เช้าวันถัดมา...
ท้องฟ้าแจ่มใสเกินเบอร์ เหมือนฟ้ากำลังตบไหล่บอกว่า “สู้ ๆ นะยัยบ้า ไปตายซะดี ๆ”
ลลิล คหบดีวัฒน์ ยืนอยู่หน้าตึกกระจกสูงระฟ้าของ Ramius Group ในมือถือกระเป๋าหนังแบรนด์เนม ชุดเดรสสีครีมที่เธอเลือกใส่มาอย่างตั้งใจดูเรียบหรู แม่เรียกว่าเรียบร้อย — แต่เธอเรียกมันว่า ‘ชุดสารภาพบาป’
ภายนอกดูเป็นคุณหนูผู้ดี แต่ภายใน...เหมือนใส่เกราะเหล็กพร้อมระเบิดเวลาไว้ตรงอก
แน่นไปหมด
หายใจก็ไม่สุด หัวใจก็สั่น ระดับความเครียดพุ่งเท่าภาษีที่ต้องจ่ายตอนรู้ว่าเธอทำน้ำไวน์ราดสูทคนมีอำนาจที่สุดในเมืองนี้
เธอกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
สายตาเงยขึ้นไปมองโลโก้ “Ramius Group” ตัวอักษรสีดำเงาเรียบหรูบนกระจกใสที่สูงเสียดฟ้า
ข้างใต้เขียนว่า Power. Precision. Privacy.
“...เออ ใช่สิ พาวเวอร์จนฉันอยากเป็นลม เพรซิชันจนฉันราดไวน์ใส่เขา แล้วพรายเวซี่...เออ แม่งจะลากฉันไปทำอะไรหลังม่านอีกก็ไม่รู้!”
เธอสาปแช่งตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจลึก
“โอเค ลลิล...แกแค่ไปขอโทษ เขาคงไม่ใจร้ายมั้ง—ถึงแม้เขาจะหน้าหล่อแบบฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาก็ตาม”
เธอพึมพำ
“…แล้วก็อธิบายไปตรง ๆ ว่าแกไม่มีเงินจ่ายค่าสูทบ้า ๆ นั่น! ขอผ่อน 48 งวดกับดอกเบี้ย 0% ก็ยังดี!”
เอาเข้าจริง เธอพร้อมเซ็นสัญญาผ่อนค่าสูทยิ่งกว่าสัญญาเรียนต่อโทอีก!
รวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย เธอถอดรองเท้าส้นสูงตัวเองออกมาเคาะพื้นเบา ๆ สองทีเหมือนสะกดใจ แล้วเดินเข้าสู่ตึกทรงอำนาจที่สูงพอจะบดบังแสงแห่งความหวังของคนอย่างเธอ
ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดอย่างนุ่มนวล
อากาศเย็นฉ่ำราวกับไหลออกมาจากช่องแช่แข็ง ล็อบบี้ตึกดูเงียบเย็นแบบที่โรงแรมห้าดาวบางแห่งยังต้องอาย เสาเพดานสูง เงาสะท้อนจากพื้นหินอ่อนวาววับ และเสียงรองเท้ากระทบพื้นของเธอดังชัดในความเงียบ มีพนักงานในชุดสูทดำเดินไปมาอย่างเร่งรีบ แต่ทุกคนดูนิ่ง สุภาพ และ...ไม่ยิ้มให้ใครง่าย ๆ
เธอเดินเข้าสู่ล็อบบี้หรูหราราวกับฉากในซีรีส์เกาหลี แล้วตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ขะ…ขอเข้าพบคุณอลิสแตร์ค่ะ นัดไว้สิบโมงตรง”
เจ้าหน้าที่ต้อนรับหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มหรูยิ้มสุภาพก่อนจะกดโทรศัพท์เพียงสองวินาที แล้วพูดเสียงนิ่ม
“คุณคิมหันต์จะลงมารับค่ะ”
...ห้านาทีต่อมา
ประตูลิฟต์วีไอพีเปิดออก พร้อมชายหนุ่มคนหนึ่งในสูทเข้ารูปพอดีตัว ใบหน้าหวานจัดเหมือนนายเอกซีรีส์ แต่ดวงตานี่โคตรสายลับ MI6
ทั้งเงียบ ทั้งนิ่ง ทั้งคม
ลลิลกลืนน้ำลายอีกหนึ่งครั้ง มือกำนามบัตรไว้แน่นเหมือนเป็นยันต์กันผี
“คุณลลิล?”
เสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่เนิบชัดแบบมีแรงกดดันแฝงอยู่ในทุกคำ
“ตามผมมา”
...จังหวะนั้นเธออยากหันหลังแล้วตะโกนว่า
“เปลี่ยนใจได้ไหมคะะะะะ!!!”
แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเดินตามหลังไปเหมือนคนจะไปขึ้นเขียง
ลิฟต์กระจกพาเธอไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ จากท้องฟ้าโปร่งใสด้านนอก กลับกลายเป็นความหนาวเหน็บภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เธออยู่กับเลขาหน้าหวาน เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ ไม่ได้ช่วยให้ความตึงเครียดในอกคลายลงเลยแม้แต่น้อย
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดออก เผยให้เห็นโถงหินอ่อนสว่างไสว ตกแต่งด้วยงานศิลป์ร่วมสมัยที่ดูแพงชนิดที่ “ราคามากกว่าบ้านทั้งหลังของเธอรวมกัน”
คิมหันต์ก้าวออกจากลิฟต์ก่อน เปิดประตูกระจกใสอัตโนมัติให้เธอด้วยท่าทางนิ่งขรึม
ลลิลยิ้มแห้ง ๆ แล้วพยายามยืนตัวตรง ทั้งที่ขาข้างในกำลังสั่นคล้ายสลิงชำรุด โถงทางเดินตกแต่งด้วยโทนสีดำ-ทองแบบมินิมอล แต่มีแผงไม้ขัดมันจากอิตาลีพาดยาวตลอดแนวผนัง
กลิ่นหอมจากเครื่องอโรมาสูงข้างกำแพงลอยคลุ้ง — ไม่แรงจนฉุน แต่เย้ายวนเหมือนเดินเข้าร้านเสื้อชั้นในราคาเหยียบแสน
“เชิญครับ”
คิมหันต์เปิดประตูบานสุดท้าย แล้วผายมือให้เธอก้าวเข้าไป และสิ่งแรกที่เธอเห็นคือ...
โต๊ะไม้โอ๊คสีเข้ม ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างเด่นชัด เก้าอี้หนังแท้ตัวเดียวด้านหลังโต๊ะ…
และ…
ไม่มีเก้าอี้ฝั่งเธอ ไม่มีแม้แต่สตูลตัวเล็ก มีเพียง ‘พรมขนนุ่ม’ ที่ดูแพงจนเธอไม่กล้าเหยียบแรง
อลิสแตร์ นั่งอยู่หลังโต๊ะนั้นในชุดเชิ้ตสีดำติดกระดุมถึงลำคอ ดวงตาสีเทาคมกริบเหลือบมองเธอขึ้นมาชั่วขณะ ขณะปลายนิ้วยังคงขีดเซ็นชื่อในเอกสารอย่างต่อเนื่อง
แรงกดดันในห้องนั้นหนาแน่นระดับ “กดลิฟต์ผิดชั้นแล้วไปโผล่ในดงเสือ”
ลลิลยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าเสียงจะดังไปถึงหูเขา
“นั่งสิ” เสียงของเขาดังขึ้น ทุ้ม ต่ำ ช้า
ลลิลกวาดสายตาไปรอบห้องช้า ๆ เหมือนกำลังมองหาสิ่งที่จะทำให้เธอนั่งหน้าเขาได้
“…แต่มันไม่มีเก้าอี้ค่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้น สบตาเธอตรง ๆ แล้วเอียงคอเล็กน้อย
“ผมรู้”
ลมหายใจเธอติดขัด ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้มเบา ๆ เหมือนพึงพอใจกับความกระอักกระอ่วนของเธอเต็มที่
“คุณลลิล คหบดีวัฒน์ ทายาทตระกูลอสังหาฯ ชั้นนำของไทย ปีสี่ บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย RCU ผลการเรียนดี...แต่ไม่มีใครรู้ว่าโกงนิด ๆ เวลาทำโปรเจกต์กลุ่ม”
เขายักคิ้ว
“ขี้โวยวายในไลน์กลุ่ม แต่เวลาพูดกับอาจารย์คือเสียงอ่อนหวานเป็นลูกแมว”
“…คุณ…” ลลิลแทบสำลัก
“…ไปสืบมาจากไหนเนี่ย!?”
“มีคนรู้จักอยู่ RCU เยอะน่ะ” เขาตอบหน้าตาย ก่อนวางปากกาในมือลง
“และคุณก็เพิ่งทำไวน์หกใส่สูททอมฟอร์ดที่ผมรักที่สุด…ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสัมภาษณ์งานนี้”
“…สัมภาษณ์?” ลลิลถามเสียงสูง
“ใช่”
เขาพยักหน้า
“ผมจะให้คุณฝึกงานกับผม โดยตรง ในตำแหน่ง ‘เลขานุการส่วนตัว’ ”
เขาเน้นคำว่า ส่วนตัว ด้วยโทนเสียงที่ชัดกว่าคำอื่น ๆ ทั้งหมด
“คุณจะมีหน้าที่แค่...ฟังคำสั่ง และทำตาม โดยเฉพาะตอนที่ผมเรียกหา แม้จะเป็นกลางดึก หรือในห้องลับที่ไม่ได้มีใครเข้าได้ง่าย ๆ”
ลลิลเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
นี่มันฝึกงาน หรือคัดตัวเข้าฮาเร็มกันแน่!?
“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะคะ” เธอถาม เสียงสั่นน้อย ๆ
อลิสเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พลิกแฟ้มบางอย่างขึ้นมา แล้ววางกระแทกโต๊ะเบา ๆ
ด้านบนคือ…
เอกสารหนี้สินของ KHB Property และชื่อพ่อของเธอในบรรทัดล่างสุด
“งั้นผมคงต้องติดต่อคุณพ่อคุณ...ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนใหม่ของตระกูลคหบดี”
ลลิลตัวชา เธอเม้มปากแน่น
อลิสลุกขึ้นช้า ๆ เดินอ้อมโต๊ะอย่างไร้เสียง ก่อนจะมายืนตรงหน้าเธอ สูงกว่า นิ่งกว่า และมีแรงดึงดูดระดับกลืนใจ
“หรือจะชดใช้ด้วยวิธีที่...น่าสนใจกว่านี้หน่อย?”
เขากระซิบข้างหูเธอเบา ๆ เสียงนั้นราวกับราดไฟใส่น้ำแข็ง—เย็นแต่แสบวาบจนขนอ่อนลุกชัน
ลลิลมองชายตรงหน้าที่กำลังยืนใกล้เธอจนกลิ่นหอมจากตัวเขาลอยแตะปลายจมูก
ดวงตาสีเทานั้นจับจ้องใบหน้าเธออย่างเย็นชาแต่…มีแรงกดดันแบบ “ถ้าหนีไปตอนนี้ จะมีคนลากกลับมาแน่”
เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กำหมัดแน่น แล้วกัดฟันตอบเสียงสั่นนิด ๆ
“…ก็ได้ ฉันจะรับตำแหน่งนั่นก็ได้”
เขายกคิ้วน้อย ๆ แต่ยังไม่พูดอะไร
เธอจึงรีบพ่นต่อ “แต่…ฉันขอถามก่อนนะคะ ว่าฉันจะได้อะไรตอบแทน?”
อลิสยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือไขว้หลัง เสียงของเขาราบเรียบ แต่เจือด้วยน้ำเสียงของนักล่า
“เงินเดือนห้าหมื่นบาท”
ลลิลเบิกตากว้าง “ห้าหมื่น!?”
“ยังไม่จบ” เขาเอ่ยต่อ ดวงตาเรียบนิ่งเหมือนกำลังอ่านรายชื่อของเล่นที่เพิ่งซื้อมาใหม่
“คุณจะมีรถประจำตำแหน่ง พร้อมคนขับ 24 ชั่วโมง จะมีคอนโดในชื่อคุณเอง—อยู่ชั้นบนสุดของอาคารติดตึกสำนักงาน คุณจะได้อาหารดี ๆ ทุกมื้อ ได้บัตร VIP เข้างานระดับสูง และได้สิทธิ์เดินเข้าห้องผม…เมื่อไหร่ก็ได้”
ลลิลฟังจนตาโต โอ้โห นี่มันเลขาหรือสนมประจำวัง!?
“แต่…” เสียงของเขาหนักแน่นขึ้น ดวงตาเฉียบคมเจาะลึกตรงมา
“มีเงื่อนไขเดียวที่คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเด็ดขาด”
ลลิลเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้ง หัวใจเต้นระส่ำ ทั้งจากความหวั่น…และความอยากรู้อย่างห้ามไม่อยู่
อลิสแตร์โน้มตัวเข้าใกล้เพียงเล็กน้อย ริมฝีปากหยักลมหายใจเบา ๆ ใกล้ใบหูเธอ น้ำเสียงเรียบนิ่ง…แต่ร้อนจนเธอขนลุกทั้งตัว
“คุณ…ต้องเชื่อฟังคำสั่งของผมทุกอย่าง”
เขาหยุดนิดเดียว ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้ กระซิบชิดข้างใบหูเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“แม้มันจะไม่ใช่งานของเลขาก็ตาม”
ลมหายใจของลลิลสะดุดทันที เธอหันขวับไปสบตาเขาด้วยความตกใจ แต่อลิสกลับผละออก…แค่ครึ่งก้าวเท่านั้น มากพอให้เธอเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
รอยยิ้มที่ไม่ควรจะทำให้คนหัวใจเต้นแรงได้—แต่มันทำ
“เอาล่ะ ถ้าคุณไม่มีคำถามเพิ่มเติม…”
อลิสเอื้อมมือหยิบเอกสารขึ้นมาจากแฟ้มด้านข้าง เสียงนิ้วเคาะบนกระดาษเบา ๆ อย่างเป็นจังหวะ
“...เซ็นตรงนี้”
ลลิลก้มมองแผ่นกระดาษ หัวกระดาษระบุชัดเจนด้วยฟอนต์เรียบหรูว่า ‘สัญญาฝึกงานพิเศษ – ตำแหน่งเลขานุการส่วนตัว’
เธอกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ ดวงตาไหววูบขณะจ้องเอกสารตรงหน้า คำว่า ‘เลขานุการส่วนตัว’ เหมือนมันจะเรียบง่าย แต่ในหัวเธอตอนนี้—มันดังเป็นเสียงกระซิบว่า “ทาสประธาน...แบบ Full Option”
เธอไม่รู้ว่าไอ้เอกสารนี่มันสัญญาฝึกงาน หรือ ‘ใบยินยอมให้โดนควบคุมทุกอย่าง—ตั้งแต่สมอง จนถึงเตียง’ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะเซ็นสัญญากับซาตานที่ใส่เชิ้ตหรูและมีกลิ่นน้ำหอมแพง…ที่ทำให้ต้นขาเธอร้อน ๆ หนาว ๆ ไปหมด
“…แล้วถ้าฉันไม่เซ็นล่ะคะ?”
เสียงเธอสั่นนิด ๆ แต่กัดฟันถามออกไปจนได้
แวบหนึ่ง เธอเห็นรอยยิ้มซาตานปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อคมของเขา ก่อนที่มันจะจางหายไป…ราวกับไม่เคยอยู่ตรงนั้น
“คุณก็แค่...” เขาพูดเสียงเรียบ
“…ต้องแต่งงานกับคนที่ตระกูลคุณเลือกไว้ให้ก็เท่านั้นเอง”
เสียงเขาไม่แม้แต่จะเปลี่ยนโทน — เย็น เยียบ และโคตรเฉยเมยในชะตากรรมที่เธอกำลังหนีสุดชีวิต เหมือนเขากำลังยื่นทางเลือกที่เรียกว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ ให้เธอ
ลลิลกัดฟันแน่น ภายในใจวุ่นวายไปหมด ทางหนึ่งคือ ‘งานเลขา’ ที่ฟังดูไม่น่าจะใช่แค่เลขา อีกทาง…คือ “งานแต่ง” ที่เจ้าบ่าวยังไม่รู้หน้าค่าตา
สุดท้าย เธอก็คว้าปากกาขึ้น มือสั่นนิดหน่อย แต่แรงกดในหัวใจคือเต็มร้อย ปลายปากกาขยับเป็นชื่อ ‘ลลิล คหบดีวัฒน์’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เพราะเธอรู้…นี่คือ ‘ทางรอด’ แม้มันจะเต็มไปด้วยป้ายคำเตือนสีแดงตัวโตว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่เขตอันตราย”