สิบห้าปีก่อน
รถม้าคันใหญ่วิ่งผ่านเข้าสู่ประตูเมืองหลวงแคว้นโจวเหิงอย่างรวดเร็ว บนรถคันนั้นประกอบไปด้วยนายอำเภอเสิ่นซูฉี จงกวานฮวาผู้เป็นฮูหยินเอกและเสิ่นซัวหยางบุตรชายตัวน้อยวัยหกหนาว การเดินทางมายังเมืองหลวงในครั้งนี้ของนายอำเภอเสิ่นเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้หลงจื้อโจวที่ทรงเล็งเห็นความดีความชอบในการพัฒนาหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญที่อยู่นอกเมืองอีกทั้งยังมีบัณฑิตบรรจุใหม่เข้าไปรับหน้าที่แทน ฮ่องเต้จึงทรงย้ายนายอำเภอฝีมือดีกลับมาดูแลเมืองหลวง ทั้งยังพระราชทานที่ดินและจวนหลังใหญ่ให้เป็นของขวัญ ไม่นับรวมเบี้ยหวัดพร้อมกับตำแหน่งนายอำเภอหลวงชั้นหนึ่ง ตอบแทนคุณงามความดีให้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล
“ท่านพ่อ ข้าปวดเบาขอรับ” เสิ่นซัวหยางกล่าวกับบิดา พร้อมกับกุมช่วงล่าง (ตามประสาเด็กน้อย) ใบหน้ากลมเหยเกแดงก่ำ
ด้านเสิ่นซูฉีแม้จะเร่งรีบเพียงใด ตัวเขาก็ต้องยอมจอดรถม้าเพื่อให้บุตรชายได้ลงไปปลดเบาอยู่ดี ในความเร่งรีบก่อนหน้านี้เพราะต้องการไปให้ถึงที่หมายในยามเซิน (17.00) หาใช่ยามมืดค่ำที่มีแต่อันตราย ยิ่งรอบด้านเป็นหนทางรกชัฏ แต่หากคิดว่า อีกแค่ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็จะถึงประตูเมืองโจวเหิงอยู่แล้วจึงค่อยเบาใจ “อาถัวจอดรถก่อน” ตะโกนสั่งคนขับรถม้าของตน
“ขอรับ!!” เจ้าของนามอาถัวดึงบังเ**ยนจนตัวโก่ง รถม้าฝีเท้าดีถูกสั่งให้หยุด กุบกับๆๆ ฮี้ๆๆ
จงฮูหยินก้าวลงจากรถม้าโดยที่สามีของนางเป็นผู้พาบุตรชายไปปลดเบาอยู่ตรงพงหญ้าข้างทาง ในระหว่างนั้นสายตากลับเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่บนพื้นดินฝั่งตรงกันข้ามกับจุดที่นางยืนอยู่ ของสิ่งนั้นคือห่อผ้าสีขาว นางจึงหันมองไปรอบทิศทางด้วยความวิตก ยังทันได้เห็นด้านหลังของบุรุษผู้หนึ่งที่วิ่งหายลับเข้าไปในป่ารก ใจอยากจะวิ่งตามคนผู้นั้นไป แต่เพราะความกลัวและเสียงร้องของเด็กน้อย?
“แง!!”
จงกวานฮวามิได้ละสายตาออกไปจากห่อผ้า นางยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะเรียกสามีด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “ท่านพี่” ในความลังเลและตื่นเต้น ใจนางอยากจะบอกสามีเกี่ยวกับเรื่องที่นางเห็นใครคนหนึ่งที่น่าตั้งใจพาเด็กมาทิ้งเอาไว้ “ท่านพี่” ท้ายน้ำเสียงมีความสั่นเครือ ดวงตาล่อกแล่กหวาดกลัว กลัวว่ามันจะเป็นหนึ่งในแผนร้ายของกลุ่มโจร
“แงๆๆ” ดีดดิ้นอยู่ในห่อผ้า
นายอำเภอเสิ่นซูฉีผู้ละออกจากบุตรชายเมื่อได้ยินเสียงทารก เขาจึงรีบวิ่งไปยังจุดที่มีเสียงนั้นทันที
ไม่ต่างกับบุตรชายที่เมื่อได้ยินเสียงเด็ก ก็รีบวิ่งตามบิดาไป ใบหน้าเล็กของเด็กชายก้มมองเด็กน้อยผิวขาวที่ยังคงอ้าปากร้องเสียงดัง พลันถามอย่างอยากรู้ “เด็กน้อย เจ้ามาจากที่ใดรึ?” ^^
จงฮูหยินใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางในป่า “ข้าเห็นคนผู้หนึ่งแต่ไม่ทันได้เห็นหน้า คล้าวว่าวิ่งเอาห่อผ้ามาวางเอาไว้แล้วรีบจากไป มิรู้ชายหรือหญิง” ในความไม่แน่ใจนั้น นางยังคงมีสีหน้าติดกังวล แต่ในระหว่างความเงียบงัน บุตรชายเพียงคนเดียวกลับนั่งยิ้มมองเด็กในห่อผ้าขาว
“ท่านพ่อขอรับ น้องน้อยๆ” เสิ่นซัวหยางนั่งยองๆ มองเด็กในห่อผ้าขาวที่ตอนนี้หยุดร้องไห้ไปแล้ว “ข้าอยากมีน้อง” ในคำขอนั้นหมายถึงน้องที่เกิดมาจากท่านแม่ของตนเองจริงๆ มิใช่น้องที่มาจากภรรยาที่เป็นอนุ
บรรยากาศโดยรอบเริ่มเย็นและค่ำลงเรื่อยๆ สถานการณ์เช่นนี้ หากปล่อยทารกคนนี้ทิ้งเอาไว้ แน่นอนว่าหากไม่หนาวตายก็คงถูกสัตว์ป่าคาบไปกิน ด้วยความที่เป็นคนมีเมตตา จงฮูหยินจึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกโดยไม่สนใจคำพูดของบุตรชาย “เราต้องพาเขากลับไปด้วยเพราะเราไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะท่านพี่”
เสิ่นซูฉีมิได้ขัดคำฮูหยิน แต่เขากลับเดินไปยังรถม้าและจัดการเขียนข้อความอะไรบางอย่างวางเอาไว้แทนที่ห่อผ้าขาวนั้น “ไปเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน” เขาพาฮูหยินผู้อุ้มเด็กน้อยและบุตรชายขึ้นไปบนรถม้า ปล่อยทิ้งข้อความที่เขียนเอาไว้ว่า ‘นายอำเภอเสิ่นซูฉี’ ทิ้งเอาไว้ตรงนั้น
&&&&
หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาได้ผ่านไปเกือบสิบห้าปีแล้ว สิบห้าปีที่เด็กน้อยในวันนั้นเติบโตขึ้นจนงามสะพรั่ง! กิริยาวาจาอ่อนหวาน การบ้านการเรือนไม่เคยขาดตกบกพร่อง…บุตรบุญธรรมสกุลเสิ่น นามว่า เย่วซิน
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวว่าเราอย่าเพิ่งเข้าไปจะดีกว่าเจ้าค่ะ คุณชายซัวหยางเองก็เพิ่งกลับมาจากการสอบบัณฑิต คุณชายอาจจะอยากร่ำสุรากับสหายก่อนก็เป็นได้นะเจ้าคะ” เสี่ยวเม่าผู้เป็นสาวใช้เอ่ยเตือนคุณหนู
เยว่ซินใบหน้างอง้ำ ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนที่นางปักปิ่น ‘ซัวหยางติดการสอบเพื่อเข้ารับตำแหน่งขุนนาง’ ซ้ำร้ายเมื่อกลับมาถึงจวนสกุลเสิ่น นางและผู้เป็นพี่ชายก็มิได้สนทนากันเลยสักคำ จนถึงวันนี้ จวนสกุลเสิ่นได้เปิดประตูต้อนรับเหล่าสหายของเสิ่นซัวหยางที่ร่วมเข้าสอบขุนนางมากหน้าหลายตา ไม่เพียงแต่นางจะถูกสั่งให้อยู่แค่ในห้อง ยังถูกสั่งมิให้ออกไปเดินเพ่นพ่าน เพราะด้านนอกมีแต่บุรุษ!! “แล้วหลังจากวันนี้เล่า ข้าจะมีโอกาสได้สนทนาอีกหรือไม่ อยู่จวนเดียวกันแต่มิได้พบหน้ากันราวกับอยู่คนละแผ่นดิน” ใบหน้างามหมองลง พลางคิดถึงยามที่ยังเป็นเด็ก นางและพี่ซัวหยางแทบจะไม่เคยอยู่ห่างกันเลย รับสำรับร่วมกัน เล่นด้วยกันทุกวัน จวบจนพี่ซัวหยางเข้าสู่วัยสิบห้าหนาว ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป การศึกษาเล่าเรียนอย่างหนักหน่วงของพี่ซัวหยางทำให้นางและอีกฝ่ายมิได้พบหน้ากันเหมือนเดิม...จากที่เคยพบกันทุกวัน กลายเป็นหนึ่งเดือน พบกันแค่หนึ่งครั้ง ดูอย่างในวันนี้ ‘นางคงมีสิทธิ์แค่มองดูแผ่นหลังกว้างของพี่ชายรูปงามเท่านั้นใช่หรือไม่?’
เสี่ยวเม่าได้แต่ถอนใจ “บ่าวว่าเรากลับเข้าไปในห้องเถิดเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ ก็ได้” ร่างบางในชุดสีชมพูหวานหันหลังกลับไปทางเรือนเล็กของตน ถอนหายใจเพื่ออดทนเก็บเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายเอาไว้ หนึ่งในคำพูดนั้นก็มีหนึ่งเรื่องสำคัญคือคำอวยพรย้อนหลังยามที่นางผ่านพ้นวันปักปิ่น…แต่จะได้ฟังหรือไม่ มันก็เป็นอีกเรื่อง
“คุณหนูเยว่ซิน!!”
เสียงเรียกอันน่าตกใจนั้นแม้มิใช่เสียงพี่ซัวหยางของนาง แต่ในเมื่อนางคือเจ้าของนาม อย่างไรก็ต้องหันไป ขวับ!! ทุกสายตาของบุรุษทั้งหกคนต่างมองนางด้วยรอยยิ้มไม่เว้นแม้กระทั่ง…บุรุษที่นางเฝ้ารอด้วยความหวัง การเดินเข้าไปคำนับอย่างมีมารยาทพร้อมกับรอยยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ ^^ “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะคุณชายทุกท่าน” นางมิได้เจาะจงว่าเป็นผู้ใด ก้มหน้าต่ำอย่างสำรวมกิริยา ใบหน้าหวานลอบยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้น “พี่ซัวหยาง”
เหอจิ้งเทาเกาศีรษะแก้เก้อ “อ่า…ข้าเป็นผู้เรียกเจ้า ใยจึงเรียกแต่พี่ซัวหยาง หรือพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ตัวเจ้าจะมิรู้จัก” เอ่ยเย้าน้องสาวบุญธรรมผู้งดงามของสหายที่พวกเขารู้จักนางเมื่อสมัยที่ยังร่ำเรียนในสำนักศึกษา ก่อนจะย้ายออกไปเมื่อผ่านพ้นวัยสิบห้าหนาว
^^ “มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะคุณชายเหอ พวกท่านทุกคนในที่นี้ข้าย่อมรู้จักนามของทุกคน เพียงแต่วันนี้มากันครบ จะทักทายผู้ใดก่อนหน้าย่อมลังเล สุดท้ายจึงมีเพียงนามพี่ซัวหยาง”
คำกล่าวค้านอย่างน่ารักนั้นเรียกรอยยิ้มของเหล่าบุรุษได้ทั้งศาลา สตรีร่างเล็ก ใบหน้าหวานล้ำ ดวงตากลมโตกับพวงแก้มแดงก่ำตรงหน้า ที่มีนามว่าเย่วซิน แต่เดิมน่าทะนุถนอมอย่างไร มาวันนี้ย่อมไม่เคยเปลี่ยน หากผู้เป็นพี่ชายนอกไส้อย่างเสิ่นซัวหยางไม่หวงนางจนออกนอกหน้า ไม่แน่ว่ามากกว่าสามในหกบุรุษที่นั่งอยู่ตรงนี้ต้องส่งแม่สื่อมาทาบทามนางแล้ว
เสิ่นซัวหยางยกยิ้มตรงมุมปาก เด็กทารกในวันนั้นเติบโตจนงดงามล่มเมือง ‘และเขาจะไม่ยอมเสียนางไปให้ใครนอกจากเขาที่จะเป็นเจ้าของนางเพียงผู้เดียว’ “เยว่ซินมานั่งกับพี่ตรงนี้สิ” ตบที่ว่างด้านข้างของตนเองที่มีไว้สำหรับนาง ใจอยากจะอวยพรรับขวัญในวันปักปิ่นที่ตัวเขามิได้อยู่ร่วม…แต่ยามนี้คงไม่เหมาะ เมื่อวันนี้เป็นการนั่งสนทนาเกี่ยวกับการสอบขุนนางของเขาและสหายที่เพิ่งจบสิ้นไปพร้อมกับการรอฟังผลสอบที่ครั้งนี้จำนวนผู้สอบมีมากมายหลายร้อยคน ไม่ต่างกับตำแหน่งขุนนางที่ทางราชสำนักต้องการก็มีนับร้อยตำแหน่งเช่นกัน แต่ละตำแหน่งล้วนถูกส่งไปเริ่มต้นหาประสบการณ์ที่ชนบทและหัวเมืองต่างๆ รอบนอกเมืองหลวง ‘ก็หวังว่าเขาจะสอบติดเป็นหนึ่งในตำแหน่งเหล่านั้น’ หากมันสำเร็จไปได้ด้วยดี เขาจะขอเริ่มต้นสร้างครอบครัวของตนเองกับสตรีอันเป็นที่รักด้านข้างอย่าง ‘เย่วซิน’
เจ้าของนามอย่างเย่วซินแม้อยากจะเดินเข้าไปนั่งร่วมด้วยตามคำเชิญ แต่นางยังมิอาจกระทำได้เพราะมารยาทสตรีที่ดี ที่ผ่านพ้นวันปักปิ่นแต่ยังมิได้ออกเรือนควรปฏิบัตินั้น มิควรนั่งร่วมกับบุรุษฉกรรจ์มากมายเหล่านี้ที่มิใช่คนในครอบครัวได้ จะกล่าวอ้างว่าแล้วเสิ่นซัวหยางเล่า? ‘เขากับนางหาใช่พี่น้องคลานตามกันมา แม้อยากนั่งเคียงข้างสนทนาก็ควรจะเป็นวันอื่น’ “มิได้เจ้าค่ะ มันไม่งาม อีกอย่างพวกท่านกำลังร่ำสุรา จะอย่างไรก็ไม่เหมาะ วันนี้เย่วซินขอตัวเข้าโรงครัวทำสำรับให้ทานดีกว่าเจ้าค่ะ”