บทที่ 15
เสียงขลุ่ยแผ่วเบาแทรกกับกลิ่นอบเชยและดอกบ๊วยที่ลอยลมมาในบรรยากาศของตลาดยามใกล้ค่ำ เจียวลี่ถือถุงเครื่องสำอางในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกมือยังถือกล่องชาสมุนไพรจากร้านประจำ
แพรไหมบางคลุมไหล่พริ้วไหวตามแรงลม ชายกระโปรงยาวกระทบแสงตะวันคล้อยต่ำราวแสงจันทร์ในยามพลบค่ำ
นางกำลังจะหันกลับไปทางหอคณิกา ทว่าทันใดนั้นเอง...
เสียงเรียบทุ้มหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
เสียงที่... คุ้นเคยในอดีต และฝังลึกในใจยากลืมเลือน
“หากรู้ว่าเจ้าจะงามถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าจากมา”
เจียวลี่หันขวับ สายตาของนางประสานเข้ากับดวงตาสีดำลุ่มลึกของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาสูงขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่พบเจอ ใบหน้าคมเข้ม เต็มไปด้วยบารมีของผู้ครอบครองกิจการนับไม่ถ้วนในเมืองหลวง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนที่สุดไม่ใช่ทรงผมหรืออาภรณ์ แต่เป็นรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่เขาใช้มองนาง
“คุณชายใหญ่!” นางแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เหตุใดท่านจึง อยู่ที่นี่”
เขาเดินเข้ามาใกล้ ฝูงชนพลุกพล่านพลันเหมือนเบลอหายไปจากสายตา
นางได้ยินเพียงเสียงหัวใจตนเอง... และเสียงเท้าของเขาที่หยุดลงเบื้องหน้า
“เพราะตลาดวันนี้คงไม่งาม หากไม่มีเจ้าอยู่ในนั้น”
เขาพูดเรียบง่าย ก่อนเอื้อมมือจับชายแขนเสื้อนางเบา ๆ
“เจียวลี่... เจ้ารู้หรือไม่ ข้าตามหาเจ้ามานานแค่ไหน”
“หา ข้า” นางขมวดคิ้ว น้ำเสียงขื่น ๆ พลันไหลออก
“ท่านหาข้างั้นหรือ หลังจากวันที่ข้าถูกถอนหมั้น ไม่มีแม้แต่เงาท่านปรากฏ”
“ข้า... ไม่มีโอกาสได้เลือก” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง แววตาแน่วแน่
“วันนั้นบิดาข้าขายหุ้นส่วนทั้งหมดในมือให้ขุนนางผู้หนึ่ง แลกกับการล้มเลิกการและแต่งกับตระกูลเจ้า เขาต้องการให้ข้าแต่งกับธิดาของเขาแทน...”
เจียวลี่สะอึก หัวใจราวมีใครบีบ
ทว่าน้ำเสียงนางยังคงไว้ความสง่างามที่สร้างมากับกาลเวลา
“แต่ท่านก็เลือกที่จะไม่กลับมาหาแม้สักครั้ง”
เขาไม่เถียง กลับยื่นมือออกมาช้า ๆ
“แล้วตอนนี้. ข้าขอถามอีกครั้งหนึ่งแม้ช้าไปมาก แต่หากเจ้ายังมีเยื่อใยกับชื่อของข้าในหัวใจ เจ้าจะยอมให้ข้าชดใช้หรือไม่”
คุณชายใหญ่ตระกูลพ่อค้าเอื้อมมือมาหยิบกล่องผ้าไหมสีดำสนิทจากชายเสื้อตน เขายื่นมันให้ตรงหน้าหญิงสาว
“นี่เป็นหนังสือไถ่ถอนของเจ้าจากหอคณิกา ข้าจ่ายไปแล้ว”
เจียวลี่เบิกตากว้าง หัวใจพลันเต้นรัว
“ท่าน... กล้าทำอะไรโดยไม่ถามข้าเลยหรือ?”
นางสบตาเขา ตรง เสียงนิ่ง... แต่แฝงประกายเจ็บลึก
“ตอนครอบครัวข้าล้มละลาย ข้าต้องสวมเสื้อผ้าเก่าของบ่าว กินข้าวเหลือจากครัว ท่านอยู่ที่ไหน”
“ตอนข้าร้องไห้เพราะถูกถอนหมั้น ท่านยังอยู่ในเมืองหลวง แต่ไม่แม้แต่จะเขียนจดหมายสักฉบับ ท่านยังจำได้หรือไม่”
เขานิ่งงันไป ริมฝีปากแน่นราวกลืนถ้อยคำขอโทษทั้งหมดไว้
“เจียวลี่ ข้ารู้ว่าข้ามาช้า แต่นี่ไม่ใช่การซื้อใจเจ้า ข้าเพียงอยากคืนอิสระให้ผู้หญิงที่ข้ารัก”
เจียวลี่หัวเราะน้อย ๆ แต่ไม่ใช่ด้วยความขบขัน หากเต็มไปด้วยน้ำตาในรอยยิ้ม
“อิสระของข้าหรือ”
“ตอนนี้ข้าเลือกจะอยู่ที่นี่เอง ท่านไม่มีสิทธิ์คืนอะไรให้ข้า”
นางหมุนกายจะจากไป แต่เสียงของเขากลับตามมากระซิบข้างหลัง
“ข้ารักเจ้า... ตั้งแต่วันแรกที่ข้าเห็นเจ้าเล่นพิณใต้ต้นเหมยหน้าบ้านเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าคือคนเดียวในชีวิตข้า”
เจียวลี่ชะงัก หัวใจพลันสั่น แต่ไม่หันกลับไป
“รักหรือ ถ้าเป็นรักจริง ท่านคงไม่ยอมให้ถอนหมั้นง่าย ๆ เช่นนั้น”
“และข้าก็ไม่ต้องมาเล่นพิณในหอคณิกาให้บุรุษนับร้อยหลงใหลอย่างทุกวันนี้”
เสียงฝีเท้านางค่อย ๆ ห่างออกไป
คุณชายใหญ่ยืนอยู่ท่ามกลางโคมไฟร้อยพัน... แต่กลับรู้สึกเย็นเยียบกว่าทุกฤดูในชีวิตที่ผ่านมา
@.ยามค่ำในงานเทศกาลโคมไฟ
ฟ้ายามค่ำคลุมด้วยม่านสีคราม รอยแสงจากโคมนับร้อยพันส่องทอระยิบราวดวงดาราจากสรวงฟ้า เสียงขลุ่ยไผ่ลอยมากับสายลมเบา ผู้คนหัวเราะหยอกล้อใต้แสงโคม
เจียวลี่กลับไปเปลีายนชุดที่หอ แล้วออกมาทีครั้งในชุดสีชมพูอ่อนปักลายบุปผา เดินเนิบช้าในตรอกโคมที่ประดับประดาแสงสีราวแดนฝัน
นางหยุดหน้าร้านขายโคมร้านหนึ่ง โคมกระดาษทรงกลมลายกระเรียนบินประดับด้วยคำปริศนาพันไว้ที่หาง
"แปดขาเดินเร้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่มีเสียง คือสิ่งใด"
เจียวลี่ขมวดคิ้วนิ่ง หัวคำนวณคำใบ้อยู่หลายนาที แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
ขณะนั้นเอง เสียงนุ่มลึกพลันดังขึ้นข้างหลัง พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากชาสมุนไพร
"คำตอบคือ พัด"
นางหันขวับด้วยความตกใจเล็กน้อย
สายตาเผชิญเข้ากับดวงหน้าของบุรุษผู้หนึ่งผิวขาวจัด คิ้วเข้มดั่งหมึก เส้นผมยาวถูกรวบเรียบไว้ด้านหลัง
ดวงตาของเขาเปล่งประกายปัญญา ทว่าลุ่มลึกจนชวนให้นางหลบตา
เจียวลี่เอียงหน้าหลบเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยเสียงนุ่ม
"ขอบคุณเจ้าคะคุณชาย ข้าใช้เวลานานนักกับปริศนาเดียว"
"โคมมีไว้เล่นปริศนา ส่วนความงามของแม่นาง คงเป็นปริศนาที่บุรุษทั้งหลายไขไม่ได้แม้ตลอดชีวิต"
เขายิ้มบาง ไม่ใช่ยิ้มหว่านล้อม แต่เป็นยิ้มที่มีประกายจริงใจ
เจียวลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเบา
"บัณฑิตช่างปากหวานนัก"
เขายกมือประสาน
"ข้าแซ่ซู ชื่อหมิงเจี๋ย เป็นเพียงบัณฑิตเดินทาง ขอโอกาสแม่นางร่วมเดินชมโคมสักครา จะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง"
นางมองเขาอย่างพิจารณา ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
"ก็ได้... แต่ท่านห้ามทายคำปริศนาแทนข้าอีกนะ"
ซูหมิงเจี๋ยหัวเราะ
"ข้าสาบานว่า จะไม่แย่งแม่นางสนุกในเทศกาลอีก"