หลายวันผ่านไป สายลมเอื้อย ๆ พัดกลิ่นบุปผา กับเสียงหัวเราะในยามสาย
ตลาดกลางนครเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อใกล้ถึงเทศกาลโคมไฟ
หอประโลมรัก ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำก็เริ่มเปิดม่านรับแสงอรุณเช่นกัน แต่วันนี้ กลับไม่เห็นเงาของบุรุษใดเข้าออกห้องของนางคณิกาเจียวลี่ดังเคย
เจียวลี่หยุดรับแขกมาหลายวันแล้ว เป็นการหยุดที่เจ้าของหออย่างซูเยก็ไม่อาจทัดทาน
นางบอกว่าใกล้ถึงเทศกาลโคมไฟ ต้องพักฟื้นร่างกายให้สมบูรณ์
แต่ใครจะรู้ ว่าจริง ๆ แล้วในใจของเจียวลี่นั้น ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการฟื้นกาย
หากแต่ต้องการฟื้นใจด้วยเช่นกัน
วันนี้นางสวมชุดผ้าแพรบางสีครามอ่อน ลวดลายบุปผากลีบบัวปักด้วยไหมทอง
ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นครึ่งศีรษะด้วยปิ่นเงินลายเมฆหมอก ต่างหูหยกขาวแกะลายระยับเมื่อสะท้อนแสง
เจียวลี่ในยามไม่มีเครื่องแต่งประดับมากมาย กลับยิ่งงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวพรรณที่ได้รับการบำรุงด้วยน้ำมันดอกเหมย ขาวละมุนราวกลีบบุปผายามเช้า
ริมฝีปากแต้มสีแดงจางจากน้ำชาดอกคำฝอย มอบความหวานเย็นให้กับใบหน้าที่งามอยู่แล้วให้เหมือนภาพวาดจากฝีมือเทพ
“เจี่ยวลี่เจ้าจะไปตลาดคนเดียวหรือ” ถิงถิงเอ่ยถามด้วยสายตากังวล
“มีแต่คนหมายปองเจ้าเต็มเมืองไปหมด หากมีใครคิดร้าย...”
“ข้าจะพาอาเจี้ยนไปด้วย” เจียวลี่ตอบพร้อมรอยยิ้มบาง อาเจี้ยนเพื่อนคณิกาของนางอีกคน
“เขาตัวใหญ่พอจะข่มสายตาคนทั้งเมืองได้อยู่หรอก”
ตลาดยามสาย… คึกคักและอบอุ่น
แผงขายโคมกระดาษ โคมแก้วเริ่มตั้งเรียงรายบนถนน เสียงเรียกลูกค้าแว่วเป็นจังหวะ
กลิ่นของขนมถั่วแดงปิ้งและเกี๊ยวทอดลอยตามลม เด็ก ๆ วิ่งถือโคมรูปสัตว์ไปมา
แม่ค้าแต่งตัวสดใส เรียกชักชวนอย่างคึกครื้น
เมื่อเจียวลี่ก้าวเข้าสู่ถนนสายหลัก เสียงหนึ่งก็เงียบลงชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะใครสั่งหยุด
แต่เพราะภาพของนาง สะกดทุกสายตา
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางออกจากหอ
แต่ก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่นางเดินทางมาเยือนตลาดกลางนครอีกครั้ง
ใคร ๆ ก็เคยได้ยินชื่อเจียวลี่ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอประโลมรัก
ผู้เคยปรนนิบัติแม่ทัพเผย และทำให้แม่ทัพเจ๋อหมิงคลั่งไคล้
แต่เพียงแค่เคย “ได้ยิน”
ไม่มีใครเคยเห็น “นางจริง ๆ” กับตา จนวันนี้
“นั่นนางใช่หรือไม่…?”
“ใช่เจียวลี่แน่ ๆ งามเสียยิ่งกว่าเล่าลือ…”
เสียงกระซิบกระซาบลอยผ่านในหมู่บุรุษ
บางคนหน้าแดง บางคนยิ้มเก้อ
หลายคนเพียงยืนนิ่ง มองนางราวกับกลัวว่าหากกระพริบตา นางจะหายไปจากโลกใบนี้
เจียวลี่ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น นางยิ้มบางให้กับแม่ค้า หยิบเลือกแป้งหอมชนิดที่นางชอบ กลิ่นโบตั๋นขาว
จ่ายเงินอย่างนุ่มนวล แล้วหันไปเลือกชาดที่ตั้งเรียงเป็นกระป๋องไม้
ก่อนจะซื้อดอกไม้แห้งสำหรับอบเสื้อผ้า และน้ำมันสำหรับหวีผม
นางเดินอย่างสง่า กลิ่นบุปผาลอยตามทุกย่างก้าว แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็เหมือนจะเคลื่อนไหวช้าลงเพื่อไม่ให้เงาของนางเลือนหายเร็วเกินไป
เวลาพรบค่ำเมื่องานเทศกาลใกล้เริ่ม เสียงไม้ไผ่กระทบกันเบา ๆ เป็นจังหวะ เมื่อสายลมพัดผ่านแผงขายโคมไฟเล็ก ๆ ริมทาง
โคมกระดาษหลากสีสัน ทั้งรูปกระต่าย ปลา เต่ามังกร แขวนเรียงรายอยู่ใต้ชายคา สีแดงสดของโคมในยามพรบค่ำ ยิ่งขับให้ผิวของเจียวลี่ที่ขาวราวหยกน้ำนม ยิ่งดูงามราวกับเทพธิดาที่เหยียบย่างลงมาเยือนโลกมนุษย์
นางหยุดยืนหน้าร้านนั้นเนิ่นนาน
ไม่ได้เลือกซื้ออย่างเร่งร้อน หากแต่ละสายตาดูรายละเอียดของแต่ละชิ้นอย่างใส่ใจ
“แม่นางจะเลือกโคมไปแขวนในห้องหรือเจ้าคะ”
เสียงแม่ค้าสูงวัยผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ ใบหน้าเปื้อนยิ้มยามสบตากับนางผู้เลอโฉม
เจียวลี่หันกลับมาเล็กน้อย
“ข้าอยากได้โคมที่มีลวดลายกระต่ายเจเาคาะค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่”
“โคมบายกระต่ายหรือ แม่หนูช่างตาถึงนัก” แม่ค้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบโคมหนึ่งขึ้นจากด้านใน
มันเป็นโคมทรงกลมขนาดย่อม พื้นสีฟ้าหม่น วาดลายกระต่ายดวงตาสีขมพู
“น่ารักยิ่งนัก” เจียวลี่พึมพำ
มือเรียวขาวสัมผัสเนื้อผ้าเบา ๆ ดวงตาของนางไม่ต่างจากกลีบดอกเหมยแย้มบานในยามรุ่งสางอ่อนโยน และเจือความเหงาอย่างประหลาด
นางยื่นเงินค่าของพร้อมกล่าวขอบคุณ
กำลังจะเดินจากไป
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ใต้ฟ้านี้โคมงามมีมากมาย แต่ไม่มีชิ้นใดเทียบได้กับโฉมงามผู้ถือโคมได้เลย”
เจียวลี่ชะงัก
หันกลับช้า ๆ เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ชุดขาวสะอาดตา มีลายกลีบบัวปักที่ชายเสื้อ
เขาไม่สูงนักเมื่อเทียบกับทหารหรือบุรุษนักรบ
แต่รูปร่างสมส่วน ดวงหน้าขาวสะอาด คิ้วเรียว และตาอ่อนละมุน…