ครืด
"มีอะไร" น้ำเสียงเรียบเฉยเมื่อปลายสายคือ กานต์กนก
"คืนนี้พ่อเลี้ยงว่างไหม" เธอเอ่ยผู้เป็นสามีในนาม
"ถ้าบอกว่าไม่ว่าง"
"เห็นทีจะไม่ได้ แขกคนสำคัญของคุณที่เป็นนักธุรกิจด้วยนัดทานข้าว กานต์อยากให้พ่อเลี้ยงมาเจอ"
กานต์กนกเอ่ยชวนสามีสำหรับการร่วมรับประทานมื้อค่ำในครั้งนี้ ทั้งที่จริงไม่จำเป็นต้องชวนเลยก็ว่าได้ แต่ทว่าพ่อเลี้งปรเมศเป็นคนชอบทำธุรกิจ หากมีโอกาสได้เจอแขกคนสำคัญคงจะเป็นเรื่องดีและอยากจะเอาใจพ่อเลี้ยง
"....." ปรเมศยังไม่ตอบตกลงและเงียบไปสักพัก ตอนนี้สองจิตสองใจพ่อตาแม่ยายเป็นคนกว้างขวาง แต่หากไปก็คงไม่พ้นถูกถามเรื่องลูก เขาไม่อยากตอบคำถามซ้ำซากแต่หากไม่ไป มันก็คงจะเป็นการตัดโอกาสตัวเอง นักธุรกิจในโต๊ะอาหารมักจะปรึกษาหารือกันเรื่องธุรกิจไม่มากก็น้อย หากนั่งฟังไปเงียบๆคงจะได้ไอเดียและแนวทางเพิ่มมากกว่าเดิม ที่จริงมันก็ไม่ได้เสียอะไร
"ที่ไหน"
"ร้านเดิม ร้านที่เราต้องไปฉลองครบรอบแต่งงานทุกปี"
ครัวคุณยาย เป็นร้านอาหารไทยและเป็นสูตรโบราณโดยเฉพาะ ทุกๆปีปรเมศต้องมานั่งสร้างภาพการดินเนอร์ฉลองครบรอบแต่งงานกับกานต์กนก แม้ทั้งสองจะรู้ดีว่าการแต่งงานมันมันได้เกิดจากความรัก แต่เพื่อความสบายใจของผู้ใหญ่ก็ต้องทำ
"1 ทุ่มตรงเจอกันนะคะพ่อเลี้ยง อย่าเรทแล้วกัน กานต์อุส่าต์บอกคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่าพ่อเลี้งจะมา"
"ที่แท้ก็ไปรับปาก โดยที่ฉันไม่รู้เรื่อง"
"หรือว่าไม่อยากมา"
"......"
"แล้วเจอกันนะคะ"
"อืม" วางสายทันทีและเปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมา จากนั้นก็พิมพ์ชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สายตาจดจ้องมองดูรายละเอียดในหน้าเว็บไซต์ก่อนจะลากสายตาออกไปด้านมองผู้หญิงที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อนหน้าบ้านพักคนงาน
เจ้าขานั่งอ่านหนังสือและติวข้อสอบในความน่าตะเป็นที่มหาวิทยาลัยต้องออกสอบแนวนี้ เด็กสาวในวัยสิบแปดช่างมะมุนละไมสมวัย แปลกมากที่ปรเมศรู้สึกถูกชะตา ทว่าคงเป็นเพราะหน้าเหมือนอดีตแฟนเก่าและก็เหมือนกันมากๆราวกับฝาแฝด ทั้งที่จริงมินตราไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือดด้วยซ้ำ
"ถ้าเด็กคนนี่เป็นคุณก็คงดี" เขาหวังเช่นนั้นแต่มันคงเป็นไปได้ เมื่ออีกคนตายไปแล้วแต่ก็ไม่เคยตายไปจากใจ
ในขณะที่เจ้าขายังคงนั่งอ่านหนังสืออย่างจดจ่อ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนถูกเพ่งมองก่อน เจ้าขาเม้มปากพลางสงสัยกับความรู้สึกนี้แล้วหันหลังกลับมาดู คนตรงหน้าปรากฎเป็นพ่อเลี้ยง แล้วตอนนี้เธออยู่คนเดียวลำพังเพื่อนๆทั้งหมดออกไปเดินในไร่ เหลือเธอคนเดียวที่ยังไม่ได้สอบ ฉะนั้นเวลาที่มีต้องใช้กับการอ่านหนังสือ เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าเป็นเจ้าของไร่ ชายที่เคยเกือบทำอนาจารในคืนก่อนความรู้สึกไม่ปลอดภัยก็เกิดขึ้น มือน้อยๆรีบพับหนังสือและหอบเข้าอ้อมแขน ไม่สามารถนั่งอยู่ต่อในท่ามกลางดวงตาสีรัตติกาลมองอย่างแปลกประหลาด
"จะไปไหน" เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น
"อ่านหนังสือจบแล้วค่ะ"
"ยังใช้ที่คั่นไว้กลางเล่ม อ่านจบที่ไหน" เขารู้ว่าเธอโกหก อาการลนรานก็พอเดาได้ว่าเธอไม่สะดวกใจจะอยู่กับเขาลำพังสองต่อสอง แม้จะเป็นสถานที่โล่งแจ้งก็ตาม เจ้าขาเม้มริมฝีปากไม่กล้าตอบโต้เมื่อชายหนุ่มเดาความคิดเธอได้ เจ้าขาไม่สบายใจจริงๆ คนตรงหน้าทำให้เธอไม่ประทับใจ ถึงเขาจะบอกว่าไม่ตั้งใจก็ตามแต่เธอก็ไม่รู้เหตุผลว่าวันนั้นทำไมพ่อเลี้ยงถึงทำแบบนั้น
"หนู เอ่อ ดิฉัน"
"อย่ามาแทนตัวว่าดิฉัน เธอเด็กกว่าฉันตั้งหลายปี"
"......."
"แทนตัวเองว่าหนูถูกแล้ว"
ริมฝีปากบางๆกัดกันแน่นเมื่อพ่อเลี้ยงต้องการให้เธอพูดแบบนั้น แต่เมื่อผู้ใหญ่สั่งก็คงต้องทำตาม
"ค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ" หอบหนังสือเดินผ่านคนร่างสูง คนตัวเล็กกว่าโค้งตัวตามมารยาทและเดินผ่านไป หางตาปรเมศยังคงมองตาม ในความคิดเธอไม่ใช่เจ้าขาเธอคือมินตรา คนที่คิดถึงตลอดเวลา
เจ้าขาวางหนังสือหลายเล่มไว้บนโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆชำเหลืองมองผ่านร่องประตูไม้ พ่อเลี้ยงปรเมศหายไป เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่ง
"บ้าจริง จ้องอะไรขนาดนั้น" เจ้าขากลับการถูกจ้องด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เธอไม่ชอบเป็นศัตรูกับใคร
บนท้องถนนในหัวช่วงหัวค่ำรถราค่อนข้างแออัด แม้จะเป็นจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองหลวงแต่ก็เป็นสถานที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ อีก 10 ถึงเวลาการนัดหมายกับญาติฝั่งกานต์กนก รถยนต์คันหรูไม่สามารถขยับไปไหนได้ในเวลาเช่นนี้
ครืด
"อะไรอีก"
"พ่อเลี้ยงอยู่ไหนแล้ว" ปลายสายคือกานต์กนก
"อยู่บนรถ" คำตอบของปรเมศฟังดูเหมือนการกวนประสาทแต่ทว่าชายหนุ่มก็พูดความจริง
"กานต์หมายถึง พ่อเลี้ยงขับรถมาถึงไหน ทำไมยังไม่ถึงสักที" เธอตะเบงเสียงดังขึ้นกว่าเริ่มด้วยความโมโหที่ถูกพ่อเลี้ยงตอบมาแบบนั้น ในตอนนี้ญาตผู้หญิงแม้กระทั่งแขกคนสำคัญของพ่อกับแม่ก็มาถึงและนั่งรอในร้าน แต่สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายกลับยังไม่โผล่หัวมา
"อีก 20 นาทีคงถึง" ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองและคาดคะเนว่าคงใช้เวลาราวๆนี้
"20 นาที!! พ่อเลี้ยงจะบ้าเหรอ ปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่รอได้ยังไง" ไม่โอเคเมื่อเป็นฝ่ายต้องรอ ใช่ว่ามันจะเป็นครั้งแรกมันเป็นหลายครั้งมาก เมื่อปรเมศมาช้ากว่าเวลาที่นัดไว้ พอเข้ามาบ่อยก็ถูกตำหนิจากคนเป็นพ่อบ่อยครั้งและแก้ตัวแทนปรเมศจนไม่รู้ใช้เหตุผลมาแก้ตัวแทน
"ฉันไปช้าแค่ 10 นาที ไม่ใช้เป็นชั่วโมง จะกินข้าวก็กินกันไปก่อนได้เลย" น้ำเสียงไม่แสแยและไม่ได้อยากมาเลยสักนิด แต่ทว่าอีกคนมัดมือชกและอยากมาดูนักธุรกิจคนสำคัญของพ่อตาแม่ยายในนามก็เท่านั้น
"บ่อยมากไปแล้วนะพ่อเลี้ยง"
"ถ้าไม่สบายใจ ฉันเลี้ยวกับไร่ตอนนี้ยังทัน"
"พะพ่อเลี้ยงอย่าเพิ่ง"
"อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่"
"กานต์จะบอกคุณพ่อมาพ่อเลี้ยงเพิ่งคุยกับลูกค้าเสร็จแล้วกัน" เธอบอกแบบนั้นและให้ปรเมศรับทราบก่อนะถูกตัดสายทั้งที่ยังพูดไม่จบ
ด้านกานต์กนกก็ถอนหายใจเข้าออกถี่ขึ้น แต่ถือว่ามีความอดทนกับพ่อเลี้ยงค่อนข้างสูงด้วยเหตุผลรักเพียงฝ่ายเดียวและยังหวังว่าความดีที่เคยทำและพยายามทำมาตลอดจะช่วยให้พ่อเลี้ยงเห็นใจและมีใจตอกลับมาบ้าง
รถยนต์คันหรูจอดเข้าซองของร้านอาหาร ปรเมศมาเรทกว่าที่คิดไว้เกือบ 20 นาที ร่างสูงในชุดสบายๆหรือจะเป็นชุดที่เขาใช้ทำงานตรวจตราความปลอดภัยและความเรียบร้อยในไร่ เสื้อยืดสีขาวคอกลมสวมทับด้วยเสื้อยีนต์ตัวไม่หนามากสีกรมและการเกงยีนต์มีรอยขาดจากการใส่มาหลายปี
"ขอโทษที่มาช้า" ลากเก้าอี้ลงนั่งด้านข้างกานต์กนก ลักษณะการแต่งตัวกลับถูกสายตาแขกคนสำหรับของพ่อแม่กานต์มองเหยียดกับการไม่ให้เกียรติแต่งตัวอย่างกับคนงานแบกกระสอบปุ๋ย แต่ทว่าพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้แคร์สายตา พ่อตาแม่ยายก็ถึงกับพูดไม่ออก พวกเขารู้นิสัยปรเมศเป็นอย่างดี
"มาแล้วเรากินกันเลยนะคะ" กานต์กนกเอ่ยชักชวนในการร่วมรับประทานอาหารในครั้งนี้ก่อนจะเป็นคนเปิดปากคุยเรื่องจิปาถะเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูอึมครึม
"สามีคุณกานต์เหรอคับ" แขกคนสำคัญเอ่ยถาม
"ใช่ค่ะ พ่อเลี้ยงปรเมศ คนที่คุณพ่อคุณแม่เคยเล่าให้พ่อเลี้ยงทินการฟัง"
ทินกรพยักหน้าพลางเบ้มุมปากเล็กน้อย
"อยากให้รู้จักกันไว้นะครับพ่อเลี้ยงทินกร เผื่ออนาคตได้ร่วมกันทำธุรกิจ" พ่อกานต์กนกกล่าวขึ้น
"พ่อเลี้ยงปรเมศ ถ้าจำไม่ผิดคนคือเจ้าของไร่ภูมิดินใช่ไหมครับ"
"ครับ ผมปรเมศเจ้าของไร่ภูมิดิน" เขาแนะนำตัวแค่ไหน แต่อีกคนกลับมองว่าเป็นเพียงเจ้าของไร่เพียงไม่กี่ไร่ ถ้าเป็นสมัยก่อนภูมิดินมีแค่พื้นที่ไม่กี่สิบไร่ก็จริงแต่ปัจจุบันปรเมศกวาดซื้อที่ดินบริเวณใกล้รวมๆกันแล้วมากกว่า 1 พันไร่ด้วยแต่ก็ไม่เคยเอ่ยว่าเขาครอบครองโฉนดพื้นที่นั้นไปแล้ว หลายต่อหลายคนก็ยังเข้าใจว่าปรเมศแค่ขอเช่าพื้นที่ของชาวไร่ตาดำๆมาต่อยอดธุรกิจแค่นั้น
"ถ้าจะทำธุรกิจกับผม ใจต้องใหญ่ใจต้องถึง"
"สำหรับผมถ้าจะทำธุรกิจด้วยกัน ใจต้องแลกใจ เงินไม่ใช่ปัญหา"
เป็นการตอบโต้ด้วยวาจาทางธุรกิจ ทินกรเริ่มขิงปรเมศ
"แล้วรายได้ต่อปีของไร่ภูมิดินเกิน 5 ล้านไหมครับ" ยกมุมปากยิ้มเป็นการเย้ยหยัน ปรเมศช่างไม่ถูกชะตาพ่อเลี้ยงทินการเอาสะเลย
"5 ล้านเป็นรายได้แค่ครึ่งเดือนครับ" เขาบอกตามจริง ผลผลิตเป็นพันไร่เอาอะไรมาบอกว่าได้แค่ 5 ล้านต่อปี หากได้น้อยขนาดนั้นพ่อแม่ของกานต์กนกคงไม่หอบลูกสาวมาถวายเขาถึงที่
"......."
"ถ้าผลผลิตไม่ดีเพราะภูมิอากาศมันเปลี่ยน ก็ประมาน 40-50 ล้านบาท แต่ถ้าผลผลิตงอกงามอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 80-100 ล้านต่อปี"
คนฟังหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ธุรกิจตัวเองทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายรวมๆกันแล้วยังไม่ถึงครั้งของไร่ภูมิดิน ยิ่งรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าปรเมศเข้าไปใหญ่