ซานลู่เจี๋ยโงนเงนเพราะฤทธิ์สุรา กล่าวด้วยเสียงอันดังลั่น “หากเจ้าได้เป็นหนึ่งในขุนนาง เจ้าจะทำอย่างไรกับเย่วซิน”
เสิ่นซัวหยางใบหน้าแดงก่ำเพราะน้ำเมาเช่นกัน ยิ้มน้อยๆ “ข้าคงจะเข้าไปทูลขอสมรสกับเย่วซินของข้าก่อน” เรื่องนี้ตัวเขาควรบอกกล่าวกับบิดาเอาไว้ล่วงหน้า แต่คงต้องเป็นหลังจากที่การประกาศผลออกมาแล้ว มิใช่ทูลขอในขณะที่ยามนี้ตัวเขายังไม่เคยแม้แต่เคยพบพระพักตร์ของพระองค์ ซ้ำการสอบในครั้งนี้มีตำแหน่งให้เลือกมากมายตามความถนัดของผู้สอบ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน่วยช่างหลวง ทหารรักษาพระองค์ กรมวัง กรมบรรณารักษ์ มีแม้กระทั่งผู้ว่าตามหัวเมืองรอบนอกรวมไปถึงนายอำเภอทั้งในและนอกเมืองหลวง ซึ่งตัวเขาคงไม่พ้นต้องเจริญรอยตามบิดาคือเลือกสอบในตำแหน่งนายอำเภอ สถานที่ทำงานจะเป็นพื้นที่ห่างไกลหรือไม่ห่างไกลล้วนมิใช่เรื่องใหญ่เพราะตัวเขานั้นพร้อมอยู่แล้วเมื่อเลือกที่จะสมัครในตำแหน่งนี้ จำได้ว่าในอดีตเมื่อหลายปีก่อนยามที่ท่านพ่อของเขาประจำอยู่นอกเมืองหลวง ท่านพ่อกับท่านแม่ยังอยู่ด้วยกันมาได้จนเขาเติบใหญ่และเขาจะกระทำเช่นนั้นบ้าง
“หากทำได้ง่ายก็คงดี อย่าลืมว่าเวลานี้ การจะทูลขอหรือถวายฎีกา ผู้ตรวจสอบเป็นคนสุดท้ายมิใช่ฝ่าบาทแต่จะเป็นท่านอ๋องผู้รักษาการแทนฝ่าบาทผู้ทรงประชวรหนัก ข้าว่าการที่ท่านอ๋องทรงตรวจทานทุกสิ่งอย่างก่อนจะทูลถวายแก่ฝ่าบาทก็นับว่าเป็นเรื่องดี ถือเป็นการช่วยกันอีกแรง” เต๋อซัน หนึ่งในสหายร่ำสุราร่วมออกความเห็นและสหายทุกคนล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
ยามนี้มีข่าวแว่วมาว่าฝ่าบาททรงพระประชวรอีกแล้ว รัชทายาทของพระองค์รึ (รัชทายาทหลงเหว่ยอี้ อายุสิบหก) ยังทรงเยาว์วัยเกินกว่าจะรับมือกับเหล่าขุนนางอาวุโสได้ หากไม่มีชินอ๋องผู้เป็นท่านอาคอยช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าทุกวันนี้ในวังหลวงคงมิมีผู้ใดอยู่เป็นสุข จำได้ว่าชินอ๋องผู้นี้เป็นพระอนุชาเพียงหนึ่งเดียวที่ฮ่องเต้ทรงรักและไว้ใจมาก การปกป้องดูแลแคว้นโจวเหิง หากไม่มีชินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาอยู่ร่วมด้วย ย่อมย่ำแย่ จะสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ถัดไป ซ้ำชินอ๋องกลับไม่ยอมรับตำแหน่งนั้น ท้ายที่สุดจึงต้องรอเพียงรัชทายาท ให้ทรงร่ำเรียนและฝึกฝนทุกอย่างจนเก่งกาจโดยเร็วที่สุด
เรือนเล็ก:อนุตู้ฟางลี่
“ข้าได้ยินนะเจ้าคะว่าพี่ใหญ่ซัวหยางตั้งใจจะไปขอสมรสกับเย่วซิน สตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นจริงๆ” ฮุ่ยเหมยบอกกับมารดาของตนเอง พร้อมกับทำสีหน้าไม่ชอบใจออกมา
อนุตู้ฟางลี่ลูบผมบุตรสาววัยสิบสามหนาวของตนพลางเหม่อมองออกไปนอกเรือน สิบห้าปีมาแล้วที่นางได้เข้ามาอาศัยอยู่ในจวนสกุลเสิ่น สิบห้าปีที่จงฮูหยินใช้เวลาไปกับการเลี้ยงดูบุตรบุญธรรมอย่างเย่วซิน จนนางที่เป็นเพียงสาวใช้คนใหม่ในจวนของท่านนายอำเภอถูกเรียกตัวอยู่บ่อยครั้ง จากสาวใช้อุ่นเตียงกลายเป็นอนุเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มีโอกาสอยู่อย่างสุขสบายจวบจนทุกวันนี้ “เรื่องนี้เจ้าได้บอกกับท่านพ่อหรือไม่”
“ยังเจ้าค่ะ วันนี้ท่านพ่อเข้าวังหลวงไปเมื่อยามซื่อ (08.00) รอท่านพ่อกลับมา ข้าจะไปบอก”
ตู้ฟางลี่ส่ายหน้า ‘และหากเย่วซินจะมีวาสนาได้เป็นฮูหยิน นางก็ไม่ได้อยากให้บุตรสาวเข้าไปขัดขวาง’ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องบอก อย่ายุ่งเรื่องของพี่ใหญ่ สิ่งใดเหมาะสิ่งใดควร พี่ใหญ่ของเจ้าเท่านั้นคือผู้เลือก ในทางกลับกันเจ้าลองคิดดูสิว่าหากเจ้าเป็นเย่วซินแล้วถูกกระทำเช่นนี้ เจ้าชอบหรือไม่” ใจหวังว่าบุตรสาวคงจะฟังคำของนางผู้เป็นมารดาบ้าง มิใช่ว่าจะเอาแต่ใจ นิสัยแย่จนดูไม่งามเช่นนี้ “อย่าเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ชอบ”
เสิ่นฮุ่ยเหมยเงียบไป ‘แล้วคิดตามที่มารดาว่า นางก็ไม่ชอบจริงๆ’
&&&&
วันต่อมา
ในยามเหม่า (06.20) เย่วซินและเสี่ยวเม่าผู้เป็นสาวใช้ กำลังเดินออกไปจากเรือนนอน เพื่อเข้าไปทำอาหารในโรงครัวเหมือนเช่นทุกวัน การถูกสั่งสอนมาให้เป็นสตรีในห้องหอเช่นนางต้องสำรวมกิริยา ต้องทำงานทุกอย่างภายในเรือนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สำคัญคือต้องทำอาหารเก่งเพื่อมัดใจสามี ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้มีมารดาเลี้ยงอย่างจงฮูหยินเป็นผู้สอน ภายในจวนหลังใหญ่ของสกุลเสิ่น สิ่งที่แตกต่างไปจากจวนอื่นนั่นก็คือท่านพ่อเสิ่นซูฉีผู้เป็นนายอำเภอ นอกจากจะมีฮูหยินเอกแล้วยังมีอนุเพียงแค่คนเดียวในขณะที่บุตรที่แท้จริงก็มีเพียงสองคน ถามว่าบุตรชายคนโตอย่างเสิ่นซัวหยางสนิทสนมกับน้องสาวต่างมารดาอย่างเสิ่นฮุ่ยเหมยหรือไม่ ‘มิใช่เลย เพราะคำตอบที่แท้จริงก็คือเสิ่นซัวหยางสนิทสนมกับเย่วซินมากกว่า’ ในความสนิทสนมมากกว่านั้นหมายถึงเมื่อก่อน ก่อนที่พี่ซัวหยางจะเข้าสู่วัยฉกรรจ์และต้องไปศึกษาที่อื่น ความสนิทนั้นจึงห่างออกไปตามช่วงวัย เวลาร่วมห้าปี ‘เย่วซินไม่รู้ว่า ยามที่ห่างกันนั้น พี่ซัวหยางจะคิดถึงนางเหมือนที่นางคิดถึงเขาไหม หรือจะตื่นเต้นบ้างรึเปล่าในยามที่ได้พบหน้ากัน เหมือนเช่นวันนี้ ที่หัวใจของนางเต้นแรงเหลือเกินเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยืนรออยู่’ “พี่ซัวหยาง”
^^ “วันนี้วันดี พี่ออกมาด้านนอกแล้วพบเจ้า ไม่หยุดสนทนาย่อมไม่ได้แล้ว” เสิ่นซัวหยางยิ้มสมใจ แต่เขาแสร้งกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าตนนั้นโชคดี เพราะเรือนของเย่วซินและเรือนของเขาอยู่คนละฝั่งของจวนเลยก็ว่าได้ จะบอกว่าตั้งใจเดินมาดักรอนางก็คงไม่ผิดนัก
^^ เย่วซินยังคงยิ้มหวานเหมือนเช่นทุกครั้งที่พบหน้าพี่ซัวหยาง ก่อนนั้นที่ห่างกัน ยามอีกฝ่ายกลับมาพำนักที่จวน มีน้อยครั้งที่จะได้สนทนา แต่หลังจากวันนี้ไป แม้อีกฝ่ายจะกลับมาอยู่ในจวนแล้วแต่นางก็มิอาจใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินงามได้นั่นเพราะนางผ่านพ้นวันปักปิ่นแล้ว ย่อมเป็นสตรีเต็มตัวที่พร้อมจะออกเรือน ควรจะต้องถอยห่างไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อความเหมาะสม “พี่ซัวหยางสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมสบายดี จะไม่สบายหนักก็ในยามที่คิดถึงเจ้า ไปสนทนากันสักครู่ดีหรือไม่” มือที่กุมเอาไว้ด้านหลังบีบกันแน่นราวกับเสิ่นซัวหยางกำลังห้ามใจตนเองไม่ให้ไขว่คว้าร่างบางหอมกรุ่นเข้ามากกกอด ดวงตาคมกริบไม่ละจากดวงหน้าหวานใสตราตรึงใจ ‘คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะสารภาพความในใจที่กักเก็บมานาน’
ผู้ถูกเกี้ยวซึ่งๆ หน้าถึงกับพวงแก้มขึ้นสีระเรื่อจนกลายเป็นสีแดงจัด หัวใจที่ว่าเต้นแรงนั้นในยามนี้มันคงเกือบจะกระโดดออกมาอยู่นอกอกแล้วกระมัง ‘พี่ซัวหยางไปศึกษาวิธีเกี้ยวสาวกลับมาด้วยใช่หรือไม่นะ’ “แต่ยามนี้เย่วซินต้องไปจัดสำรับ หากมิใช่เรื่องเร่งด่วนขอเป็นหลังจากทานสำรับเช้าให้เสร็จ ก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” ก้มหน้าหลบสายตาคมนั้นเพราะเขินอาย
เสิ่นซัวหยางส่ายหน้า “ย่อมมิได้ เพราะมันเป็นเรื่องด่วนมาก” ขยับร่างใกล้ชิดสตรีและโบกมือไล่สาวใช้เสี่ยวเม่า “ก่อนนั้นที่พี่มิได้กลับจวนบ่อยๆ เพราะต้องร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบขุนนาง ในวันปักปิ่นของเจ้า พี่ก็มาไม่ทัน ยกโทษให้พี่ด้วยเล่า” ก้มหน้าลงต่ำ ลอบสูดดมผมหอม “ดูสิ ยามนี้เจ้างดงามและเติบโตเป็นสตรีที่พร้อมจะออกเรือนแล้ว พี่ไม่ยอมให้แม่สื่อเข้ามาทาบทามเจ้าแน่” เชยคางมนขึ้นสบตา “เพราะเหตุใด เจ้ารู้หรือไม่ หืมม”