครั้ง แม้ว่าพิมรัมภาจะรู้สึกกลัวและไม่อยากเสวนากับพวกโรคจิตก็ตาม
แต่หญิงสาวไม่ได้มีทางเลือกขนาดนั้น
‘คุณเข้ามาในห้องฉันเหรอคะ’ นั่นเป็นข้อความที่หญิงสาวพิมพ์ถามอีกฝ่าย
‘ก็ลองทายดูสิ’ อีกฝ่ายตอบกลับมา
หลังอ่านข้อความนั้นจบ พิมรัมภาก็ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันโดยพลัน เพราะเท่าที่เธอดูจากคำตอบของอีกฝ่ายที่ส่งกลับมาหากันแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่ปั่นประสาทคนอื่นเก่งอยู่พอสมควร แถมยังสามารถทำมันได้ดีอีกด้วย
‘คุณเข้ามาในห้องฉัน คุณเข้ามาได้ยังไงเหรอคะ’
‘คุณเข้ามาเอาเสื้อผ้าของฉันไป’
‘ต้องการอะไรกัน?’ พิมรัมภารัวคำถามกลับไปด้วยความร้อนรน เมื่อในนาทีนี้หญิงสาวไม่สามารถอยู่เฉยได้จริง ๆ
ลำพังแค่โทรศัพท์ลูกรักของเธอหายไป หญิงสาวก็กระวนกระวายพอตัวแล้วและยิ่งตอนนี้ชุดที่เธอลงทุนพรีออเดอร์มาจากจีนดันหายไปอีก แถมคนที่เอามันไปก็เป็นคนเดียวกันกับที่ได้โทรศัพท์ของเธอไปด้วย นั่นจึงทำให้พิมรัมภาค่อนข้างหัวเสียอยู่พอสมควร
‘สรุปคุณต้องการอะไรคะ?’
‘ตอบ’ หญิงสาวพิมพ์ข้อความกลับไปที่เบอร์ของตัวเองอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดใจ ซึ่งยังไม่ทันที่พิมรัมภาจะได้รัวข้อความต่อ จู่ ๆ ดวงตากลมโตของหญิงสาวก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเธอมีสายโทรเข้า และเบอร์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอนั้นก็เป็นเบอร์เก่าของเธอเอง
เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าโทรมาหากัน นั่นจึงทำให้พิมรัมภาค่อนข้างตื่นตระหนกอยู่พอสมควร หญิงสาวจ้องเบอร์เก่าของตัวเองนานเกือบนาที และพอเธอตั้งสติได้ พิมรัมภาถึงค่อยกดรับสายนั้นด้วยอาการมือสั่นเทา
“ส—สวัสดีค่ะ” หลังกลั้นใจกดรับสายเรียบร้อยแล้ว พิมรัมภาก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักคนปลายสายก่อน ซึ่งจนถึงวินาทีนี้หญิงสาวก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่เก็บโทรศัพท์ของเธอได้นั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่
[...]
“คุณช่วยคืนโทรศัพท์ให้ฉันได้ไหมคะ เพราะเครื่องที่คุณเก็บได้มันสำคัญกับฉันมากจริง ๆ” พิมรัมภาบอกคนปลายสายด้วยน้ำเสียงเว้าวอน แม้ว่าคนปลายสายจะยังไม่ได้พูดอะไรกลับมาก็ตาม
[...]
“หรือไม่ถ้าคุณอยากได้โทรศัพท์เครื่องนั้นจริง ๆ ฉันสามารถยกให้ก็ได้นะคะ แต่ว่าฉันขอข้อมูลในเครื่องของฉันคืน”
[ทำไม? หรือกลัวเหรอว่าความลับมันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป] คนปลายสายถามกลับมา ซึ่งเสียงของอีกฝ่ายก็ทำให้พิมรัมภาชะงักไปโดยพลัน เนื่องจากเป็นเสียงของผู้ชายและก็น่าจะอายุไม่เกินสี่สิบ
อาจจะยี่สิบปลาย ๆ
“ความลับอะไรเหรอคะ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย” พิมรัมภาแสร้งทำเป็นไขสือใส่คนปลายสาย โดยคำพูดของเธอก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เหมือนเป็นการบอกทางอ้อมว่าเจ้าตัวไม่ได้เชื่อว่าพิมรัมภาไม่รู้อะไร
[ไม่รู้สิ มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ในโทรศัพท์ของคุณ]
“...” คราวนี้พิมรัมภาต้องเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกปั่นประสาทอีกครั้ง
[ผมก็แค่คาดเดาไปเรื่อย เพราะงั้นคุณอย่าถือสาคำพูดของผมเลยนะ]
“คุณต้องการอะไร?” พิมรัมภาถึงกับต้องถามเสียงเข้มและไม่มีการเว้าวอนขอร้องคนปลายสายอีกต่อไป
[...]
“พูดมาสิ หรือว่าคุณอยากได้เงินเหรอ” หญิงสาวซักไซ้ ขณะเดียวกันความอดทนของเธอก็เริ่มลดน้อยลงไปทุกขณะ เนื่องจากการพูดคุยกับคนปลายสาย มันทำให้พิมรัมภารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
[เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปบอกเองว่าผมต้องการอะไร]
“ม—หมายความว่ายังไงเหรอคะ” พิมรัมภาถามต่อเสียงงง ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้รับคำตอบกลับมา อีกฝ่ายก็ดันตัดสายไปเสียก่อน ครั้นเธอพยายามจะโทรกลับไปหาอีกครั้ง คนปลายสายก็ได้ปิดเครื่องไปแล้ว
“ให้ตายเถอะ” เป็นอีกครั้งที่พิมรัมภาต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อลดอาการโมโหของตัวเอง
แม้ลึก ๆ แล้วพิมรัมภาจะรู้สึกใจชื้นอยู่ไม่น้อยที่ซิมการ์ดนั้นของเธอยังไม่ถูกหักทิ้งไปจนติดต่อไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้ไว้วางใจไปเสียทีเดียว เพราะเท่าที่หญิงสาวดูจากข้อความ น้ำเสียงขณะพูดคุยและการกระทำของผู้ชายคนที่เก็บโทรศัพท์ของเธอได้ สัญชาตญาณของหญิงสาวก็ได้เตือนว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
แต่จะน่ากลัวแค่ไหนนั้นพิมรัมภาก็ไม่อาจรับรู้ได้
ช่วงค่ำของวัน หลังจากที่พิมรัมภาพับผ้าใส่ตู้และเปลี่ยนจากชุดทำงานมาอยู่ในชุดสบายตัวเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งกินบะหมี่หมูแดงที่ได้มาจากหน้าปากซอย มือข้างหนึ่งของหญิงสาวก็คอยเลื่อนอ่านบทความที่เกี่ยวกับการตามโทรศัพท์ของตัวเองคืนไปด้วย
เมื่อพิมรัมภาคิดว่าเธออาจจะต้องใช้วิธีทางอินเทอร์เน็ตในการเอาโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา เพราะดูท่าแล้วคนที่เก็บได้คงไม่มีทางคืนมันให้เธออย่างง่าย ๆ แน่
“หมอนั่นบอกว่าคืนนี้จะบอกเองว่าต้องการอะไร งั้นหมายความว่าจะโทรมาอีกเหรอหรือว่าจะมาที่นี่” พิมรัมภาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เมื่อประโยคสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะกดตัดสายไป มันยังคงสร้างความคาใจให้หญิงสาวอยู่
“โอ๊ย! รู้สึกจะเป็นบ้าเพราะมันแล้วนะเนี่ย นี่เรากำลังต่อกรกับใครอยู่วะ” พิมรัมภาพูดต่ออย่างมีน้ำโห เนื่องจากคำพูดที่แสนจะกำกวมนั้น มันทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกเครียดมากขึ้นไปอีก
ลำพังแค่เธอกลัวว่าความลับที่อยู่ในโทรศัพท์เครื่องนั้นจะถูกแพร่งพรายออกไป มันก็หนักหนาพอควรแล้ว และตอนนี้พิมรัมภายังต้องมาระแวงคนที่เก็บโทรศัพท์ของเธอได้อีก นั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกเครียดจนเธอไม่รู้ว่าควรจะหันหน้าไปปรึกษาใครดี
“ปรึกษาพี่ภัคดีไหมนะ เฮ้อ... แต่เราก็ยังไม่ไว้ใจเขาอีก” พิมรัมภาพึมพำกับตัวเองอย่างจนปัญญา ก่อนที่เวลาต่อมาหญิงสาวจะสะดุ้งตัวและเผลอปล่อยโทรศัพท์ลงสู่พื้น เมื่อมีสายโทรเข้าพอดี
โดยตอนแรกพิมรัมภาก็นึกว่าคนที่โทรมาหาเธอคือผู้ชายคนนั้น แต่พอหญิงสาวเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เธอก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะคนที่โทรมาหาเธอคือคุณยายของเธอเอง เนื่องจากตอนนี้มันเป็นเวลาที่พิมรัมภาจะต้องโทรศัพท์ไปคุยกับคุณยายแล้ว
“สวัสดีจ้ะยาย” พอกดรับสายคุณยายของตัวเองได้ พิมรัมภาก็แสร้งทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อเธอไม่อยากให้ยายต้องมาเป็นกังวลกับเธอ
[วันนี้ไม่เห็นโทรมาหายายเลย มีอะไรหรือเปล่าลูก?]
“อ๋อ พอดีตอนนี้พิมกำลังนั่งกินข้าวอยู่น่ะจ้ะ ตั้งใจว่าหลังจากที่กินข้าวเสร็จจะโทรหายาย แต่ว่ายายก็โทรมาหากันก่อน” พิมรัมภาบอกกลับไป ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายถามยายบ้าง “แล้วนี่ยายกินข้าวหรือยังจ๊ะ”
[กินแล้วลูก ตอนนี้ยายเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ กำลังจะเข้านอนแต่ว่าพิมไม่โทรมาหายายสักที ยายก็เลยต้องเป็นฝ่ายโทรมาหาเราก่อน ว่าแต่วันนี้เรากินข้าวกับอะไรเหรอ?]
“วันนี้พิมกินเป็นบะหมี่หมูแดงจ้ะยาย เจ้าหน้าปากซอยที่พิมเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้านี้เขาให้เยอะ ๆ น่ะจ้ะ” พิมรัมภายังคงตอบด้วยเสียงสดใสเช่นเคย จากนั้นหญิงสาวก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอตลอดทั้งวันนี้ให้คนปลายสายฟัง โดยพิมรัมภาก็เลือกที่จะเล่าแค่เรื่องวินมอเตอร์ไซต์ การไปถอยโทรศัพท์ของเธอและเรื่องงานพอคร่าว ๆ ให้ยายฟังเท่านั้น
หญิงสาวเลือกที่จะไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ประหลาดและชายแปลกหน้าที่กำลังปั่นประสาทเธอ เนื่องจากตลอดที่พิมรัมภาเริ่มทำงานเสริมตั้งแต่ช่วงที่เธอเรียนมหาลัย คุณยายของเธอก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย
มันเป็นความลับที่หญิงสาวไม่เคยบอกใครมาก่อน มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทว่าตอนนี้มันกลับไม่ใช่ความลับแล้ว เพราะนาทีนี้มันไม่ได้มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
[ใครมาหาเหรอพิม] ยายเอ่ยถามเธอ เมื่อเธอได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังมาจากฝั่งของพิมรัมภา ซึ่งในวินาทีเดียวกันหญิงสาวก็ได้สติหลุดไปแล้ว หลังคำพูดของผู้ชายคนนั้นได้ผุดขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง
“...”
[พิม นี่เรายังอยู่ในสายหรือเปล่าลูก]
“ย—ยังอยู่จ้ะ” พอตั้งสติได้ พิมรัมภาก็รีบตอบคนปลายสายกลับไปเสียงสั่น และระหว่างที่หญิงสาวยังคงยกโทรศัพท์แนบข้างหูของตัวเองอยู่นั้น สายตาของเธอก็จับจ้องไปที่ประตูห้องอย่างใช้ความคิด พิมรัมภานั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมาเธอจะตัดสินใจบอกคนปลายสาย เมื่อเธอนึกอะไรได้แล้ว
“ตอนนี้พิมไม่รู้ว่าใครมาหาพิม งั้นเดี๋ยวยายถือสายไว้ก่อนนะจ๊ะ พิมขอเดินไปดูก่อน”
[อืม เราถือโทรศัพท์ไปด้วยนะลูก]
“จ้ะ” หลังตกลงกับยายเรียบร้อยแล้ว เวลาต่อมาพิมรัมภาจึงรวบรวมความกล้าแล้วเดินไปยังประตูห้องของตัวเองทั้งอาการใจระส่ำ หญิงสาวเลือกที่จะลงน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้คนหน้าห้องรู้ตัวว่าเธอได้เดินมาถึงแล้ว
แล้วพอเธอเดินมาหยุดที่หลังประตู พิมรัมภาก็ยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยหมายจะส่องตาแมวดู ทว่าสิ่งที่พิมรัมภาเห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ไม่มีใครยืนอยู่ที่หน้าห้องเลยสักคน...
[ตกลงใคร?] ทันใดนั้นเสียงของคุณยายที่ถือสายคอยกันอยู่ก็ดังขึ้น
“พิมไม่เห็นใครเลยจ้ะยาย”
[...]
“สงสัยเขาเคาะห้องข้าง ๆ มั้งจ๊ะ แล้วพวกเราเข้าใจผิดคิดว่าเขามาเคาะห้องนี้” พิมรัมภาเอ่ย โดยเธอก็พยายามหาเหตุผลมากล่าวอ้างความคิดของตัวเอง ทั้งที่เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเสียงเคาะที่ว่านั้น มันเกิดขึ้นตรงหน้าห้องของเธอไม่ใช่ห้องอื่น
เวลาต่อมา หลังจากที่พิมรัมภาวางสายจากยายเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็นำถ้วยจานที่เธอเพิ่งกินเสร็จไปยืนล้างที่ซิงค์ล้างจานต่อ โดยระหว่างที่พิมรัมภากำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดถ้วยจานอยู่นั้น หญิงสาวก็คอยหันไปมองที่ประตูห้องอยู่เป็นระยะ เนื่องจากเธอกลัวว่าเสียงเคาะจะดังขึ้นอีกครั้ง
“หลอนไปหมดแล้วนะเนี่ย” หญิงสาวพูดเสียงแผ่ว พร้อมพยายามดึงความสนใจกลับมาที่ซิงค์ตรงหน้าตัวเอง จนในที่สุดพิมรัมภาก็ทำความสะอาดจนเสร็จ ซึ่งพอเธอไม่มีหน้าที่อะไรให้ต้องทำต่อแล้ว พิมรัมภาจึงคว้าผ้าเช็ดตัวเตรียมที่จะไปอาบน้ำต่อ
สำหรับเธอแล้ว... สถานการณ์ที่หญิงสาวกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ มันช่างเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับเธอ พิมรัมภารู้สึกเป็นกังวลมาก เพราะเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่
ขณะที่กำลังปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวรินไหลผ่านร่างกายของตัวเองไป พิมรัมภาก็ใช้โอกาสนั้นที่เธอกำลังมีสมาธิยืนพิจารณาว่าตลอดทั้งหลายวันที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่วันที่เธอทำโทรศัพท์หาย มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอกันแน่
“นี่มันเป็นคราวซวยของเราเหรอวะ” เธอพูดกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
พิมรัมภาพยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ หญิงสาวพยายามแล้วจริง ๆ แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย
“แล้วหมอนั่นต้องการอะไรจากเราวะ” พิมรัมภาพึมพำต่อ เมื่อคำพูดของผู้ชายคนนั้นได้ผุดขึ้นมาในหัวของเธออีกแล้ว
อันที่จริง... พิมรัมภาก็พอจะคาดเดาได้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเธอ ของแบบนี้มันเดาได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้ชายคนนั้นดูมีความสนใจกับสิ่งที่เธอทำ แต่ว่าพิมรัมภายังไม่กล้าฟันธงขนาดนั้น เพราะหญิงสาวยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายด้วยซ้ำว่าเป็นคนยังไง
“แต่อย่างเขาก็คงหวังจากเราแค่เรื่องเดียวนั่นแหละ เพราะอย่างเรามันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน” หญิงสาวว่าต่อพลางยื่นมือไปปิดฝักบัว เมื่อเธออาบน้ำเสร็จแล้ว
หลังจัดการเช็ดตัวและสวมใส่ชุดนอนสบายตัวโดยปราศจากชุดชั้นในเรียบร้อยแล้ว ต่อมาพอเป่าผมเสร็จ พิมรัมภาก็มาเอนกายทิ้งตัวนอนที่เตียงของเธอทันที ซึ่งตอนนี้ที่เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่ามันก็ยังไม่ใช่เวลาเข้านอนของเธอ แต่ที่หญิงสาวเดินมาทิ้งตัวนอนบนเตียงก่อน นั่นก็เป็นเพราะว่าพิมรัมภาจะได้อาศัยช่วงเวลาระหว่างนี้ในการตัดต่องานที่เป็นอาชีพเสริมของเธอ
เนื่องจากเรื่องนี้มันเป็นความลับ หญิงสาวไม่เคยปริปากบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น นั่นจึงทำให้เธอเลือกที่จะเป็นทั้งคนตั้งกล้องถ่ายและตัดต่อเองทั้งหมด
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง พิมรัมภาจึงตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเอง หญิงสาวกลัวมากว่าความลับนี้จะถูกเปิดเผยและทุกอย่างที่เธอเพียรพยายามมานานหลายปีจะพังทลายลง เธอจึงเลือกยอมเหนื่อยกายมากกว่าจะแบกรับความเสี่ยง เธอทำทุกอย่างได้ดี เธอคาดหวังว่าเรื่องนี้มันจะเป็นความลับตลอดไปจนวันตาย
ทว่าโชคชะตามันกลับไม่เข้าข้างพิมรัมภาเสียอย่างนั้น...
ติ้ง!
ขณะที่พิมรัมภากำลังง่วนอยู่กับการตัดคลิปในโทรศัพท์อย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้นหญิงสาวก็ต้องเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันโดยพลัน เมื่อมีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาในโทรศัพท์เธอ
“เหมือนรู้เลยแฮะว่าเราลืมไปแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว หลังเห็นว่าข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอเป็นของผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ซึ่งพอพิมรัมภาเห็นเช่นนั้น เธอก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดอ่านข้อความนั้น เพราะไม่ว่ายังไงต่อให้เธอไม่กดอ่านมันเสียตั้งแต่คืนนี้ ในวันพรุ่งนี้เธอก็ต้องกดอ่านมันอยู่ดี
“ไอ้บ้าเอ๊ย! โรคจิตจริง ๆ สินะ” พิมรัมภาพูดต่ออย่างมีน้ำโห เมื่อข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาหากันนั้น มันเป็นรูปภาพวาบหวิวที่อยู่ในโทรศัพท์เธอ
หญิงสาวจ้องมองรูปภาพของตัวเองนานหลายวินาที เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายส่งมาหาเธอทำไม เนื่องจากมันไม่มีข้อความแนบมาด้วย ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าพิมรัมภากดอ่านข้อความนั้นเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็ค่อยพิมพ์ข้อความตามหลังมาอีกที
‘รูปนี้สวย’
‘ดูเหมือนคุณจะชอบถ่ายรูปแบบนี้ไว้ในเครื่องนะ’
‘ก็เอาไว้ขอบคุณผู้ติดตาม’
‘คุณได้โทรศัพท์ของฉันไปแล้ว ก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันถ่ายไว้ทำไม’ พิมรัมภาพิมพ์ตอบกลับไปทั้งหน้าตาย ซึ่งรูปที่อีกฝ่ายหมายถึงมันก็เป็นรูปที่พิมรัมภาสวมใส่ชุดนอนวาบหวิว
โดยจุดประสงค์ของการถ่ายรูปแนวนี้ก็มีเอาไว้เพื่อหล่อเลี้ยงความนิยมของตัวเอง รวมไปถึงการลงรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณผู้สนับสนุนช่องในแต่ละเดือนของเธอ
‘สวยดีครับ’
‘แต่ว่ามันคงจะเป็นความลับมากเลยสินะ’
‘เพราะไม่มีรูปไหนที่ถ่ายติดหน้าคุณเลย’
“เฮ้อ... ไอ้บ้านี่จะรู้ดีไปไหน” พออ่านข้อความที่ตอบกลับมาเสร็จ พิมรัมภาก็ถึงกับสบถคำหยาบเบา ๆ ในลำคอ หลังเธอนึกโมโหอีกฝ่ายยังไงก็ไม่รู้
ใจจริงเธออยากจะพิมพ์ด่ากลับไปด้วยถ้อยคำหยาบคายด้วยซ้ำ แต่ในวินาทีที่พิมรัมภาคิดจะทำแบบนั้น หญิงสาวก็ฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายรู้จักที่อยู่และเลขห้องของเธอ มิหนำซ้ำยังสามารถงัดแงะเข้ามาในห้องของเธอได้อีก นั่นจึงทำให้พิมรัมภาต้องยับยั้งการกระทำนั้นของตัวเองเอาไว้ ต่อให้เธอจะรู้สึกรำคาญระคนหงุดหงิดมากก็ตาม
“เอาล่ะ อดทนเข้าไว้” หญิงสาวพูดเตือนสติตัวเอง ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปด้วยข้อความใหม่ที่ดูไม่ได้รู้สึกโมโหอีกฝ่าย
‘มันเป็นความลับ ถ้าคนอื่นรู้ก็ไม่ใช่ความลับสิ’
‘ตกลงคุณต้องการอะไรเหรอคะ เมื่อไรจะบอกกัน’
เมื่อกดส่งข้อความกลับไปหาอีกคนเรียบร้อยแล้ว เวลาต่อมาพิมรัมภาก็เริ่มเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง รอคอยข้อความที่จะถูกส่งกลับมาอย่างใจจดจ่อ หลังเธอเห็นว่าอีกฝ่ายกดอ่านมันแล้ว
“อ้าว... แล้วทำไมถึงอ่านแล้วไม่ตอบล่ะ” พิมรัมภาว่าต่อทั้งคิ้วขมวด เนื่องจากอีกฝ่ายกดอ่านข้อความเธอนานหลายนาทีแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะพิมพ์ตอบกลับมาเสียที
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องของพิมรัมภาก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งโหยง
‘ผมมาบอกคุณแล้ว’
‘เดินมาเปิดประตูสิ’
นั่นเป็นข้อความที่อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมา