ตอนพิเศษ ที่มาของการหลบหน้า

1966 Words
“เจ็บไหมคะ?” ร่างบางเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และแฝงความเป็นห่วงเป็นใย หลังจากรามิลหน้าหายตาไปสามวัน ด้วยความสงสัยเธอจึงบุกมาที่คณะวิศวะ เพราะเขาไม่เคยหายหน้าหายตาโดยเฉพาะช่วงที่ความสัมพันธ์ของเรากำลังเปราะบาง และภาพที่เห็นคือเขากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ในสวน บริเวณศีรษะมีผ้าปิดแผลติดอยู่ด้วย เมื่อเห็นเธอนอกจากจะรีบทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นแล้วยังทำหน้าแปลกประหลาดอราวกับตกใจเสียเต็มประดาแตกต่างจากปกติลิบลับ เธอจึงเผลอใจอ่อนไม่อยากดุมาก “ไม่เจ็บ” รามิลเอ่ยพลางรวบมือบางที่แตะลงบนแผล มากุมไว้ในฝ่ามือหนาของตัวเองอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาคมกริบสะท้อนภาพร่างบางของเดวาอย่างอ่อนโยน เขาตั้งใจหลบหน้าเธอเพราะกลัวจะเห็นแผลนี่แหละ เดี๋ยวซักไซ้กันยาว แต่ไม่คิดเลยว่าเดวาจะอดรนทนไม่ไหวเป็นฝ่ายมาหาก่อน แค่คิดเขาก็รู้สึกมีกำลังใจเพิ่มขึ้น บอกตามตรงว่าถึงแม้เราจะปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่สถานะยังอยู่ในจุดสุ่มเสี่ยง เธออาจจะจากไปได้ทุกเมื่อเขาเลยค่อนข้างตื่นเต้น เมื่อเห็นเดวามาหาถึงคณะ “ไม่เจ็บจริงอะ?” “อือ” แผลแค่นี้ไม่ถึงกับขนหน้าแข้งร่วงหรอก เมื่อเห็นเธอหรี่ตามองเขาจึงพยักหน้ารับ บางทีถ้าแผลนี้ไม่ได้มาจากน้ำมือตาแก่หัวแข็งพ่อเธอแล้วละก็ เขาอาจจะใช้แผนอ้อนทำตัวน่าสงสารกับเดวาก็ได้ แต่ช่างเถอะเอาไว้ใช้แผนอื่น ร่างบางเห็นแววตาคมกริบดำมืดขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ด้วยความหมั่นไส้ เธอจึงใช้นิ้วอีกข้างจิ้มแผลเขาไปเบา ๆ สองสามทีสะกิดต่อมความเจ็บปวดให้เขารู้สึกเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ “งั้นแบบนี้เจ็บไหม” “โอ๊ย นี่ไปหัดทำตัวร้ายกาจแบบนี้มาจากไหนวะ” รามิลรีบรวบมือเดวามาไว้ทั้งสองข้างอย่างหัวเสีย สาวน้อยของเขาไปหัดทำตัวแบบนี้มาจากไหน ตั้งแต่รู้จักกันมาเดวาจะอ่อนโยน น่ารัก เรียบร้อยมาก ไม่แสบสันเลยสักนิดจะมีดื้อบ้างแต่เขาก็ไม่ติด “หรือน้องสาวตัวแสบของเธอสั่งสอนมาเหรอ?” “นี่อย่ามาว่าน้องสาวเดนะ” เห็นท่าทางของเธอเหมือนแม่เสือสาวที่กำลังพองขนขู่ปกป้องลูกน้อย รามิลก็ลอบพยักหน้ากับตัวเองแล้วว่าใช่แน่ อย่าว่าแต่เขาเลย พวกเพื่อนสนิทในกลุ่มตอนเห็นน้องสาวเดวานี่ระริกระรี้กันมาก แต่พอสืบทราบว่าเธอคือมือปริศนาทุบรถไอ้คิลล์ในวันนั้นก็หัวหดกันหมด ร้ายแบบนั้นใครจะกล้าจีบ “เปล่าสักหน่อย” เขาเอ่ยโกหกคำโตออกไป เดวารักน้องสาวมากทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน เขาจะกล้านินทาว่าร้ายยัยดาน่าได้ยังไงกัน “ก็เมื่อกี้พี่ว่าน้องสาวเดสั่งสอนมา” เธอคิ้วขมวดเข้าหากัน หรือไม่จริง? นั่นคือสิ่งที่เขาคิด น้องสาวเดวานี่ต่างกันลิบลับคนหนึ่งนางฟ้าอีกคนน่าจะนางมาร “ก็เราไม่เคยทำร้ายพี่แบบนี้มาก่อน” “ใช่สิ เพราะปกติพี่ทำร้ายแต่เดนี่” งานเข้ากูอีกแล้ว รามิลนิ่งไปสักพักเพราะไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง ความผิดพลาดที่ผ่านมาทำให้เขาเรียนรู้มัน แม้ใบหน้าเล็ก ๆ ตรงหน้าจะพูดทีเล่นทีจริง แต่เขารู้ดีว่ากว่าเธอจะสามารถเอาเรื่องนี้มาพูดเป็นเรื่องตลกได้ เธอคงอยู่ในจุดที่เจ็บปวดกับมันมากอด “พี่ราม เดพูดเล่นนะอึก!” เมื่อเห็นเขานิ่งไปเธอจึงเอ่ยปากถามเพราะรับรู้ถึงความผิดปกติ แต่ยังเอ่ยไม่ทันขาดคำรามิลก็ดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น และใช้มือหนากดศีรษะของเธอแนบไปกับแผงอกแกร่ง “ขอโทษนะที่ทำร้ายเธอมาตลอด” เดวาที่กำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าและสภาพอารมณ์ของรามิลถึงกับชะงักไป น้ำเสียงของเขาอาจจะเย็นชาแต่กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดและกล่าวโทษตัวเองซ้ำ ๆ “ไม่เป็นไรนะคะมันผ่านมาแล้ว” มือบางยกขึ้นมาลูบแผ่นหลังแกร่งอย่างปลอบประโลม เรื่องราวเหล่านั้นสอนให้เธอเติบโตขึ้นมาก จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ในเมื่อเธอเลือกที่จะยืนจุดนั้น และในตอนนี้มันก็ไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว รื้อฟื้นขึ้นมามันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น “ถ้ารักกันก็อย่าทำร้ายกันอีก ไม่งั้นนะเดจะไม่อยู่จริงด้วย” มือหนาที่โอบกอดเธออยู่สั่นระริก เพราะรู้สึกอ่อนไหวกับคำพูดของเธอ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่มีวันปล่อยมือเด็ดขาดและจะลบเรื่องราวเล่านั้นออกไปจากใจเธอให้ได้ “อือ” “แล้วแผลได้มายังไงคะ?” หลังจากปลุกปลอบกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดวาก็เอ่ยปากถามถึงที่มาของแผลทันที ทำให้รามิลนิ่งไปสักพักก่อนจะรวบมือของเดวาเข้ามาหาตัวและตอบข้อสงสัย “พวกหัวรุนแรงน่ะ ไม่มีอะไรมาก” ปกติเขาก็มีเรื่องกับคนไปทั่วอยู่แล้วจะเพิ่มโจทย์อีกสักคนจะเป็นอะไรไป “หัวรุนแรงจริง ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยดูสิหน้าหล่อ ๆ มีรอยเลย” เดวาบ่นพึมพำพลางเลื่อนปลายนิ้วเกลี่ยรอบ ๆ รอยแผลที่มีผ้าพันแผลปิดไว้อย่างดี ใบหน้าน่ารักขมวดคิ้วยุ่งเหยิง จนรามิลยกนิ้วโป้งขึ้นมาคลึงมันเบา ๆ เพื่อให้คลายออก “แค่นี้ไม่เสียโฉมอะไรหรอก ไม่รู้เหรอว่าผู้ชายมีแผลทำให้หล่อขึ้น” “พี่พูดเหมือนพ่อเดเลยค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นรามิลก็หุบปากฉับ ปกติเขาพูดน้อยมากแต่เพราะเดวาเลยอยากจะพูดเยอะ ๆ หน่อย ใครจะคิดว่าคำพูดตัวเองจะไปเหมือนตาแก่นั่น “อย่างนั้นเหรอ คงเพราะเป็นพ่อตาลูกเขยกันแน่ ๆ” รามิลเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้าน ทำให้เดวายกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นขำ เพราะท่าทางของเขาก็เหมือนพ่อเธอด้วย “อย่าไปพูดใครได้ยินนะโดยเฉพาะพ่อเด รายนั้นหวงลูกสาวมาก” ตั้งแต่พ่อกับแม่กลับมาจากต่างประเทศ เธอก็ยังไม่แวะไปเยี่ยมเลย อีกทั้งพ่อก็ไม่ค่อยโทรมาหาอย่างปกติคงจะยุ่งเรื่องงาน เธอจึงไม่อยากรบกวนมาก เดวาลอบคิดกับตัวเองในใจโดยที่ไม่รู้เลยว่ารามิลนั้นถึงกับลอบพยักหน้าอยู่ในใจ ก็คงจะหวงมากอยู่หรอก ฟาดเขาเน้น ๆ ขนาดนี้ ไม่รู้จะอะไรนักหนาลูกสาวไม่ได้มีคนเดียวสักหน่อย ไม่เก็บความแค้นไปลงลูกเขยเบอร์สองหน่อยล่ะ “พี่เงียบทำไม” “แค่คิดว่าถ้าพ่อเธอไม่ชอบพี่จะเป็นยังไง” “อ๋อ อย่าคิดมากนะคะ” เดวาฉีกยิ้มกว้างจนเขาแปลกใจ “ไม่คิดได้ไง หรือพ่อเราใจดีไฟเขียว” แต่จากที่เห็นมาน่าใช่นะ…ท่าทางแบบให้ผ่านง่าย ๆ ก็เหี้ยล่ะ “เปล่าหรอกค่ะ พ่อไม่เคยชอบผู้ชายสักคนเลยบอกอย่าคิดมาก” ได้ยินเดวาหัวเราะเบา ๆ เขาจึงปรายตามองเธออย่างคาดโทษทันที ก็ว่าแล้วท่าทางอย่างนั้นจะมาใจดีอะไร “เฮอะ” “แล้วที่หายหน้าหายตาเพราะเรื่องแผลใช่ไหม?” ยัยนี่ยังไม่จบเรื่องแผลอีกนะ! “ตอบมาตามความจริงห้ามโกหก” เดวาที่อยู่ในอ้อมแขนของรามิล เงยหน้าช้อนสายตามองเขาราวกับผู้ใหญ่ กำลังจับผิดเด็ก ทำให้เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู “ก็ประมาณนั้น เดี๋ยวโดนดุ” รามิลยกยิ้ม นั่นทำให้คนตัวเล็กอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะบ่นในลำคอเสียงแผ่วเบาแต่เขาได้ยิน “ดุอะไรกัน เดเนี่ยนะจะสามารถทำอย่างนั้นได้” “ก็ไม่ใช่ว่าทำแล้วหรือไง?” เมื่อกี้เธอทำท่าจะดุเขาอย่างกับแม่เสือ ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่มีความสามารถอีกเหรอ เห็นเดวาทำแสยะยิ้มเขาจึงแค่นเสียง ‘เฮอะ’ ในลำคออย่างหมั่นไส้ “แล้วนี่เลิกเรียนแล้วเหรอ ไปกินข้าวกันไหม?” “เลิกแล้วค่ะเลยแวะมาหา” “ที่จริงแล้วถ้าเธอย้ายกลับมาอยู่กับพี่เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้นะ” เห็นเดวาพยักหน้าหงึกหงักอย่างน่ารัก เขาก็อดรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาไม่ได้ เดวาไม่ยอมย้ายกลับมาอยู่ด้วยและอ้างสารพัดเหตุผล ทั้งที่เขาอยู่ปีสี่งานโพรเจกต์ต่าง ๆ ก็วุ่นวาย ส่วนเธอก็ต้องเรียนหนักขึ้นเรื่อย ๆ โอกาสเจอกันก็ยากเข้าไปอีก “แต่ถ้ายังไม่พร้อม” เห็นเธอเงียบไปเขาจึงต้องเอ่ยทำลายบรรยากาศ “ก็ได้ค่ะ” “จริงเหรอ” เห็นเดวาพยักหน้าลงพร้อมอมยิ้มเขาก็ดึงเธอเข้ามากอดเต็มรัก ก่อนจะจรดปลายจมูกลงบนศีรษะเล็กอย่างแรง แม้จะบอกว่ารอได้แต่เขาก็อึดอัดกับสถานการณ์ในตอนนี้ อยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยเร็ว เมื่อได้ยินเธอตอบรับเขาจึงรู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งสองกอดกันอยู่บริเวณโต๊ะหินอ่อนบริเวณหลังตึกคณะแม้จะหลบหลีกสายตาของผู้คน แต่ไม่อาจรอดพ้นบรรดาเพื่อนที่สูบบุหรี่อยู่ด้วยกันในตอนแรกได้ แบร์เห็นแล้วยังชนลุก อาไกแค่นเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้ แม้แต่ลูแปงที่อยู่ในสถานะคนอกหักยังรู้สึกอิจฉาตาร้อน “นั่นไอ้รามแน่นะ” ลูแปงทำท่าขยี้ตาอย่างเหลือเชื้อ “พ่อมึงมั้ง” “สัด!” นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วยังโดนอาไกกวนตีน ลูแปงจึงหันมาสบถคำหยาบอย่างไม่สบอารมณ์ โดยมีเพื่อนยืนหัวเราะ “มันทำท่าทางเหมือนตาแก่บ้ากามลูบหัวลูบหางน้องเขาอยู่ได้” แบร์เอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างประหลาดใจ รามิลในสายตาพวกเขาเย็นชายิ่งกว่าก้อนน้ำแข็ง หน้านิ่งและพูดแบบนับคำได้ ความอ่อนโยนแบบนี้ไม่เห็นจะเคยแสดงออกมาก่อน “ดูสายตามันดิ อะไรจะขนาดนั้นหวานยิ่งกว่าลอดช่องป้าเจิดที่ในโรงอาหารอีก กูจะอ้วกเลี่ยนฉิบหาย” อาไกเอ่ยเสียงขึ้นจมูก “ว่ากันว่าคนมีความรักก็มักจะเปลี่ยนไป…แต่ไอ้รามเปลี่ยนเยอะไปปะ” ลูแปงที่ถูกดวงตาคู้นั้นมองอย่างเฉยชามาตลอดยังขนลุก “มันก็เป็นแต่กับน้องเขาแหละ คนอื่นก็เย็นชาเหมือนเดิม” “ไม่ใช่น้องเดวาก็ยากหน่อย ฮ่าฮ่า” ทั้งสามคนต่างนินทาเพื่อนอย่างออกรส ทั้งแปลกใจ และอิจฉาไปในคราวเดียวกัน แม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องทั้งคู่อย่า ละเอียดแต่จากที่เห็นมาสักพักก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองต่างผูกพันกันมากจริง ๆ ไหนจะท่าทางแบบสองมาตรฐานของรามิลที่มีต่อคนอื่นและแฟนสาวแล้ว พวกเขาเอาหัวเป็นประกันเลยว่า รุ่นนี้ไม่น่ารอดเงื้อมมือสาวน้อยหน้าใสคนนี้แล้วแหละ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD