“หวู่ซื่อคือขันทีและเขามิใช่ของข้า” โม่โฉวเถียงจนคอเป็นเอ็น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระแอมกระไอ เมื่อรู้ว่าตนกำลังเผลอตัว “เอาเถอะ ร่างกายภายนอกและชีพจรยังปกติอยู่ ย่อมเป็นเรื่องดี”
ในระหว่างการรอคอย สายตาของไป๋มี่อิงยังคงเฝ้าสังเกตทุกสิ่งรอบกาย ‘นางอยู่ในหนังจีน?’ นั่นคือเรื่องที่กำลังทำความเข้าใจ ก่อนจะละจากที่นั่งแล้วเดินห่างออกไปจากตรงนั้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่านหมอหลวงตัวจริงมาถึง การจับชีพจรและตรวจสภาพร่างกายมิได้แตกต่างจากนางเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำสิ่งที่กล่าวตามมาก็คือ
“เสียเวลายิ่งนัก ครั้งหน้ารอให้คนเจ็บร้องโอดโอยเสียก่อนค่อยไปเรียก มาตรวจเช่นนี้นอกจากอาการภายนอกมิมีอะไร อาการภายในไม่เห็น ซ้ำผู้บาดเจ็บยังหมดสติ ตรวจอย่างไรก็ไม่ทราบ” มองขันทีโม่โฉว “เช่นนี้จะต้องให้ข้ารอจนหวู่ซื่อฟื้นรึไม่” เลิกคิ้ว
“ได้เช่นนั้นก็ดี” โม่โฉวกอดอกมองหมอหลวงยุ่นจื่อผู้ปากร้ายอย่างเกลียดชัง การเดินข้ามมาตำหนักฝั่งพระสนมนี้ตัวเขารู้ดีว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เพราะเหตุการณ์จำเป็น มิเช่นนั้นตำหนักหลังสองฝั่งย่อมไม่ก้าวก่ายกันแน่ ‘เรื่องเท่านี้ใยหมอหลวงคิดมิได้?’ ใจอยากจะหักหน้าอีกฝ่ายให้หนักๆ แต่เพราะภายหน้าอาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เขาจึงเงียบเสียง
“ฮึ! แล้วหมอฉีฟ่านเล่า กลับบ้านเกิดได้อย่างไรมิใช่ว่าเขาต้องไปประจำการอยู่ในกองทัพหรอกรึ” ข่าวที่ทราบมาเมื่อวานนี้คือฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งเช่นนั้นและพระองค์จะทรงหาหมอหลวงคนใหม่มาประจำการแทนที่อีกสองคน แต่เหตุใดหมอหลวงฉีจึงหนีหายไปก่อนที่จะได้เดินทาง “หรือหมอหลวงมีกิจธุระอันใดจริงๆ” คำหลังถามไปยังหมอหญิงงดงามผู้เป็นหลานสาวของท่านหมอฉี ไป๋มี่อิง เดิมทีตัวของหมอหญิงผู้นี้มีหน้าที่ตรวจสอบสมุนไพร หาใช่หมอรักษาโรค ‘นางเข้าวังมาในนามของหมอสมุนไพรฝึกหัด หึ! ฝึกหัดอย่างไรจึงนานร่วมสองปี!’ หนำซ้ำยังได้รับเบี้ยหวัดในวังเทียบเท่ากับหมอหลวง! เช่นนี้ก็ได้รึ?
สตรีผู้ถูกถามตอบกลับไปว่า “บ้านของท่านอาถูกลมพายุพัดปลิวหายไปเจ้าค่ะ” ‘เสียเมื่อไหร่...’ “ท่านอาจึงต้องกลับไปสร้างบ้าน”
“จริงรึ?” ในคำถามนั้นของหมอหลวงยุ่น ยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือคำกล่าวของสตรีผู้เป็นผู้ดูแลสมุนไพรแม้เพียงนิด แต่เพราะมิรู้จะกล่าวค้านอย่างไร ตัวเขาจึงหันหลังกลับและเตรียมตัวเดินไปยังฝั่งของตนเสีย แต่ก่อนไป เขากลับกล่าวย้ำว่า “ข้าว่า เรื่องที่หมอฉีหนีกลับไปปลูกบ้านคงต้องรีบแจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของหมอที่จะต้องเดินทางในอีกสองวันย่อมผลัดไม่ได้ และเจ้าผู้เป็นหลานสาว ย่อมต้องไปแทนอาของเจ้า ไป๋มี่อิง” เหลือบมองสตรีร่างเล็กแล้วเดินจากไป
ขันทีวัยกลางคนโม่โฉวมองหมอฝึกหัดอย่างสงสาร การไปในที่ที่อันตรายและมีแต่บุรุษเช่นนั้น มองอย่างไรก็มิใช่เรื่องดีเลยซักนิด “อาของเจ้าเหตุใดจึงกล้าละทิ้งภาระนี้เอาไว้ให้เจ้า”
“...” ไป๋มี่อิงยังคงยืนสงบเงียบเพราะไม่รู้ถึงสาเหตุของการกลับบ้านของท่านอา อีกทั้งภาระหน้าที่นั้น เท่าที่จับใจความได้ คือนางต้องเดินทางไปอยู่ในกองทัพแทน ‘นั่นหมายถึงกำลังจะมีสงคราม?’ อ่า...ในกองทัพ ไม่แน่ว่าในเหล่าบุรุษหลายร้อยคน คงมีสักคู่ที่เป็นต้วนซิ่ว!โอ๊ย อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้สิ
ในขณะเดียวกันนั้น จู่ๆ ขันทีน้อยผู้หมดสติกลับตะโกนร้องก้องลานหน้าตำหนัก “อ๊ายๆๆ ตายแน่ๆ” พยายามผุดลุก
นางกำนัลมากกว่าสามคนต่างพากันล้อมจับทั้งแขน ทั้งขาที่กำลังดีดดิ้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดขันทีน้อยหวู่ซื่อผู้สงบเสงี่ยมเจียมตัวจึงร้องโวยวายขึ้นมาได้ ความชุลมุนนั้นเกิดขึ้นร่วมสองจิบชา ถึงจะจับตัวขันทีน้อยได้ ความเงียบและอาการเหนื่อยหอบจึงเข้ามาแทนที่ แต่ถึงอย่างนั้นเหล่านางกำนัลก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับเอาไว้
“หวู่ซื่อ” ขันทีโม่โฉวเรียกนามของขันทีน้อยวัยสิบสี่หนาวที่กำลังทำสายตาล่อกแล่ก “หวู่ซื่อ”
“เรียกใคร!”
ทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้ากันราวกับเห็นภูตผี นางกำนัลสองคนเริ่มปล่อยมือออกจากการจับกุม พอๆ กับเจ้าของนามหวู่ซื่อที่ผุดลุกขึ้นนั่ง!
“ว๊าย!” นางกำนัลคนสุดท้ายรีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของหัวหน้าขันทีโม่โฉว สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังขันทีน้อย ราวกับพบสิ่งประหลาด
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” ผู้ถูกเรียกว่าหวู่ซื่อก้มมองร่างกายของตนเองไปพร้อมๆ กับเงยหน้าขึ้นมองทุกคนแล้วเบิกตากว้าง O-O “หนังจีน?”
หมอหญิงฝึกหัดไป๋มี่อิงเอียงคอมองขันทีน้อยอย่างสงสัย ในหัวสมองกำลังครุ่นคิดไปถึงคนบางคน อีกทั้งความไม่เข้าใจตอนนี้คือนางมาอยู่ในร่างของหมอหญิงฝึกหัดด้านสมุนไพรที่ท่านอากำลังหนีไป หากนี่คือชีวิตที่ต้องใช้ต่อไป ‘คงเพราะนางตายจากร่างเก่า และมาเกิดใหม่’ แต่เหตุใดจึงเกิดใหม่แล้วโตเลย -_- ซ้ำคำว่า หนังจีน? จากขันทีน้อย จะมีผู้ใดในที่นี้รู้จัก หากมิใช่ว่าขันทีน้อย?
“กล่าววาจาวิปลาสอันใดของเจ้า หวู่ซื่อ!” ขันทีโม่โฉวดึงพัดจากขอบเอวฟาดเข้าไปที่ไหล่เล็กนั้นไม่แรงนัก ราวกับต้องการเรียกสติของอีกฝ่าย “ตกต้นไม้แล้วกลายเป็นขันทีวิกลจริตงั้นรึ”
“ขันที!!” ฟึ่บ! เจ้าของนามหวู่ซื่อจับกลางกายของตนเองก่อนจะทำหน้าเหยเก ป๊าบ! “โอ๊ย” ยกมือลูบช่วงไหล่ที่ถูกฟาดอีกครั้ง
“ไร้ยางอายเป็นที่สุด” มองไปทั่วบริเวณ และมีแต่นางกำนัลที่กำลังทำท่าเอียงอาย ซึ่งสตรีทั้งหมดยกเว้นหมอหญิงไป๋เพียงคนเดียวที่ยังคงทำหน้าเฉยชา “เจ็บที่ใดหรือไม่” โม่โฉวถามอย่างเป็นห่วง
ผู้ถูกถามส่ายหน้าไปพร้อมๆ กับมองทุกอย่างรอบกาย ปากบางพึมพำด้วยเสียงไม่ดังนัก “กูมาอยู่ที่ไหนวะเนี่ย”
ในความชุลมุน งุนงง ของนางกำนัลและขันทีที่เอาแต่วิเคราะห์อาการของหวู่ซื่อเสียงดังระงม จะมีเพียงหมอหญิงฝึกหัดเท่านั้นที่ยังจับตาดูขันทีร่างเล็กผู้กำลังลนลาน ‘ยังดีที่นางในตอนนี้ไม่มีกิริยาเหมือนอีกฝ่าย มิเช่นนั้นคำว่าวิกลจริตคงมาตกอยู่ที่นางอีกคนเป็นแน่’ “...” ไป๋มี่อิงคิด