ผู้ถูกสั่งการยังคงทำหน้างุนงงสงสัย ก่อนผู้ที่กล่าวว่าเป็นอาจารย์อาจะเดินออกไปจากห้องนั้น “ไป๋มี่อิง? เขาหมายถึงใคร?” เปรยขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะหาที่นั่งพัก ความไม่เข้าใจปรากฏขึ้นในสายตา นอกจากไม่มีผู้ใดให้สอบถามแล้ว ตัวนางเองยังรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวคล้ายไม่ค่อยสบาย ไม่นาน…ตากลมก็ค่อยๆ ฟุบหลับไปทั้งอย่างนั้น
&&&&
วันต่อมาในยามเฉิน (07.00)
สตรีตัวน้อยในวัยสิบแปดหนาว ค่อยๆ ขยับกายเพื่อลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ กับโต๊ะตัวเดิม ในสมองยังคงพยายามจับต้นชนปลายกับสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ในสายตาอีกครั้ง ห้องเดิม เก้าอี้ตัวเดิม บรรยากาศเดิม แต่บางสิ่งในร่างกาย...ไม่เหมือนเดิม! สองขาบอบบางเดินสำรวจทั่วห้องกว้างที่เต็มไปด้วยสมุนไพรหลากชนิด แต่ละชนิดนั้นมีชื่อของมันติดอยู่ มือบางเริ่มคลำไปตรงอกเสื้อ รับรู้ได้ว่ามีสมุดเล่มหนึ่งอยู่ในนี้ แล้วภาพของสตรีผู้หนึ่งกลับฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ‘ฝัน?’ คือสิ่งที่นางยังคงไม่แน่ใจ ในเมื่อเครื่องยืนยันนั้นมันคือกายเนื้อที่สัมผัสให้ความรู้สึกได้ของนาง ไม่ใช่แค่ร่างเงาของภูตผีหรือวิญญาณเร่ร่อน
ก่อกๆ ก่อกๆ “ท่านหมอฉีอยู่หรือไม่”
ขวับ! สตรีตัวน้อยละความคิดฟุ้งซ่านแล้วหันกลับไปยังหน้าประตูบานใหญ่ เสียงสตรีผู้นั้นเรียก ‘ท่านหมอฉี?’ ไวกว่าความคิด นางรีบเดินไปคว้าชุดคลุมสีขาวมาสวมทับ พร้อมกับกลั้นใจเปิดประตูไปสู่ความจริง พรึ่บ!
แอ๊ด!!
“อ้าว หมอหญิงฝึกหัดไป๋มี่อิง ท่านหมอฉีอยู่หรือไม่”
ตัวนางเองผู้ถูกถามยังคงอยู่ในสภาพมึนงงก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหรา “มาหาหมอฉี?” เอ่ยถามซ้ำกับสตรีในชุดเรียบร้อยสีขาวสลับชมพูตรงหน้า ที่มีท่าทางเหนื่อยหอบ? คล้ายวิ่งมาไกลมาก
“ใช่ หมอฉี ท่านอาของเจ้าอย่างไรเล่า อยู่ที่ใด!”
น้ำเสียงคล้ายตะคอกนั้น มิได้ทำให้นางสะดุ้งหรือหวาดกลัว ในทางกลับกันคือนางกำลังนึกไปถึงบุรุษวัยกลางคนเมื่อวาน ที่นางคิดว่าอีกฝ่ายคือเจ้าที่ แต่สุดท้ายท่านก็คืออาหมอของนางจริงๆ เช่นนั้นคำพูดสั่งการในตอนก่อนหน้าก็ย่อมเป็นเรื่องจริง “กลับบ้านเกิดไปแล้ว”
“อะ อะไรนะ” O-O
“...”
นางกำนัลจากตำหนักรุ่ยเซียง หน้านิ่วคิ้วขมวด ‘หมอหลวงฉีกลับบ้านเกิด? ได้อย่างไร’ “เช่นนั้นเป็นเจ้าก็ได้หมอไป๋” คว้าแขนบอบบางนั้นให้เดินตามมา “มาช่วยข้าเร็วเข้า ยามนี้ขันทีน้อยคนโปรดในตำหนักรุ่ยเซียงของพระสนม พลัดตกต้นไม้ ไม่ได้สติเสียแล้ว”
“ตก ต้นไม้? อาการหนักจนถึงขั้นหมดสติแล้วใยมิเรียกหาหมอหลวงเล่า” พยายามยื้อแขนเอาไว้ นึกแปลกใจกับถ้อยคำของตนเองที่มันถูกเรียบเรียงและเปล่งออกมาได้เหมือนอัตโนมัติอีกครั้ง
“ข้าก็มาเรียกหมอหลวงฉีที่นี่อย่างไรเล่า เดิมท่านหมอจะคอยดูแลเหล่าพระสนมทางฝั่งซ้าย จะอย่างไรในเมื่อยามนี้ท่านหมอไม่อยู่ เป็นเจ้าแทนก็ไม่ต่าง เร็วเข้า” ทั้งลากทั้งวิ่งดูชุลมุน จนถึงหน้าตำหนักหลังใหญ่ รอบๆ บริเวณมีเหล่านางกำนัลมากกว่าห้าคน ขันทีสามคนคอยส่งเสียงเรียกและคอยพัดวีให้กับขันทีร่างเล็กที่หมดสติไปเมื่อครู่ “มาแล้วๆ”
หัวหน้าขันทีวัยกลางคนนามว่าโม่โฉวหน้าเคร่งกว่าเดิม เมื่อไม่พบหมอหลวงคนสำคัญ “หมอหลวงฉีฟ่านอยู่ที่ใด” มองหลานสาวของท่านหมอที่กำลังฝึกปรุงสมุนไพรอย่างหัวเสีย
นางกำนัลอี๋นั่วพูดปนหอบ “ท่านหมอกลับบ้านเกิดไปแล้วเจ้าค่ะท่านโม่โฉว”
“หา!” ขันทีโม่โฉวอุทานเสียงดัง “กลับได้อย่างไร แล้วเหตุใดไม่มาแจ้งพระสนมก่อน” ในความโมโห แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องขันทีน้อยหมดสติย่อมสำคัญกว่า “มิเป็นไรๆ มาเร็วเข้าหมอหญิงฝึกหัด มาดูสิว่าเจ้าทำสิ่งใดได้บ้างในระหว่างที่รอหมอหลวงอีกฝั่งหนึ่ง” พลางหันไปสั่งการกับทหารยาม ให้วิ่งไปตามหมอหลวงจากตำหนักทางฝั่งขวา
ผู้ถูกเรียกว่าหมอหญิงฝึกหัดหรือหมอสมุนไพร? ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่สถานการณ์ตรงหน้าคล้ายกับบังคับว่า…นางต้องช่วย และก็ใช่ จิตสำนึกเดิมของนางที่เรียนพยาบาล เมื่อเห็นคนเจ็บต้องรีบช่วยเหลือ นางนั่งลงด้านข้างของบุรุษหน้าใสที่สวมชุดแบบเดียวกันกับบุรุษวัยกลางคนสะอาดสะอ้าน (ใส่ชุดขันที) มากกว่าการมาโดยไม่พกสิ่งใดคือมือบางจับไปยังจุดชีพจร “หัวใจยังเต้น” ละจากจุดนั้นพร้อมกับมองสภาพร่างกายและคลำไปตามจุดที่คิดว่าน่าจะหัก เช่นแขน ขา หรือหัวแตก…แต่ไม่มี? “ต้นไม้ที่คนผู้นี้ตกลงมาคือต้นใดรึ”
หัวหน้าขันทีโม่โฉวชี้ไปยังทิศเหนือ ห่างจากจุดที่ตนยืนอยู่ไม่ไกล “ต้นหมางกั่ว” ความสูงของต้นไม้ กะได้ไม่ถึงสองเมตร “ไม่รู้ว่าหวู่ซื่อหมดสติก่อนจะตก หรือพลัดตกลงมาแล้วถึงหมดสติ”
ผู้ฟังพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นางมองผู้บาดเจ็บพร้อมกับทำท่าสงบนิ่ง ความมีสติคือเรื่องที่ถูกสั่งสอนจนจำขึ้นใจ ไม่ต่างกับยามนี้ที่นางกำลังทำอยู่ ‘ไร้ความตื่นเต้น ไร้อาการลนลาน’ “ไม่มีบาดแผล ถือเป็นเรื่องดี อีกอย่างคือชีพจรยังเต้นปกติ เรื่องฟกช้ำจากภายในเป็นอย่างไรนั้นไม่รู้ได้ ท่านคงต้องรอหมอหลวงผู้เป็นบุรุษมาตรวจหรือไม่ก็ต้องรอให้หวู่ซื่อของท่านฟื้นเพื่อสอบถาม” เนื่องจากยามนี้ตัวนางเองไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเหมือนเช่นภพปัจจุบัน ดังนั้นการสังเกตจากหมอหลวงอีกคนย่อมเป็นเรื่องดีกว่า หนำซ้ำการจะตรวจคนตกต้นไม้ด้วยตาเปล่าย่อมไม่ง่าย เพราะถ้าหากนี่คือชีวิตจริงที่นางต้องเผชิญต่อไป นางต้องอย่าทำสิ่งใดๆ แบบไร้สติเด็ดขาด