ความเจ็บปวดจากความจริง

2288 Words
"ผมเคยได้รับประสบการณ์ระทึกขวัญมาแล้วครั้งหนึ่ง และตอนนั้นเองที่ผมได้สูญเสียคนสำคัญไปสองคน" ติ๊ด..ติ๊ด...คลิ๊ก เสียงของนาฬิกาปลุกถูกปิดลงด้วยมือของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง เขาไม่ได้ปิดมันเพราะรบกวนการนอน แต่เป็นเพราะตัวเขาเองได้ตื่นมาก่อนตั้งนานแล้ว "ฝันเรื่องนี้อีกแล้ว.." ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปิดตาคล้ายพยุงศีรษะไม่ให้ก้มลง สภาพของเขาอิดโรยไร้เรี่ยวแรงคล้ายกับคนหมดอาลัยตายอยาก "เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจดังขึ้นท่ามกลางห้องนอนที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะดันตัวเองให้ลุกขึ้น ครืด... บานหน้าต่างถูกเปิดทำให้ห้องสว่างขึ้นในทันตา แสงแดดจากภายนอกส่องสะท้อนเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มหันมองไปยังต้นแสงก่อนจะจ้องมองมันด้วยตาเปล่า แต่ไม่นานเขาก็เอามือมาบังสายตาของตัวเองเอาไว้เพราะแสงที่แยงจนรู้สึกแสบตา หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางอ่อนแรง ก่อนจะเห็นชายหนุ่มอีกคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง สิ่งแรกที่เห็นคือนัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงอ่อน แต่มีเส้นผมสีน้ำตาลเหมือนกัน เขายืนปล่อยแขนจ้องมองมายังชายหนุ่มที่เพิ่งจะออกมาจากห้อง "ว่าไง อรัญ เช้านี้สดชื่นไหม" เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มเดินออกมาก็เริ่มเอ่ยปากทันแทบจะในทันที แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมีเพียงแค่ความเงียบ ก่อนที่ชายหนุ่มในชื่อ 'อรัญ' จะเดินผ่านตัวของเขาไป "เดี๋ยวก่อนอรัญ..!" ชายหนุ่มจับแขนของอรัญพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนราวกับคนเคยทำผิด "เรื่องเงินอาขอโทษจริงๆ แต่ว่าน--" บทพูดของชายหนุ่มที่แทนตนเองว่าเป็น 'อา' ของอรัญหยุดชะงักลงให้ทันที หลังจากที่ชายหนุ่มในชื่ออรัญหันกลับมามองตัวของเขา สายตาที่เย็นชาเรียบนิ่ง แสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่เหลือความเชื่อใจใดๆ ต่อชายคนนี้อีกแล้ว "..." สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการปล่อยมือ ปล่อยให้อรัญเดินออกไป 2 ปีก่อน วันนั้นเป็นวันพิเศษสำหรับผม มันคือวันเกิดครั้งแรกที่พวกเราได้ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว สาเหตุที่ผมตื่นเต้นกับมันนัก คงเพราะปกติแล้วคุณพ่อจะไม่ว่างมาขับรถพาเที่ยวแบบนี้สักเท่าไหร่ บรรยากาศบนรถในตอนนั้นเต็มไปด้วยความสุข ถึงแม้คุณพ่อจะเป็นคนเงียบๆ แต่ก็คอยยิ้มให้กับผมตลอดเวลา ส่วนคุณแม่ก็พูดคุยอยู่ตลอด ชี้ให้ผมดูสิ่งต่างๆ ตลอดเส้นทางที่ขับไปภายในอ้อมกอดของเธอ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานนัก.. "อรัญ หมอบลงลูก!!" เสียงนั่นดังขึ้นตอนที่มีบางอย่างวิ่งตัดหน้ารถไป ผมจำไม่ได้ว่าเจ้าตัวที่วิ่งผ่านไปคืออะไร สิ่งที่จำได้มีเพียงแขนซ้ายของพ่อที่วางพาดบังร่างของผมกับแม่เอาไว้ และตัวของผมที่อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของแม่ รถของพวกเราตกอย่างภูเขาสูงอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นเหมือนกับรถไฟเหาะที่อยู่ในช่วงทิ้งตัว ผมฟื้นขึ้นมาภายในอ้อมกอดของสิ่งที่เคยเป็นแม่ของผม สภาพของเธอตอนนี้เธอดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคุณพ่อของผมนั้นหยุดนิ่ง สายตาดูเลื่อนลอยราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในร่างนั้น มือซ้ายของเขายังบังตัวของผมเอาไว้ไม่ปล่อย ไม่รู้ว่าผมอยู่ภายในรถคันนั้นมานานแค่ไหนก่อนที่จะได้ยินเสียงรถกู้ภัย แต่สิ่งที่จำได้อย่างชัดเจนคือร่างของพ่อและแม่ภายใต้ผ้าห่อสีขาว งานศพถูกจัดขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองนั่งมองโลงศพของทั้งคนอยู่นานทีเดียว แถมยังได้ยินเสียงของเหล่าญาติพูดคุยเรื่องบางอย่างอยู่ด้านหลัง แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเลยสักนิดเดียว "ไม่เป็นไรนะอรัญ อาอยู่นี่แล้ว" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง ก่อนจะที่เขาจะแนะนำว่าเขาชื่อ คิว และเขาเป็นคุณอาของผม ในช่วงปีแรกคุณอาได้ดูแลผมมาอย่างดี ทั้งคอยจัดหาที่เรียน ดูแลเรื่องที่อยู่อาหารการกิน รวมไปถึงการสร้างความหวังใหม่ให้กับผม แต่มันก็เพียงแค่ชั่วคราว... "อรัญ อาขอโทษ..." ผมได้รับคำขอโทษของคุณอาหลังจากที่ได้รับรู้ความจริงในช่วงที่ได้ขึ้นม.ปลาย เขาสารภาพว่านำเงินประกันที่ได้จากพ่อแม่ของผมไปใช้กับการพนันจนหมดตัว หลังจากนั้นไม่กี่วันบ้านของผมก็ถูกขาย ทำให้พวกเราต้องมาเช่าห้องพักราคาถูกกัน "อาขอโทษ..." ผมได้ยินคำนี้ในทุกครั้งที่ตื่นนอน ...แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย "อรัญ!!" "อะ..!" ผมรู้สึกตัวหลังจากที่ได้ยินเสียงของเพื่อนร่วมห้องเรียก เขามองมาที่ผมด้วยแววตาเป็นห่วงก่อนจะเอ่ยถาม "เป็นอะไรไหมเนี่ย แล้วสรุปไปร้านเกมด้วยกันไหม?" เขายืนอยู่ข้างตัวของผมพร้อมกับกอดอก สายตามองตรงหวังคาดเค้นคำตอบ ที่ด้านหลังมีเสียงโหวกเหวกดังเข้ามาจนได้ยินชัด "เฮ้ย พล ไม่ต้องแล้ว ไอ้อรัญมันไม่เคยไปไหนกับเราเลย มึงจะคอยตามตื๊อทำไมวะ" "เออๆ เลี้ยงดีแบบนี้มึงเป็นพ่อมันรึไง" "มึงอย่าพูดแบบนั้นสิวะ มึงลืมไปแล้วเหรอ.." คำพูดเหล่านั้นลอยเข้ามาในหูผมระหว่างที่กำลังนั่งคิด ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องคิดแม้คำตอบจะมีเพียงอย่างเดียว "ขอโทษแทนพวกนั้นด้วยนะ เอาเถอะ ถ้าเปลี่ยนใจอยากมาก็โทรมาได้ตลอดเลยนะ" พลพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้อง แผ่นหลังของเขาทำให้ผมอิจฉาอยู่นิดหน่อย ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมคงจะได้เป็นเพื่อนของเขา ได้เที่ยวเล่นและพูดคุยสิ่งต่างๆ ด้วยกันอย่างแน่นอน แต่ผมในตอนนี้ แค่จะเข้าใจอารมณ์ของตัวเองยังทำไม่ได้เลย "เฮ้อ..." ผมใช้เวลาไปสักพักในการนั่งในห้องเรียนก่อนจะพาตัวเองกลับยังที่ห้องเช่า เมื่อมองไปยังโต๊ะกินข้าว ตรงนั้นมีอาหารที่ถูกแรปห่อเอาไว้และโน้ตแผ่นหนึ่งติดอยู่ด้านบน 'หิวก็กินเลยนะ อาจะกลับมาตอนดึก' ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ ผมก็ต้องใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ทุกวัน กินอาหารที่คุณอาทำให้ก่อนที่เขาจะออกไปทำงานกะดึก ผมรับรู้ได้ว่าเขาพยายามจะทำงานเพื่อไถ่โทษกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่ก็อย่างที่บอก มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมหยิบอาหารที่ห่อไว้ทั้งหมดเข้าไปวางในตู้เย็น ก่อนจะหยิบขนมปังที่เหลือจากเมื่อวานมากินต่อ อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ผมกินได้อย่างไม่สะอิดสะเอียนไปซะก่อน เมื่อเข้ามาในห้องนอน ผมก็ทิ้งตัวลงไปบนนั้นทันที ความเงียบเป็นอีกสิ่งที่ช่วยให้ผมไม่สติแตกไปซะก่อน ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ ก่อนที่ภาพความฝันในอดีตจะเข้ามาตอกย้ำผมอีกครั้ง ในตอนนั้นมันมีความสุขมากจริงๆ ได้มองเห็นรอยยิ้มในทุกวัน ได้กินของอร่อยๆ แถมยัง... ผมหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา "แถมยัง...อบอุ่นกว่าตอนนี้ตั้งมากมาย.." ผมบ่นพึมพำกับตัวเองไว้แบบนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงมือถือที่สั่นขึ้นมา เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา สิ่งที่พบคือข้อความที่ไม่ได้อ่านนับร้อยข้อความได้ ส่วนใหญ่จะส่งมาจากเพื่อนร่วมชั้น ข้อความอีกอย่างคือข้อความของคุณอา ที่ผมไม่คิดแม้แต่จะเปิดอ่านมันเลยสักครั้งหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่วันนี้มันแตกต่าง มีข้อความที่แปลกไปจากที่เคยส่งเข้ามาในมือถือของผม 'สวัสดีคุณอรัญญา ทางเรายินดีที่จะบอกกับคุณว่า คุณได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมทดสอบเกมใหม่ของทางเราในชื่อ Project Revive...' ผมรู้สึกงุนงงกับข้อความที่ได้ส่งเข้ามา แต่ไม่นานก็จำได้ว่าตัวเองเลยลงทะเบียนเกมนี้เอาไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทางค่ายโปรโมทหนักว่ามันคือเกมแห่งยุคสมัยใหม่ที่จะทำให้ผู้เล่นได้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบ ผมลงทะเบียนไปด้วยความรู้สึกที่มากับคำว่า 'โลกอีกใบ' มันน่าสนใจ ไม่แน่ว่าโลกอีกใบที่ว่ามันอาจจะดีกว่าโลกที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้ ผมได้เปิดข้อความนั่นขึ้นมาก่อนจะเห็นว่านอกจากจดหมายยินยอม มันยังมีกฎอีกประมาณ 15 หน้าให้อ่านอีกด้วย ผมโน้มตัวลงก่อนจะเริ่มอ่านกฎเหล่านั้นทั้งหมด ก่อนจะเซ็นยินยอมให้กับมัน "แบบนี้..ดีแล้วล่ะ..." ผมพูดกับตัวเองไปแบบนั้น ก่อนจะหลับตาเพื่อให้วันนี้นั้นจบลง.. วันรุ่งขึ้น ผมตื่นมาพบกับสถานการณ์เดิมๆ เพียงแต่วันนี้ผมมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างการวันอื่นๆ 'Project Revive' วันนี้เป็นวันที่ตัวเกมได้เปิดทดสอบเป็นครั้งแรก โดยที่ตัวผู้ทดสอบจะต้องไปที่ตึกสำนักงานโดยตรง ผมใช้เวลาไม่นานเพื่อเดินทางมาถึงที่นี่ หน้าตึกของที่นี่มีคนนั่งรอมาก่อนผมอยู่จำนวนหนึ่ง แถมเพศและวัยยังแตกต่าง ทั้งผู้ชายผู้หญิง รวมถึงผู้ใหญ่วัยทำงานและวัยชรา และสาเหตุที่มีคนมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ นอกจากพวกเขาจะต้องการสัมผัสประสบการณ์ของโลกใบใหม่ ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบยังได้รับค่าจ้างอีกด้วย แถมมูลค่าของมันก็สูงอยู่พอตัว "โอ๊ะ อรัญไม่ใช่เหรอ?" เสียงทักทายดังมาจากด้านหลัง เมื่อผมหันไปมองก็ได้เห็น "ฉันไง พล เพื่อนร่วมห้องของนาย" เขาโบกมือทักทายผมด้วยรอบยิ้ม แต่สิ่งที่ผมทำตอบมีเพียงการยกมือขึ้นมาเล็กน้อยเพียงเท่านั้น "นายก็มาทดสอบเกมเหรอ ไม่คิดไม่ฝันว่าคนแบบนายจะสนใจอะไรแบบนี้ด้วยแฮะ" พลเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะโอบไหล่ของผมอย่างสนิทสนม เขาหันไปมองภายในตึกของสำนักงานก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น "ฉันน่ะนะ ติดตามข่าวสารของเกมนี้มานานมากแล้ว รู้ไหมว่าเกมนี้ถูกสร้างมานานกว่า 10 ปี แถมยังใช้เครื่องเล่นแบบพิเศษที่จะทำการทดลองว่าเราได้อยู่ในโลกเสมือน ชนิดที่ว่ามีการหิวหรือความเจ็บปวดด้วยนะ" ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปภายในสำนักงานเพื่อหนีตัวของเขา แต่เหมือนจะไร้ผล เขายังเดินตามก่อนจะเริ่มพูดต่อ "ตัวเกมเป็นแนว NW MMORPG ที่จะให้เราไปปราบมอนสเตอร์ ทำภารกิจ รวบรวมพรรคพวกแล้วไปปราบบอสของเกมด้วย.." ผมทำเมินในคำพูดของเขาก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนเดินออกมา หญิงสาวในชุดรัดรูปสีขาวที่มีลวดลายสีดำ เธอเดินออกมาก่อนจะเริ่มแนะนำตัว "ยินดีต้อนรับผู้เล่นทดสอบทุกท่าน ฉันคืออีฟ ผู้ที่จะมาแนะนำพวกคุณทุกคน" หญิงสาวในชื่อ อีฟ ผายมือไปยังพื้นที่ด้านหลัง ก่อนจะเห็นว่าที่นั่นเป็นห้องที่มีความกว้างมากพอจะจุคนได้มากกว่า 1000 ชีวิต "ขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ หากท่านได้ยอมรับกฎที่แนบไว้แล้วก็สามารถเข้ามาภายในห้องนี้ได้เลย" สิ้นเสียงนั่น เหล่าผู้คนก็เริ่มกรูกันเข้าไปภายในห้องทดสอบอย่างกับห่าฝน "งั้นไว้เจอกันในเกมนะอรัญ ถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็มาถามฉันได้ล่ะ ฉันน่ะโคตรเซียนเลยขอบอก" พลเอ่ยกับผมแบบนั้นก่อนจะโบกมือลา เขาเดินเข้าไปภายในห้องนั้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ผมนิ่งอยู่สักพักที่หน้าห้อง ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีบางคนที่ยังไม่ได้เข้าไป บางคนก็ยืนจับหน้าอกควบคุมลมหายใจเพื่อลดความตื่นเต้น บางคนก็แสดงท่าทีลังเล บางคนก็เดินวนอยู่กับที่ แต่ไม่มีใครเลยที่จ้องมองคนอื่นแบบผม.. "คงกำลังเป็นห่วงเรื่องของตัวเองกันอยู่งั้นสินะ" ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็กำลังรู้สึกลังเลอยู่เหมือนกัน เพราะการเลือกในครั้งนี้มันหนักอึ้งกว่าที่เคย มันยิ่งใหญ่ขนาดที่เรียกได้ว่า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้เลย.. ผมยืนอยู่ตรงนั้นนานจนได้เห็นว่ามีเพียงแค่ผมคนเดียวที่ยังยืนอยู่ แต่ก็เป็นในตอนนั้นเองที่ตัดสินใจได้ "ไปกันเถอะ สู่โลกใบใหม่.."
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD