รถม้าสกุลเสิ่น (17.30)
ภายในรถม้า หนึ่งบิดาครุ่นคิดไปถึงคำที่ท่านเลขาซือบอกเอาไว้ ‘การจะเกี่ยวดองกันนั้นมิใช่เรื่องยากเพียงแต่ว่าเสิ่นซัวหยางจะยินยอมพร้อมใจรับซือหลิวเยี่ยนไปเป็นฮูหยินหรือเปล่าเล่า เพราะถ้าหากแต่งเข้าโดยไม่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย นั่นหมายถึงบุตรสาวของเลขาซืออาจจะไม่มีความสุขและตัวผู้เป็นบิดา คงจะมิยอมอยู่เฉย’ เมื่อคิดถึงผลเสียของคำว่าไม่อยู่เฉย มันย่อมไม่เป็นผลดีกับสกุลเสิ่นแน่ หรือการที่มาขอเข้าพบเพียงแค่สกุลเดียวมันอาจจะยังไม่ใช่บทสรุปในเรื่องการตัดเย่วซินออกจากการเป็นสะใภ้ นั่นเพราะซือหลิวเยี่ยนมิได้งดงามบาดใจ จนซัวหยางถึงกับถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ จำได้ว่ายังมีบุตรสาวของขุนนางอีกหลายคนที่งามพร้อมทั้งรูปกายและฐานะอย่างเช่นบุตรสาวขุนนางสกุลหวัง ‘เช่นนั้น วันพรุ่งนี้คงต้องเข้าไปพบท่านอุปราชสกุลหวังแล้วสินะ’
ด้านของเสิ่นซัวหยางยังคงนั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า เขาไม่เข้าใจการกระทำของบิดาในวันนี้เลยแม้เพียงนิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เย่วซินก็เป็นที่รักของท่านแม่ แม้ท่านพ่อจะมิได้สนใจนางเท่าที่ควรเพราะนางเป็นสตรี แต่เหตุใดจึงต้องกล่าวไปถึงเรื่องชาติสกุลของนาง ‘มันสำคัญมากน้อยเพียงใดในเมื่อพวกเขารักกัน’ เขาเชื่อว่าเรื่องนี้มารดาต้องช่วยเขาได้แน่และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาต้องเอาเย่วซินมาเป็นฮูหยินให้ได้!!
หลังจากกลุ่มบุรุษสกุลเสิ่นจากไปไม่นาน ซือหลิวเยี่ยนผู้เอาแต่ใจนั่งโมโหอยู่กับท่านพ่อของนางอย่างไร้กิริยามารยาท ข้าวของใกล้มือถูกปัดตกลงบนพื้น ผุพังเสียหาย เดือดร้อนถึงสาวใช้ข้างกายต้องคอยเช็ดถูอยู่อย่างนั้นร่วมสองเค่อ ‘ทั้งหมดเป็นเพราะเสิ่นซัวหยาง!’ “ท่านพ่อต้องขอสมรสให้ลูก”
เลขาซือเหล่าอวิ้นถึงกับต้องเลิกคิ้ว หากไม่นับการเข้าวังแล้วบังเอิญพบปะสนทนาในข้อราชการกับเสิ่นซูฉี จะกล่าวให้ถูกต้องคือนี่เป็นการพบกันนอกเวลาครั้งแรกของทั้งสองสกุลเลยก็ว่าได้ ถามว่าคาดหวังหรือไม่กับเรื่องที่สกุลเสิ่นจะส่งแม่สื่อมาทาบทามอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แน่นอนว่าอาจจะไม่มา ยกเว้นยามนี้ที่บุตรสาวผู้เอาแต่ใจจะร้องขอ “เจ้าชมชอบเสิ่นซัวหยางรึ?”
“เจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านพ่อขอสมรสพระราชทานให้ลูกหลังจากการประกาศผลสอบออกไปแล้ว ลูกอยากเป็นฮูหยินของพี่ซัวหยาง” บุรุษที่แสดงท่าทางรังเกียจนางผู้นั้น ‘รอดูเถิดว่า หากมีสมรสพระราชทานของฮ่องเต้ พี่ซัวหยางจะกล้าขัดราชโองการได้หรือไม่!’ “ลูกชอบพี่ซัวหยางตั้งแต่แรกพบ”
เลขาหลวงผู้รักบุตรสาวราวแก้วตาดวงใจพยักหน้ารับเบาๆ “ไว้บิดาเจ้าจะจัดการให้เอง เจ้าประทินโฉมนอนรอวันมงคลได้เลยลูกรัก” เรื่องการสอบนั้น มีผลออกมาแล้ว ตัวเขาผู้เป็นเลขาหลวงตรวจตรามันเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วถึงสองวัน ที่กำหนดการณ์ล่าช้าเป็นเพราะติดอยู่ที่การคัดสรรรายชื่อของบัณฑิตผู้เข้าสอบว่าแต่ละคนลงสมัครกันในตำแหน่งหน้าที่ใด จะเป็นขุนนาง ผู้ว่า นายอำเภอ กองช่าง กองบังคับคดีหรือตำแหน่งปลีกย่อยต่างๆ ที่ราชสำนักยังคงต้องการ ให้ครบเท่านั้น เรื่องสุดท้ายหลังจากนี้ คงจะเป็นเรื่องของการใส่รายชื่อผู้ถูกคัดสรรเพื่อขึ้นประกาศ ซึ่งประกาศจะมีขึ้นในอีกสิบวันถัดไป ส่วนเรื่องการขอสมรสพระราชทานที่บุตรสาวร้องขอ ตัวเขาจะเสนอให้แก่ท่านอ๋องอีกครั้งด้วยตนเองในวันพรุ่งนี้ ‘ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะไม่ยาก’
^^ “เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางลอบยิ้มสมใจ วันข้างหน้าถ้าหากนางแต่งเข้าจวนสกุลเสิ่นเมื่อใด เรื่องราวในจวนสกุลซือจะถูกลืมไปในทันที ‘ชีวิตใหม่กับบุรุษคนใหม่ที่เหมาะสมคือสิ่งที่นางต้องการ’
&&&&
จวนสกุลเสิ่น
หลังจากกลับถึงจวน เสิ่นซัวหยางเดินเข้าไปในห้องสวดมนต์ของมารดา ที่ตรงนั้นมีธูปเทียนเอาไว้กราบไหว้บูชาเพื่อขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้างกันนั้นเป็นแผ่นป้ายของบรรพชนที่ล้มหายตายจากไป มือแกร่งหยิบธูปขึ้นมากราบไหว้ ใจเฝ้าภาวนาเมื่อเห็นเค้าลางจากท่านพ่อแล้วว่า ความรักของเขาคงถูกขัดขวางเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้น ‘เขาก็อยากร้องขอ ไม่ว่าความรักครั้งนี้จะมีอุปสรรคมากมายเพียงใด ในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้ตัวเขากับเย่วซินได้รักกัน ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่านานเท่าไรเขาก็จะรอ’ ธูปในกำมือถูกยกคำนับบรรพบุรุษอีกครั้งเพื่อขอพร ก่อนจะปักมันลงไปบนกระถาง เขานั่งเงียบอยู่เช่นนั้น เนิ่นนาน…แล้วตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง บรรยากาศในจวนสกุลเสิ่นเป็นเช่นเดิมในทุกๆ วัน จะต่างกันก็แค่เพียงความรู้สึกของเขาที่มันหวาดหวั่นไปหมด หลังจากที่เขาเดินทางไปยังจวนสกุลซือกับท่านพ่อ เสี้ยวหนึ่งในใจเขากำลังกลัวความไม่สมหวัง แต่ถึงอย่างนั้น ในท้ายที่สุดกับคำขอพร...ไม่ว่าจะนานเท่าใด ก็ขอให้ได้เย่วซินมาเป็นคู่ชีวิต
ห้องโถงกลาง
หลังจากรับสำรับกันจนแล้วเสร็จ เจ้าของจวนอย่างเสิ่นซูฉีได้นั่งสนทนากับจงฮูหยินและอนุของตนภายในห้องโถง เรื่องราวของสกุลซือถูกเล่าออกมาจากปากของเขาพร้อมกับยกยอปอปั้น ซือหลิวเยี่ยน ว่างดงามเพียบพร้อมไปทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือชาติสกุลล้วนไม่บกพร่อง หากเป็นไปได้เขาก็อยากได้นางมาเป็นสะใภ้ คำพูดนั้นมิได้เบาเสียงแม้เพียงนิด แน่นอนว่าบุตรชาย บุตรสาวและบุตรบุญธรรมที่นั่งสนทนากันอยู่ด้านนอก ย่อมต้องได้ยิน ‘และเจ้าของสกุลเสิ่นล้วนตั้งใจ’
จงฮูหยินมองสามีด้วยดวงตาว่างเปล่า นางมิได้คัดค้านหรือทัดทานอันใด นอกจากสงบปากสงบคำ สามีว่าอย่างไรภรรยาย่อมว่าตาม…และไม่คิดจะขัดขวางแม้การกระทำนี้อาจจะทำร้ายคนสองคนที่นางรัก!!
อนุตู้ได้แต่ลอบถอนหายใจ ชาติสกุลคือเรื่องสำคัญ ไม่ต่างกับคำครหานินทาของผู้คน ยิ่งเสิ่นซูฉีเป็นถึงนายอำเภออันดับหนึ่ง มีแต่คนนับหน้าถือตา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ยอมเสียชื่อเสียงเพราะเรื่องนี้เป็นแน่ ‘สุดท้ายแล้วคนที่น่าสงสารก็คงเป็นเย่วซินผู้เดียว เย่วซิน สตรีที่อาภัพตั้งแต่กำเนิด’
&&&&
ทุกคำพูดภายในห้องโถงนั้นคือสิ่งที่เย่วซินได้ยินมันอย่างชัดเจน ‘วันนี้ท่านพ่อบุญธรรมเสิ่นซูฉีและพี่ซัวหยางเดินทางไปทาบทามสตรีสกุลซือ’ มันคือความจริงที่ทำให้หัวใจของนางถึงกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตมองบุรุษรูปงามด้วยความเสียใจ ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่นางกังวลกลับเกิดขึ้นจริง ‘ท่านพ่อเสิ่นซูฉีคงเป็นผู้จัดการทั้งหมด โดยที่พี่ซัวหยางก็มิอาจขัดบิดาผู้ให้กำเนิดได้’ นางเข้าใจและพยายามยอมรับมัน แม้ในอกนั้นจะบอบช้ำอย่างหนัก มือบางหยิบผืนผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักลายกระต่าย…หมายจันทร์ ‘และคงใช่สินะ กระต่ายตัวนั้นก็คือตัวนาง’ สตรีผู้หลงละเมอว่าเรื่องราวความรักของตนจะสมหวัง…ไหนเลยจะรู้ว่ามันก็แค่ความฝันที่มิมีทางเป็นจริง “ข้าปักผ้าเช็ดหน้ามาให้พี่ โปรดรับเอาไว้ด้วยนะเจ้าคะ” นางวางมันเอาไว้บนมือแกร่งที่เอาแต่นิ่งเงียบ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปจากตรงนั้น เสียงของเสิ่นฮุ่ยเหมยตะโกนไล่หลังนาง...มันดังก้องในหู
“สมน้ำหน้าเจ้านัก สตรีไม่มีสกุล!!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะน้องรอง” เสิ่นซัวหยางตวาดใส่หน้าของน้องสาวต่างมารดา เขาก้มมองผ้าเช็ดหน้าที่อบดอกไม้จนหอมกรุ่นก่อนจะคลี่มันออก เป็นผ้าปักลวดลายกระต่ายตัวน้อยแหงนเงยขึ้นไปด้านบน และเขาเห็นมันมอง พระจันทร์ ตาคมสั่นไหว แล้วนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องรีบไปตามนาง ไปเพื่อปรับความเข้าใจว่าเขามิได้สนใจคุณหนูสกุลซือผู้นั้น ไปเพื่อบอกว่าเขาจะรักแค่นางจนกว่าชีวิตจะหาไม่ “เย่วซิน!”