ชินหรือชา?

1407 Words
ยามไฮ่ (22.40) หนึ่งบุรุษชุดดำเดินลัดเลาะไปด้านหลังพุ่มไม้ จากฝั่งซ้ายของจวนสกุลเสิ่นไปยังฝั่งขวา สถานที่ฝั่งนี้มีเรือนเล็กของอนุตู้ฟางลี่กับเสิ่นฮุ่ยเหมยและถัดไปอีกด้านในสุดติดกับแนวรั้วของจวนคือเรือนเล็กของบุตรบุญธรรมอย่างเย่วซิน สตรีในดวงใจ! ตาคมกริบมองแสงไฟสีส้มยังคงเปิดอยู่ทำให้รู้ว่านางยังไม่หลับ ก่อกๆๆ มือแกร่งอาจหาญเคาะบานหน้าต่างนั้นพร้อมกับสอดส่ายสายตาจนทั่ว ไม่ไกลกันนักเป็นบ่าวชายนามว่าอาไฉ่ ยืนแอบสังเกตการณ์อยู่ในซอกมืด ก่อกๆๆ “เย่วซิน” เจ้าของนามที่ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ ภายในเรือนพักของตน หันมองไปยังบานหน้าต่าง น้ำเสียงนุ่มทุ้มอันคุ้นเคยของบุรุษอันเป็นที่รักกำลังเรียกนางอยู่ด้านนอก หัวใจที่แห้งแล้งมาหลายวันพลันกลับชุ่มชื่นขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อคิดว่า ‘พี่ซัวหยางยังคงคิดถึงนางเหมือนที่นางก็คิดถึงเขา’ ร่างบางลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเดินไปยังหน้าต่างบานนั้น ครึ่งหนึ่งอยากเปิดรับบุรุษให้ก้าวเข้ามา...แต่อีกครึ่งสั่งว่า มันไม่สมควร! “นั่นใครรึเจ้าคะ” นางกระซิบตอบกลับไปแผ่วเบา หัวสมองเฝ้าวนเวียนถึงข้อความในจดหมายที่พี่ซัวหยางมอบให้ ‘เขาจะพานางออกไปจากจวนแห่งนี้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางไปยังต่างอำเภอ’ แต่นางจะไปกับพี่ซัวหยางได้จริงๆ งั้นหรือ ‘หากทำเช่นนั้น นางจะดูเหมือนสตรีใจง่ายที่หนีตามบุรุษใช่หรือไม่’ แต่เดิม จากที่ท่านพ่อเสิ่นซูฉีจะไม่ชอบนางอยู่แล้ว ถ้าหากนางยังตามพี่ซัวหยางไป นอกจากท่านพ่อจะไม่ชอบใจหนักขึ้น ที่แย่กว่าคือคนทั้งสกุลเสิ่นคงเกลียดชังนางจนมิอยากอยู่ร่วมแผ่นดิน “พี่ซัวหยางของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าเปิดหน้าต่างให้พี่ได้หรือไม่” หัวใจบุรุษเต้นแรง รั้งรออีกฝ่ายอย่างมีความหวัง แต่ถึงอย่างนั้นความเงียบกลับเข้าครอบคลุมก่อนที่สองตาคมกริบจะเห็นแสงไฟในห้องของนางดับมืดลง ลมหายใจบุรุษคล้ายขาดห้วง การดับไฟคงหมายถึงนางไม่ต้องการสนทนากับเขาในยามวิกาล? เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น เรื่องมันคงจะไม่ง่ายเพราะนางและเขาแทบจะไม่มีเวลาได้พบปะกันเลยในช่วงเวลาปกติ ตัวนางไปหนึ่งทางคล้ายหลบหน้า ตัวเขาต้องไปอีกหนึ่งทางเพราะกิจธุระ เช่นนั้นเขาควรจะ.... แอ๊ดๆๆ บานหน้าต่างเปิดออกให้ได้พบกับใบหน้ากระจ่างใส ผิวเนียนโดดเด่นท่ามกลางแสงจันทร์ส่องสว่าง รอยยิ้มหวานแต่งแต้มบนใบหน้าบุรุษรูปงามอย่างปิดไม่มิด ‘คิดถึงเหลือเกิน เย่วซิน’ สองมือหยาบยกขึ้นประคองดวงหน้าหวานละไม ดวงตาของนางแววหวานลึกซึ้งจนยากจะสั่งใจให้ลืมนางได้ ‘กี่วันแล้วที่เขามิได้พบนางแบบนี้’ “คิดถึงยิ่งนัก ยอดรักของพี่” ก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับจรดริมฝีปากลงบนจมูกโด่งรั้น ไล่เรื่อยลงไปถึง...ริมฝีปาก ด้วยความคิดถึงสตรีตรงหน้ามากล้น เขามองเห็นความอายในแววตาหวานคู่นั้น แววตาที่คล้ายจะล่อลวงให้เขาหมดความอดทนกับนาง จนเผลอจุมพิตบางเบา เย่วซินตกใจ แต่นางยังคงหลับตาตอบรับความหวานล้ำนั้นเอาไว้เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางและพี่ซัวหยางจะมีโอกาสได้ทำเช่นนี้ หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรียืนจุมพิตกันท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง ภาพนั้นงดงามราวกับภาพวาดจากสรวงสวรรค์ คำรักมิได้ถูกกล่าวขานแต่ทั้งสองคนรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้คำอธิษฐานท่ามกลางแสงจันทร์ เสิ่นซัวหยางสัญญาในใจว่าจะพาเย่วซินติดตามเขาไป แต่เย่วซินกลับคิดในใจเป็นอีกอย่าง? “พี่ซัวหยางพอก่อนเจ้าค่ะ” นางใช้มือดันใบหน้าของบุรุษรูปงามที่เอาแต่หอมแก้มนางไม่หยุด ^^ เจ้าของนามยิ้มใส่สตรีร่างเล็กที่สูงเพียงแค่ปลายคางของเขา แม้จมูกจะหยุดหอมแก้มอิ่มที่แสนคิดถึง แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวเล็กคอดกิ่วนั้น “กับเจ้า พี่มิคิดจะเคยพอ” “หมายถึงหอมแก้มรึเจ้าคะ” นางเอียงคอถามอีกฝ่ายอย่างน่ารัก แม้จะรู้ว่าทุกอย่างที่กำลังกระทำอยู่ตรงนี้มันไม่เหมาะ แต่นางก็เลือกที่จะทำมันอย่างเต็มใจ หวังว่าคืนนี้จะไม่มีผู้ใดมาเห็น ให้พี่ซัวหยางต้องเสียหาย แค่คืนนี้ “หึ อันที่จริงแล้ว” เขาทำสายตาล่อกแล่กและมองไปยังบ่าวชายของตัวเองที่กำลังส่งสัญญาณบางอย่าง นั่นอาจจะหมายความว่ามีบ่าวเฝ้ายามภายในจวนกำลังเดินมาตรวจตราตามปกติ “แม้พี่จะอยากเข้าไปนอนพักในห้องของเจ้าแค่ไหน แต่พี่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้เพราะพี่กลัวว่าจะเผลอกระทำเรื่องดีงามจนเจ้าเสียหาย คืนนี้จำต้องแยกจากและพี่จะย้ำคำเดิมกับเจ้าอีกครั้ง ว่าพี่จะพาเจ้าติดตามไปยังอำเภอที่พี่ต้องไปประจำการด้วย อย่าบอกผู้ใดและจงเตรียมตัวให้พร้อมเล่า” จุ๊บ! เขาจุมพิตบนหน้าผากเย่วซินก่อนจะเดินออกห่างแล้วหายไปในความมืด เย่วซินลูบหน้าผากตนเองคล้ายกับกำลังซึมซับรสสัมผัสหวาน ทุกความรู้สึกของนางที่มีต่อเขามันมากมายจนสั่งให้ลืมไม่ได้แล้ว หากเรื่องราวความรักจะไม่สมหวัง สิ่งใดที่ทำให้นางมีความสุข แม้จะแค่เล็กๆ น้อยๆ นางก็อยากจะตักตวงมันเอาไว้ ใบหน้างามแหงนมองพระจันทร์ดวงใหญ่ ใจอยากจะอธิษฐานเพื่อตัวเอง แต่นางก็ไม่ทำเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางสมหวัง ‘นางควรจะชินกับมันตั้งแต่เกิดมาและรู้ว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง’ นางควรชินได้แล้ว สองวันต่อมา กำหนดการในวันนี้คือ เสิ่นซูฉีต้องพาเสิ่นซัวหยางผู้เป็นบุตรชายเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรับตำแหน่งนายอำเภอ คำแรกที่เขาบอกกับบุตรชายที่ได้ไปประจำการอยู่ในพื้นที่ห่างไกลก็คือ มันเป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่ ไม่แน่ว่าหากตัวของซัวหยางทำผลงานได้ดี ก็ย่อมมีสิทธิ์ขอกลับมาประจำการภายในเมืองหลวงได้ (ในเมืองหลวงมีหลายอำเภอ) ซึ่งบิดาเช่นเขาจะคอยช่วยอีกแรง “ไปเถอะ ขึ้นรถม้า” ดันร่างบุตรชายที่ใส่ชุดสีขาวสะอาดไปทางรถม้า ในขณะที่ตนเองใส่ชุดประจำตำแหน่งเดินขึ้นรถตามหลังบุตรชายไปโดยไม่หันกลับ ท้องพระโรง เสียงถวายพระพรดังแซ่ซ้องกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง เมื่อฮ่องเต้หลงจื้อโจวเดินเข้าไปถึง ด้านหลังของพระองค์คือพระอนุชารูปงาม หรือจะกล่าวให้ถูกตามยศศักดิ์ก็คือ ชินอ๋องหลงจางเหว่ยหรือผู้ว่าราชการแทนในปัจจุบัน ข่าวคราวฮ่องเต้ทรงพระประชวรเป็นความจริงที่เหล่าขุนนางต่างมองเห็น ทั้งๆ ที่พระองค์ควรกลับไปนอนพักผ่อนพระวรกาย แต่เพราะสองสามวันมานี้มีการแต่งตั้งขุนนางฝ่ายในและนอกเมืองหลวง แม้จะทรงพระประชวรพระองค์ก็ยังคงฝืนอดทนเดินไปนั่งบนแท่นทองคำเฝ้ามองเหล่าขุนนางมาใหม่เสียอย่างนั้น ส่วนสาเหตุที่พระองค์ทรงอ่อนแอเช่นนี้ เป็นเพราะพระองค์ทรงถูกสนมขั้นเหรินวางยาปลุกกำหนัดชนิดสูดดมยามที่กำลังร่วมรัก ยามนั้นฝ่าบาทถึงกับหมดสติในทันทีเพราะเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงและกระอักพระโลหิตจนเกือบจะสิ้นชีพ เหตุการณ์นั้นทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นโรคแข้งขาอ่อนแรงรักษาไม่หาย ความผิดโทษฐานลอบปลงพระชนม์ทำให้สตรีนางนั้นถึงขั้นต้องโทษอยู่ในตำหนักเย็นตลอดชีวิต ข่าวว่าทุกวันนี้ภายในตำหนักนั้นมีแต่เสียงร่ำไห้ทั้งวันทั้งคืน “ลุกขึ้นได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD