วันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวานที่ฉันจะโดนคนอื่นพูดถึงเรื่องครอบครัวแบบซึ่ง ๆ หน้า ร้อยพันคำซุบซิบนินทาที่เข้ามาในหูทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดีนัก แต่เพราะมันเป็นเรื่องจริงฉันก็เลยไม่ได้ห้ามปรามหรือโต้แย้งอะไรพวกเขา
“ได้ข่าวว่าเมื่อเช้ามีรถหรูมาส่งถึงหน้าตึกเลยเหรอ”
เสียงหนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังพูดเรื่องของครอบครัวฉันพูดขึ้น พร้อมกับหันมามองมองฉันก่อนจะหันกลับไปสนใจเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่ด้วยกันต่อ
“เดี๋ยวนี้เลิกขายยามาขายตัวแล้วเหรอ เก่งจัง”
ถึงประโยคนี้คนพูดจะไม่ได้หันมาหาฉัน แต่ที่นั่งฟังอยู่ก็พอจะรู้ว่าพูดถึงใคร คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องมีคนสังเกตรถที่มาส่งฉันเมื่อเช้านี้
“เกี๊ยวเราไปนั่งที่อื่นกันเถอะ ไม่ก็กลับเลยก็ได้เพราะไม่มีเรียนแล้ว”
เพื่อนรักกระซิบบอกก่อนจะทำท่าเก็บของลงกระเป๋าเพราะไม่อยากให้ฉันคิดมากกับเรื่องที่ได้ยิน
“แต่รายงานเรายังไม่เสร็จเลยนะลูกปลา ถ้ากลับเลยจะทำยังไง”
ฉันรั้งมือเพื่อนรักที่กำลังเก็บรายงานไปก่อนจะดึงรายงานกลับมานั่งอ่านทบทวนเตรียมหาข้อมูลต่อ
“เดี๋ยวปลาทำเองก็ได้ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจเดี๋ยวเราค่อยโทรคุยกันก็ได้นี่”
เพื่อนรักตอบ
“แบบนั้นเกี๊ยวกลัวไม่ว่างตอบน่ะสิ ปลาก็น่าจะรู้”
“แล้วจะนั่งฟังเขาพูดเสียดสีอยู่แบบนี้หรือไง”
“อื้ม”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะสนใจงานตรงหน้าต่อ ถ้าเขาพูดจนเหนื่อยแล้วเดี๋ยวก็คงเงียบไปเองนั่นแหละ คงไม่มีใครสนใจชีวิตคนอื่นหรือพูดแต่เรื่องคนอื่นจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นหรอก
“ถ้าคิดจะหากินแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมาเรียนทำไมเนอะ”
กลุ่มคนอีกโต๊ะหนึ่งพูดขึ้นมาบ้างก่อนจะมีเสียงพูดคุยของคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนักดังตามขึ้นมาเรื่อย ๆ
“ก็เรียนไว้อัปเกรดตัวเองไงแก นักศึกษาน่ะราคาดีจะตาย”
“โบ๋ตั้งแต่เด็กขนาดนี้ แก่ตัวไปจะเป็นยังไงเนอะเธอ”
บางครั้งฉันก็อยากจะด่ากลับสักครั้ง แต่เพราะมันคือเรื่องจริงก็ทำได้แค่นิ่งเอาไว้ ถึงแก้ตัวไปก็รู้สึกละอายใจที่จะเถียงอยู่ดี
“ว๊ายแก! คนคนนั้นใช่เจ้าทัพปะ / ไหน ๆ”
แต่แล้วชื่อของใครบางคนที่ถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงฮือฮาของคนที่นั่งอยู่ใต้ตึกคณะด้วยกันก็ทำให้ฉันต้องหันไปมองตาม ร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาแต่งกายเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้านกำลังเดินตรงมาทางนี้ ผมสีทองที่เปล่งประกายเมื่อปะทะกับแสงแดดอ่อนยามเย็นทำให้ผิวหน้าขาวเนียนของพี่เขาดูสว่างขึ้นกว่าปกติ
“เขาเป็นนายแบบนี่แก อร๊าย ฉันชอบเขา”
“ว่าแต่เขามาที่นี่ทำไมอะแก / โอ๊ยเขามีเพื่อนเรียนที่นี่เป็นอดีตเดือนแพทย์ปีสี่กับรุ่นน้องวิศวะปีสองไงแก”
เสียงสาว ๆ ที่นั่งอยู่ใต้ตึกฮือฮาและกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เมื่อหนุ่มต่างมหาลัยเริ่มเดินเข้ามาใต้ตึก
“เอ่อ พี่เขามาหาเกี๊ยวหรือเปล่าอะ”
เพื่อนรักที่ตั้งสติได้จากการตื่นตะลึงคนรูปหล่อหันมากระซิบถามฉัน
“เห็นบอกว่าจะมาจ่ายค่าเทอมให้น่ะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเดินมาทางนี้ทำไม”
ฉันตอบเพื่อนรัก
“หรือว่าเขาจะมาหาเพื่อน…”
ฉันพูดต่อเพราะเมื่อกี้ได้ยินว่าพี่เขามีเพื่อนและรุ่นน้องเรียนอยู่ที่นี่
“แต่เขาเดินตรงมาทางนี้นะเกี๊ยว”
เพื่อนรักยังไม่หยุดพูดขณะที่สายตาจ้องมองไปยังคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะที่เรานั่งกัน
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์หื้ม”
“…”
เสียงทุ้มละมุนของคนที่นั่งลงข้างฉันทำให้ฉันรู้สึกงุนงงเล็กน้อยขณะที่เพื่อนรักยังนั่งตะลึงอยู่ ฉันรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาดูแต่ก็พบว่าพี่เขาไม่ได้โทรมา แล้วทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?
“ยังโกรธเรื่องวันนั้นอยู่เหรอคะ แฟนพี่นี่ขี้งอนจริง ๆ เลย”
“…”
ไม่ใช่ฉันที่อึ้งและสับสนจนพูดอะไรไม่ออกแต่ลูกปลาเองตอนนี้เหมือนกับว่าวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว
“แกเมื่อกี้เขาบอกว่าเป็นแฟนกัน”
เสียงโต๊ะข้าง ๆ พูดขึ้นอีกครั้ง คนข้างฉันกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะนั่งกุมมือฉันข้างหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะแล้วเขี่ยโทรศัพท์มือเล่นด้วยมืออีกข้างอย่างไม่สนใจใคร รวมถึงไม่สนใจลูกปลาที่ยังขยับตัวไม่ได้ในตอนนี้ด้วย
“งั้นรถคันเมื่อเช้าที่มาส่งก็ของเจ้าทัพอะดิ / ไม่ได้ขายตัวหรอกเหรอ”
“ใครปล่อยข่าวอะไม่กรองให้ดีเลยเดี๋ยวโดนฟ้องหรอกแก”
ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่เขาทำอยู่ในตอนนี้นักแต่ก็ไม่กล้าถามว่าทำไมพี่เขาถึงมาหาฉันแล้วทำอะไรแบบนี้ หากคิดเป็นเรื่องดีก็คงมาแก้ข่าวลือวันนี้ให้ฉัน แต่เมื่อกี้ที่พี่เขาพูดจาดี ๆ แบบนั้นมันก็ละมุนใจดีเหมือนกันนะถึงเราจะไม่ได้เป็นแฟนกันจริง ๆ ก็เถอะ
‘คิดจะเป็นผู้หญิงของฉัน อย่าทำตัวเป็นขี้ปากใครเข้าใจมั้ย’
คำพูดของพี่เขาที่พูดกับฉันเมื่อคืนทำให้ฉันรู้ว่าฉันเลือกคนดูแลไม่ผิด ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดชีวิตแต่ก็คิดว่าตัวเองคงปลอดภัยถ้าได้อยู่กับเขา
“ขอบคุณนะคะ”
ฉันก้มหน้ามองแผ่นกระดาษรายงานตรงหน้าพร้อมกับบอกคนข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะกลัวคนรอบข้างจะได้ยิน
“วันนี้มีรายงานเหรอ”
เหมือนคนข้าง ๆ ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉันพูดแต่เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเพื่อนรักที่ตอนนี้สติกลับมาแล้ว
“อ๋อใช่ค่ะ แต่พี่พาเกี๊ยวกลับเลยก็ได้ค่ะเดี๋ยวลูกปลาทำที่เหลือต่อเอง”
เพื่อนรักตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของลงกระเป๋า
“งั้นก็กลับกันเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
คนข้าง ๆ พยักหน้าให้ลูกปลาก่อนจะกระตุกมือฉันให้เดินไป คำว่าพี่ที่เขาพูดกับลูกปลาเมื่อกี้นี้มันดูอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันคืออีกมุมของพี่เขาที่เอาไว้ปฏิบัติกับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างฉันหรือเปล่า แต่ถ้าได้ฟังอีกสักครั้งก็คงจะดีต่อใจไม่น้อย