ฉากหน้าของการแต่งงาน

2342 Words
งานแต่งงานระหว่าง มิริน และ ภาณุ ถูกจัดขึ้นในห้องบอลรูมหรูหราของโรงแรมระดับห้าดาวที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีขาวและทองทั่วทั้งงาน แสงไฟระยิบระยับสะท้อนผ่านแชนเดอเลียร์คริสตัลขนาดใหญ่ สร้างบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความงดงามและความเป็นทางการ แขกในงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญจากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นการทูต ธุรกิจ หรือสังคมชั้นสูง แต่ถึงแม้งานจะเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่สมฐานะ ความตึงเครียดระหว่างคู่บ่าวสาวกลับชัดเจนจนสัมผัสได้ เสียงดนตรีคลาสสิกดังขึ้นเบาๆ เมื่อมิรินปรากฏตัวที่ปลายสุดของทางเดินยาว เธอสวมชุดแต่งงานลูกไม้ปาดไหล่ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต ชุดที่เน้นสัดส่วนได้อย่างพอดิบพอดี แขนยาวบางเฉียบที่แนบไปกับผิวขาวนวลของเธอให้ความรู้สึกสง่างามและน่าค้นหา ผ้าคลุมยาวโปร่งบางลากไปตามพื้นพรมแดง ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธออย่างไม่อาจละสายตาได้ ความงามที่เรียบง่ายแต่สง่างามของเธอทำให้ผู้คนที่อยู่ในงานต่างพากันซุบซิบถึงความสมบูรณ์แบบของเธอ ในขณะที่ทุกคนตื่นตะลึงกับเจ้าสาว ผู้ชายที่ยืนอยู่ปลายทางเดินกลับมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ภาณุ ในชุดเจ้าบ่าวสูทสีขาวสะอาดตา โดดเด่นด้วยความเนี้ยบและท่าทางที่สงบเยือกเย็นเหมือนทุกครั้ง ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่เธออย่างไม่ละสายตา แม้สีหน้าเขาจะยังคงนิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง เมื่อเห็นเธอในชุดแต่งงาน เขาต้องยอมรับในใจว่าเธอสวยจนแทบสะกดลมหายใจ มิรินเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ ช่อดอกบูเก้สีขาวเล็กๆ ในมือของเธอช่างดูอ่อนหวานและบริสุทธิ์ เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของเธออย่างลังเล หัวใจของเธอเต้นแรง แม้เธอจะพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นเพียงพิธีที่ถูกบังคับ แต่ในความเป็นจริง เธอไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่ปะปนอยู่ในหัวใจได้ เธอกลัว เธอโกรธ และเธอรู้สึกว่ากำลังสูญเสียตัวเอง แต่ในเวลาเดียวกัน สายตาที่ภาณุมองมาอย่างลึกซึ้งกลับทำให้เธอรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อทั้งสองมายืนประจันหน้ากันบนเวที สายตาของพวกเขาประสานกันชั่วครู่ ทุกอย่างรอบข้างเหมือนถูกกดปุ่มหยุดเวลา แม้เสียงดนตรีและเสียงแขกในงานยังคงดังอยู่ แต่ในความรู้สึกของพวกเขา โลกเหมือนเงียบสนิท ภาณุจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมิริน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลังเลและความเจ็บปวด เขาสัมผัสได้ถึงภาระหนักอึ้งที่เธอแบกรับไว้ เช่นเดียวกับที่เขาเองต้องเผชิญ “คุณดู...ไม่เหมือนเดิม” เสียงทุ้มต่ำของภาณุเอ่ยเบาๆ แต่ชัดเจนพอให้เธอได้ยิน มิรินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “คุณหมายถึงอะไร?” “ผมหมายถึง คุณสวยมาก... สวยจนผมแทบจำไม่ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่อาจตีความได้ เธอหลบสายตาเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ “ฉันไม่ได้อยากสวยเพื่อให้คุณประทับใจ” คำพูดนั้นเหมือนเป็นคำเตือนและการปกป้องตัวเอง แต่สำหรับภาณุ มันคือการประกาศสงครามเล็กๆ ระหว่างพวกเขา เขายิ้มเยาะเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากคุณอยู่แล้ว” แม้คำพูดของเขาจะฟังดูเย็นชา แต่แววตาของเขากลับไม่ได้สะท้อนความรู้สึกเดียวกัน ในสายตาของภาณุ เขารู้สึกว่ามิรินไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับเขา แต่เธอคือคนที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลไม่ต่างจากเขา เมื่อพิธีการเริ่มขึ้น ทั้งคู่ยืนเคียงข้างกันภายใต้สายตาของแขกนับร้อย แม้ภายนอกจะดูเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก แต่ในหัวใจของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความเจ็บปวด และความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความสุข แต่เป็นการเข้าสู่สนามรบที่ทั้งสองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดไปด้วยกัน เมื่อพิธีดำเนินมาถึงช่วงที่ทั้งสองต้องกล่าวคำสาบาน มิรินรู้สึกเหมือนลมหายใจของเธอขาดห้วง ดวงตาทุกคู่ในห้องจับจ้องมาที่เธอ ขณะที่เธอพยายามบังคับตัวเองให้สงบ ทว่าภายในใจกลับปั่นป่วนราวกับพายุ เธอเงยหน้าขึ้นมองภาณุที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยต่อสถานการณ์นี้ สายตาของเขาที่มองตรงไปยังเจ้าภาพพิธีไม่มีวี่แววของความลังเลหรืออารมณ์ใดๆ “เจ้าสาว คุณจะยินดีที่จะรัก ซื่อสัตย์ และอยู่เคียงข้างสามีของคุณ ไม่ว่าจะในยามสุขหรือทุกข์ ตราบจนลมหายใจสุดท้ายหรือไม่?” เสียงของผู้ดำเนินพิธีดังขึ้น ทำให้เธอต้องดึงตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริง มิรินสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามข่มความกลัวที่แผ่ซ่านในใจ เธอกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่เธอพยายามทำให้หนักแน่นที่สุด “ฉัน...ยินดี” คำพูดนั้นเหมือนจะหลุดออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่ขมขื่น เธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำโกหกหรือการยอมจำนน แต่สิ่งที่เธอรู้คือมันไม่ใช่สิ่งที่มาจากหัวใจ เมื่อถึงคิวของภาณุ เขาเพียงมองตรงไปยังผู้ดำเนินพิธี ใบหน้ายังคงนิ่งเหมือนรูปปั้น แต่เสียงของเขากลับดังชัดเจนและเฉียบขาด “ผมยินดี” ไม่มีความลังเล ไม่มีการเบี่ยงเบนสายตา เขาเหมือนคนที่กำลังทำตามหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลึกลงไปในใจ ภาณุรู้สึกถึงความอึดอัดที่กดดันจนแทบหายใจไม่ออก เมื่อคำสาบานเสร็จสิ้น เสียงปรบมือจากแขกในงานดังขึ้นอย่างกึกก้อง รอยยิ้มและคำชมจากคนรอบข้างทำให้งานแต่งงานครั้งนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบ ทว่าท่ามกลางเสียงหัวเราะและบรรยากาศที่ดูอบอุ่น มิรินรู้สึกเหมือนเธอกำลังอยู่ในกรงทอง เธอยืนเคียงข้างภาณุ รับคำแสดงความยินดีจากแขกทุกคน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เธอรู้สึกว่าเขาสนใจเธอเลยสักนิด กระทั่งช่วงเวลาที่ต้องถ่ายภาพร่วมกัน มิรินและภาณุต้องยืนใกล้กัน ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม แต่ในช่วงเสี้ยววินาทีที่สายตาของพวกเขาประสานกัน เธอเห็นบางสิ่งในดวงตาของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันไม่ใช่ความอ่อนโยน แต่เป็นความเหนื่อยล้า ความขมขื่น และอาจจะเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่เธอกำลังเผชิญ “คุณเล่นบทได้เก่งมาก” เธอกระซิบเบาๆ ขณะที่เขายืนใกล้เธอเพื่อให้ช่างภาพเก็บภาพในมุมที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ “คุณก็เหมือนกัน” เขาตอบกลับ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยการประชดประชัน แต่ไม่มีใครในงานสังเกตเห็นบทสนทนาสั้นๆ นี้ เมื่อพิธีการจบลงและแขกเริ่มทยอยกลับ มิรินนั่งอยู่ในห้องเจ้าสาวเพียงลำพัง เธอถอดรองเท้าส้นสูงออก วางมันไว้ข้างตัวอย่างเหนื่อยล้า เธอไม่แน่ใจว่าเธอจะรับมือกับชีวิตคู่ที่กำลังเริ่มต้นนี้ได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้คือ การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้มีความสุขเหมือนในเทพนิยาย เธอถูกบังคับให้เดินเข้าสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและพันธะที่เธอไม่ได้เลือกเอง ภาณุเดินเข้ามาในห้องหลังจากงานจบลง เขามองเธอด้วยสายตาที่นิ่งสนิท ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “คืนนี้คุณควรพักผ่อน พรุ่งนี้เรามีอะไรที่ต้องจัดการอีกเยอะ” เธอเงยหน้ามองเขา รู้สึกถึงความเย็นชาที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น เธออยากถามเขาว่าเขาเคยรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่สุดท้ายก็เก็บคำถามนั้นไว้ในใจ เธอเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าต่างที่มืดสนิท ในค่ำคืนที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบสำหรับทุกคน งานแต่งงานของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและความเงียบงัน สองคนที่ต้องเดินเข้าสู่ชีวิตคู่ที่ทั้งเยือกเย็นและเต็มไปด้วยบาดแผล พวกเขารู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้าจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่จะเต็มไปด้วยบททดสอบที่พวกเขาต้องเผชิญไปด้วยกัน... แม้จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งก็ตาม ……………………………………… เกือบหนึ่งปีที่ผ่านไปนับตั้งแต่งานแต่งงานอันหรูหราและยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ต่างเรียกว่ากิ่งทองใบหยก ชีวิตคู่ของ ภาณุ และ มิริน กลับไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครคาดหวัง ทั้งสองคนใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบงันเหมือนบ้านร้าง แม้จะอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน แต่พวกเขาเลือกที่จะแยกห้องนอน ไม่เคยมีคำพูดหวานๆ หรือสัมผัสใกล้ชิดที่จะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ในฐานะสามีภรรยา สิ่งที่มีคือบทสนทนาสั้นๆ ที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง บางครั้งอาจจะเป็นเพียงคำพูดที่เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว หรือเรื่องจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบ้านที่ตกแต่งอย่างหรูหรานี้ ห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่กลับเป็นสถานที่ที่เงียบที่สุดในทุกเช้า ภาณุลงมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ พร้อมกับกาแฟดำที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ ส่วนมิรินนั่งอยู่ตรงข้ามเงียบๆ มือบางหยิบขนมปังขึ้นมากินเล็กน้อย ก่อนจะเลี่ยงไปดื่มน้ำส้มแทน ไม่มีคำพูด ไม่มีการสบตา ระหว่างพวกเขาคือช่องว่างที่เหมือนจะถูกขยายกว้างขึ้นทุกวัน “วันนี้คุณต้องไปงานเลี้ยงที่สถานทูตใช่ไหม?” เสียงของมิรินดังขึ้นอย่างระมัดระวัง เธอหลบสายตา ไม่อยากให้เขามองเห็นความกังวลที่แฝงอยู่ ภาณุวางแก้วกาแฟลงอย่างไม่เร่งรีบ ดวงตาคมของเขามองผ่านขอบหนังสือพิมพ์ “ใช่ แล้วคุณล่ะ จะไปด้วยหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงความคาดหวังหรือความสนใจใดๆ “ถ้าคุณต้องการให้ฉันไป ฉันก็จะไป” เธอตอบเบาๆ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจนเขารับรู้ได้ เขาพับหนังสือพิมพ์อย่างเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ถ้าคุณคิดว่าการไปจะช่วยอะไรครอบครัวของคุณ ก็ไปเถอะ แต่ไม่ต้องทำเพื่อผม” คำพูดนั้นเยือกเย็นเหมือนเดิม แต่แฝงไว้ด้วยความประชดประชันที่ทำให้เธอนิ่งไป มิรินเดินกลับไปยังห้องของตัวเองหลังจากมื้อเช้า เธอยืนอยู่หน้ากระจก มองตัวเองในชุดเรียบหรูที่เธอเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ แม้เธอจะรู้ว่าเธอทำเพื่อครอบครัว เพื่อหน้าตาทางสังคม แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้สึกเหมือนกำลังเสียตัวตนไปทีละนิด เธอจำคืนแรกหลังงานแต่งงานได้ดี คำพูดเย็นชาของเขายังคงสะท้อนในหัวใจ “คุณไม่ต้องคาดหวังอะไรจากผม เพราะผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากคุณ” คำพูดนั้นเป็นเหมือนกำแพงที่สร้างขึ้นระหว่างพวกเขา ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้คือพันธะที่ไม่มีความรัก เป็นเพียงหน้าที่ที่ถูกบังคับให้แบกรับไว้ แต่ยิ่งนานวัน ความเงียบงันในบ้านหลังนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่กัดกินหัวใจของเธอ ค่ำคืนนั้นในงานเลี้ยง มิรินในชุดราตรีเรียบหรูยืนอยู่ข้างภาณุ เธอทำตัวเหมือนเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ ยิ้มและตอบคำถามของผู้คนที่เข้ามาทักทาย ราวกับไม่มีอะไรผิดปกติในความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ในสายตาของเธอ เธอเห็นความห่างเหินในตัวภาณุ เขาแทบไม่มองมาที่เธอ และเมื่อมีคนถามถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่ใส่ใจ “ชีวิตแต่งงานเป็นยังไงบ้างคะ ท่านทูต?” แขกคนหนึ่งถามอย่างสนอกสนใจ “ก็...ราบรื่นดี” เขาตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องงาน มิรินยืนอยู่ข้างเขา เธออยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อแก้สถานการณ์ แต่คำพูดของเขาทำให้เธอเหมือนเป็นเงาที่ไม่มีตัวตน ความรู้สึกอึดอัดกัดกินเธอเหมือนเดิมในทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อกลับถึงบ้าน ภาณุเดินเข้าห้องของเขาโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ มิรินยืนอยู่กลางห้องนั่งเล่น เงาสะท้อนของเธอในกระจกบานใหญ่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในบ้านหลังนี้ เธอถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเอง คืนนี้เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา บ้านที่ใหญ่โตกลับเงียบงันและหนาวเหน็บ ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยช่องว่างที่ไม่มีใครพยายามเติมเต็ม และแม้จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ทั้งสองกลับรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่ทุกอย่างที่เคยเรียบเฉยกลับเปลี่ยนไปในคืนหนึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ภาณุที่เคยเย็นชาและห่างเหิน เข้ามาหาเธอในห้อง ร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาคมจับจ้องด้วยแววที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่เขาจะพูดอะไร มือหนาก็คว้าเธอเข้ามาในอ้อมแขน ริมฝีปากร้อนกดลงมาอย่างรุนแรงและเรียกร้อง ราวกับต้องการลบล้างทุกความเย็นชาที่เขาเคยแสดงออก มิรินตกใจและพยายามผลักเขาออก แต่ยิ่งเธอดิ้น เขากลับยิ่งกอดเธอแน่น ความเร่าร้อนในจูบของเขาเหมือนเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ เธอแทบหายใจไม่ออก ทุกสัมผัสของเขาคือคำยืนยันว่าเธอเป็นของเขา แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป แต่หัวใจของเธอกลับสั่นไหวในอ้อมกอดนั้นจนไม่อาจต่อต้านได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD