“ดูสิ ยามนี้เจ้างดงามและเติบโตเป็นสตรีที่พร้อมจะออกเรือนแล้ว พี่ไม่ยอมให้แม่สื่อเข้ามาทาบทามเจ้าแน่” เชยคางมนขึ้นสบตา “เพราะเหตุใด เจ้ารู้หรือไม่ หืมม”
เย่วซินเม้มปากไม่ยอมตอบคำถาม จะตอบว่าไม่รู้ก็ดูคล้ายจะไม่ใช่ ในเมื่อตัวนางเองก็หาได้อยากให้แม่สื่อมาทาบทาม หรือถ้ามาจริงๆ ก็คงต้องปฏิเสธไป เพราะบุรุษที่นางพึงใจรัก มีเพียงบุรุษตรงหน้า ความผูกพันของนางและอีกฝ่ายมีมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งช่วยมารดาเลี้ยงดูนาง สอนนาง เช่นนี้แล้วจะให้นางไปมองบุรุษอื่นใดได้อีก “พี่ซัวหยาง” อีกแค่หนึ่งช่วงแขนที่ร่างแกร่งนั้นจะถึงตัว เย่วซินเผลอก้าวถอยหลัง ‘ไม่ว่าอย่างไร ที่ตรงนี้คือทางเดินภายในจวน สายตาของบ่าวคือเรื่องที่น่ากังวลที่สุด ดังนั้น หากพี่ซัวหยางอยากจะพูดหรือคาดคั้นเอาสิ่งใด ก็ขอให้เป็นหลังจากนี้เถิด’ “อย่าแกล้งน้องเลยเจ้าค่ะพี่ซัวหยาง” เบี่ยงหลบบุรุษที่เดินดักทางนาง แต่ไม่ว่าจะก้าวไปทางซ้าย อีกฝ่ายก็ขยับไปขวา เมื่อนางจะก้าวไปทางขวา ร่างแกร่งก็ขยับซ้าย หนำซ้ำยังมองนางราวกับหลงใหลและต้องการ มิใช่มองนางอย่างนึกเอ็นดูอย่างเก่าก่อน คงไม่ต่างกับนางที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมิใช่พี่ชาย “อุ๊ย!” มือบางถูกคว้าเอาไว้ได้ แล้วร่างแกร่งนั้นก็ดึงรั้งร่างของนางหายไปยังสวนด้านหลังของเรือนเล็ก
เสี่ยวเม่ามองสลับทิศทางนั้นกับโรงครัวอย่างชั่งใจ ก่อนสองขาจะก้าวไปยังโรงครัวผ่านหน้า อาไฉ่ บ่าวชายคนสนิทของคุณชายเสิ่นซัวหยางไปทั้งอย่างนั้น ‘หวังว่าเรื่องของคุณชายและน้องสาวบุญธรรมจะผ่านพ้นไปด้วยดี’
ด้านหลังของเรือนเล็ก
“พี่ซัวหยางอย่าทำเช่นนี้สิเจ้าคะ”
ร่างน้อยหอมกรุ่นดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดแกร่ง เสิ่นซัวหยางก้มลงหอมแก้มเนียนอย่างอดใจไม่ไหว ฟอด!! “แต่ก่อนหอมเจ้าเพราะเจ้าเป็นน้องสาวที่น่ารัก ยามนี้หอมเจ้าเพราะเจ้าเป็นสตรีแสนงามของพี่ หรือเจ้าจะเถียง”
ใบหน้านวลกลายเป็นสีแดงจัดจนเต็มแก้มอีกครั้ง นางยกมือขึ้นกั้นตรงช่วงอกและทำใบหน้างอง้ำ “แต่มันมิถูกต้องเพราะเราเติบใหญ่กันแล้ว พี่จะมากอดรัดข้าเช่นนี้เหมือนยามเยาว์มิได้นะเจ้าคะ แม้ว่าเราจะคล้ายกับเป็นพี่น้องกันก็ตาม”
ผู้ถูกต่อว่าก้มหน้ายิ้มใส่ตาของอีกฝ่าย ^^ “คล้ายพี่น้องงั้นรึ ไม่เห็นว่าใบหน้าเจ้าจะเหมือนพี่ เอาเถอะ พี่จะยอมปล่อยเจ้าไปก่อนเพราะเรื่องเช่นนี้มันไม่ถูกต้องจริงๆ” เสิ่นซัวหยางละจากอ้อมกอดนั้นแล้วถอยออกไปยืนประจันหน้า ตาคมมองทั่วร่างงามอย่างพึงพอใจ เย่วซินงามพร้อมสำหรับเขาแล้วจริงๆ แต่ความสำเร็จของเขายังเหลือเพียงรอฟังผลสอบเสียก่อน ซึ่งเขามั่นใจว่าเขาต้องได้ตำแหน่งที่หวังเอาไว้ ไม่ต่างจากสตรีตรงหน้าที่เขาต้องรีบบอกแก่บิดา ว่าอย่ายกนางให้ผู้ใดเป็นอันขาด!! “รออีกไม่นาน พี่จะทำให้เจ้ากลายมาเป็นฮูหยินของพี่ให้ได้เย่วซิน” แววตาสื่อความหมายลึกล้ำถูกส่งไปให้สตรีตรงหน้าและเขาเชื่อว่าเย่วซินนั้นรู้อยู่แล้วว่าเขารักนางมาก
เจ้าของนามแสร้งหันหน้าหนีทั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำ คำพูดคล้ายสารภาพคำรักจากพี่ซัวหยาง เป็นคำที่นางก็อยากจะตอบเขาว่า ‘นางก็พร้อมสำหรับเขา’ แต่นางก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะทุกสิ่งอย่างล้วนต้องให้ฝ่ายบุรุษเป็นผู้จัดการเท่านั้น “...”
“อีกเรื่องคือ พี่อยากอวยพรเจ้า” เขาหมายถึงการอวยพรเกี่ยวกับวันปักปิ่นของนางที่เขาไม่ได้อยู่ร่วม “ขอให้เจ้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีพี่ที่รักเจ้าเพียงผู้เดียว” จับมือบอบบางขึ้นจรดจมูก “รักเจ้ามาก แล้วเจ้าเล่า”
ฟึ่บ!! นางเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้ยิ้มหวานให้ ใบหน้าอิ่มซับสีเลือดจนแดงจัดอีกครั้งกับคำรักที่ออกจากปากบุรุษรูปงามตรงๆ สิ่งที่ทำได้คือเม้มปากจนแน่นและกักเก็บคำรักเอาไว้ในใจ ‘นางไม่พูด แต่พยักหน้า’ “เจ้าค่ะ”
“หึ เจ้าค่ะ คือรักพี่ใช่หรือไม่ เช่นนั้นพี่อยากให้เจ้ารอพี่ ไม่นาน” มือแกร่งยกขึ้นสัมผัสแก้มเนียนนุ่มแผ่วเบา ‘รักนางและรักมานาน คำนี้ถูกสลักลึกในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พบนางอยู่ในห่อผ้าสีขาว’ เขาเชื่อว่าความรักของเขาจะต้องราบรื่นและผ่านพ้นไปด้วยดี ดังเช่นที่มารดาของเขามิยอมให้นางใช้สกุลเสิ่นร่วมกัน…คงเพราะมารดารู้ ‘ว่าเขาต้องการให้นางมาเป็นฮูหยิน’
“เจ้าค่ะ”
หนึ่งบุรุษวัยฉกรรจ์และสาวน้อยที่เพิ่งผ่านพ้นวันปักปิ่นเดินออกไปจากสวนสวยด้านหลังของเรือนเล็ก ด้วยใบหน้ามีความสุข เสียงหัวเราะพูดคุยกันดังไปตามเส้นทางเดินภายในจวนสกุลเสิ่น บทสรุปในเช้าของวันนั้น เย่วซินมิได้เข้าโรงครัวไปทำสำรับ ในขณะที่นายอำเภอเสิ่นซูฉีนั่งฟังคำรายงานจากพ่อบ้านถังคนสนิทด้วยใบหน้าเคร่งเครียด นานมาแล้วนับตั้งแต่จงกวานฮวาผู้เป็นฮูหยินรัก ตัดสินใจรับเด็กทารกผู้นั้นมาเป็นบุตรบุญธรรม ตัวเขามิได้คัดค้านหรือต่อว่าอันใดเนื่องจากคิดว่ามันคือสิ่งที่ควรทำแล้ว ซ้ำฮูหยินรักยังเป็นผู้ขอด้วยตนเองเขาจึงต้องยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากถามว่าเขาต้องรับนางมาเป็นลูกสะใภ้ด้วยหรือไม่ คงต้องตอบว่าไม่ เนื่องจากตัวเขามิได้รู้ถึงชาติกำเนิดของนาง ‘หากในภายภาคหน้าสืบรู้ว่านางคือบุตรสาวของโจรร้ายเล่าจะไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอกรึ’ ขนาดเหล่าแม่สื่อยังมิกล้าจะเข้ามาทาบทามสู่ขอ ตัวเขาก็ยิ่งมิกล้ารับนางและให้ใช้แซ่เดียวกันด้วยซ้ำ
“เจ้าคิดเห็นอย่างไรถังเสี่ยว” เสิ่นซูฉีถามพ่อบ้าน
พ่อบ้านชราส่ายหน้าและไม่อยากออกความเห็น ตัวเขาทำได้แค่เฝ้ามองเย่วซินกับคุณชายซัวหยางมาตั้งแต่ยามที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็กน้อย ความรักที่มีล้วนมองเห็นได้ชัดเจน แต่ข้อจำกัดและข้ออ้างในเรื่องชาติกำเนิดเช่นนี้ หากนายท่านของเขาไม่ถือสาหาความหรือคิดเล็กคิดน้อย จะจัดงานสมรสให้บุตรชายก็ยังได้ ติดก็แค่เพียงถ้อยคำนินทาว่าร้ายจะตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ชุบเลี้ยงเย่วซินจนนางเติบใหญ่แล้วรับนางมาเป็นสะใภ้ หรือแม้แต่เรื่องที่นางมิได้ใช้สกุลเสิ่นอย่างที่ควรจะเป็นอีก ‘พ่อบ้านเช่นตนจะตอบอย่างไรก็คงไม่ดี’
เสิ่นซูฉีได้แต่ลอบถอนใจในความเงียบ ‘เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว’
ยามซื่อ (10.20)
เย่วซินนั่งปักผ้าเช็ดหน้าสีขาวเป็นรูปกระต่ายตัวน้อย ใจหมายมาดให้พี่ซือหยางรับของชิ้นนี้เอาไว้แทนใจ ก่อนที่เรื่องของนางกับเขาจะถึงวันที่ต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอ ใจของสตรีไร้ญาติแอบหวังว่าเรื่องของนางกับพี่ซัวหยางจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ‘แม้เรื่องของท่านพ่อบุญธรรมเสิ่นซูฉีจะเป็นเรื่องที่นางแอบกังวลอยู่ก่อนแล้ว’ ท่านพ่อผู้สนทนากับนางจนแทบจะนับคำได้ผู้นั้น
“เย่วซิน”
เจ้าของนามละสายตาจากผืนผ้าเช็ดหน้าปักลวดลาย มองไปยังจงฮูหยิน มารดาบุญธรรมผู้แสนดีที่สุดของนาง “ท่านแม่” สตรีมากวัยที่สอนนางทุกอย่างจนเพียบพร้อมได้ในวันนี้ พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่ทั้งหมดของสกุลเสิ่นคือสิ่งที่นางควรตอบแทนจนกว่าตัวนางจะสิ้นชีพ แม้ว่ายามนี้ตัวนางจะพึงใจกับบุตรชายของพวกท่านไปแล้ว หากวันหน้ามีโอกาสได้แต่งเข้า นางจะดูแลท่านแม่ผู้นี้ให้ดีที่สุด
จงกวานฮวามองสตรีงดงามและเพียบพร้อมด้วยแววตารักใคร่ ตลอดระยะเวลาที่นางชุบเลี้ยงเย่วซินมา ทำให้นางผูกพันกับบุตรบุญธรรมผู้นี้จริงๆ นางดูแลอีกฝ่ายราวกับเป็นบุตรสาวในไส้ อันตรายใดๆ มิเคยให้เข้าใกล้จับต้อง การบ้านการเรือนและการศึกษาสมบูรณ์แบบเพื่อที่วันข้างหน้า เย่วซินจะได้มีชีวิตที่ดี มิต้องอายผู้ใดแม้จะเป็นเพียงเด็กกำพร้า ‘ซึ่งมันคือสิ่งที่นางต้องทำ นางรู้ดี’ “ปักผ้าอยู่รึ” เดินเข้าไปนั่งเคียงข้างบุตรบุญธรรม ที่นับวันก็ยิ่งงดงามผุดผาด ไม่แปลกเลยที่บุตรชายของนางจะเฝ้าพร่ำรำพันจับจองน้องน้อยผู้นี้เป็นฮูหยินตั้งแต่เย่วซินกำลังหัดเดิน ‘แม้จะรู้ว่าทั้งสองคนชมชอบกัน แต่ครึ่งหนึ่งใจนางผู้เป็นมารดากลับมิได้อยากให้เป็นเช่นนั้น!!’
“เจ้าค่ะ ข้าจะมอบมันให้กับพี่ซัวหยาง” นางยิ้มละมุน พร้อมกับลูบผ้าสีขาวสะอาดและมีร่างของกระต่ายนั่งอยู่ตรงมุมด้านซ้ายของผืนผ้า “ท่านแม่มีเรื่องใดจะใช้ข้ารึเจ้าคะ บอกมาได้เลยข้าพร้อมจะทำให้เจ้าค่ะ”
“ไม่มีหรอก แม่แค่อยากนั่งสนทนากับเจ้าในศาลานี้เท่านั้น เจ้าปักผ้าของเจ้าไปเถอะเย่วซิน”
“ท่านแม่” มือบางวางผืนผ้าในมือลง ก่อนจะตรงเข้าไปโอบกอดสตรีสูงวัยผู้แสนดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ ปากบางยิ้มน้อยๆ “เย่วซินขอบคุณท่านแม่ที่เลี้ยงดูเย่วซินมาอย่างดี นึกย้อนกลับไปในวันนั้น หากท่านแม่ไม่เก็บข้ามาเลี้ยงดู ข้าอาจจะไม่มีชีวิตรอดแล้วก็เป็นได้ ข้ารักท่านแม่และครอบครัวสกุลเสิ่นมากเจ้าค่ะ ชั่วชีวิตนี้หากมีสิ่งใดที่เย่วซินตอบแทนได้ ท่านแม่บอกมาเลยนะเจ้าคะ ข้าพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพวกท่าน”