สิ่งที่ร้องขอ?

1328 Words
“เย่วซิน!” เสียงของบุรุษผู้เป็นที่รักดังไล่ตามหลังของนางมา เย่วซินยังคงไม่หันกลับไปหาเพราะยามนี้ดวงตาของนางมีแต่หยาดน้ำเอ่อคลอ คำรักคำหวานเมื่อวันวานคงเป็นเพียงมวลอากาศอันว่างเปล่าเสียแล้ว เมื่อได้รู้ความจริงจากปากของท่านพ่อเสิ่นซูฉี จะกล่าวว่าท่านพูดปดย่อมไม่ได้ ในเมื่อคำพูดยกยอสตรีรุ่นลูกเช่นนั้น ท่านมิเคยเอ่ยมันเพื่อชมนาง คำที่ท่านพ่อกล่าวย้ำว่า ‘งดงาม คู่ควร’ คงต่างกับนางที่ไร้หัวนอนปลายเท้า ดังที่เสิ่นฮุ่ยเหมยว่า ตำแหน่งฮูหยินคงไกลเกินกว่าที่นางจะเอื้อมถึงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่แต่ไม่รู้จะมีโอกาสไหม...นั่นคือตำแหน่งอนุที่คู่ควร "เย่วซิน มันมิใช่อย่างที่เจ้าได้ยิน” เสิ่นซัวหยางวิ่งอ้อมไปดักอยู่เบื้องหน้าสตรีในดวงใจของเขา คำอธิบายพรั่งพรูออกจากปากไม่ได้หยุด “วันนี้พี่แค่ไปดูพื้นที่สำหรับสร้างจวนหลังใหม่ มิได้ตั้งใจจะไปหาคุณหนูซือผู้นั้น” เย่วซินเม้มปาก พลางหลุบตาลงต่ำเพื่อไล่หยาดน้ำคลอหน่วย นางกล่าวออกมาอย่างเจียมตัว “เจ้าค่ะ พี่ซัวหยางมิได้ตั้งใจไปหาคุณหนูซือ แต่ท่านพ่ออยากให้พี่ไป ข้าเข้าใจดีเจ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้บุรุษอันเป็นที่รัก “ข้าไม่ได้คิดมากหรือกังวลอันใด พี่ซัวหยางอย่าห่วงเลยนะเจ้าคะ” และคำพูดนี้มันเป็นเพียงแค่คำปลอบโยนหัวใจของนางเองเท่านั้น หรือถ้าหากนางจะกังวลจริงๆ พี่ซัวหยางจะทำอะไรได้นอกจากยืนปลอบนาง เสิ่นซัวหยางลอบถอนหายใจ ในสายตาของเขายามนี้มองออกว่าเย่วซินกำลังคิดมาก ต่างจากถ้อยคำที่นางบอกไปเมื่อครู่ “ดีแล้วที่เจ้าไม่คิดมาก” และเป็นเขาที่ต้องตัดสินใจนำเรื่องสำคัญนี้ไปปรึกษาท่านแม่ สตรีที่รักเย่วซินราวกับบุตรสาวในไส้ของตนเอง ‘เขายังเชื่อว่าเรื่องนี้มันต้องมีทางออก’ &&&& จงกวานฮวาผู้มองสามีของตนเองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ลึกๆ ในใจครึ่งหนึ่งนางกำลังสงสารที่บุตรบุญธรรมและบุตรชายมาได้ยินคำนี้ คำที่เหมือนกับประกาศว่า เย่วซิน จะไม่มีโอกาสได้เป็นลูกสะใภ้สกุลเสิ่น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนางกลับดีใจ...ทุกอย่างในหัวมันตีรวนกันไปหมดและมีเพียงนางที่รู้ดีที่สุด “จบแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” ตัวนางอยากจะเดินออกไปสวดมนต์ให้จิตใจได้รู้สึกผ่อนคลายและไม่รู้สึกผิด ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ต่างจากเรื่องนั้นที่ผันผ่านมานานนับสิบกว่าปี เรื่องสำคัญที่นางเฝ้ารอ ซึ่งมันช่างนานเกินไปจนนางรู้สึกกลัวและกังวล “ใช่ วันนี้จบแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ” นายอำเภอเสิ่นซัวหยาง นั่งเอนหลังพิงพนักอย่างอ่อนใจ ‘ยามนี้เขากำลังขัดขวางความรักของบุตรชายและบุตรบุญธรรมในปกครอง’ จะกล่าวว่าเขาใจร้ายย่อมไม่ผิด แต่ที่ตัวเขาทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล หากจะว่าด้วยเรื่องของความรักของทั้งสองนั้น จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ย่อมไม่ใช่ ในเมื่อหลังจากที่ซัวหยางผู้เป็นบุตรชายมีฮูหยินที่ดีและเหมาะสม เขาก็พร้อมจะมอบเย่วซินให้ไปเป็นอนุ แค่อนุเท่านั้นที่ยังให้ได้ “พ่อบ้านจิง” พ่อบ้านชราตอบรับ “ขอรับนายท่าน” “วันพรุ่งนี้ในยามอุ้ย (13.00) บอกให้ซัวหยางเดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอ ไปสนทนากับผู้อาวุโสก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง อีกเรื่อง” เสิ่นซูฉีเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “หลังจากซัวหยางออกจากจวนไปแล้ว ให้เรียกเย่วซินมาหาข้า” “ขอรับ” พ่อบ้านชราได้แต่เดินออกจาห้องโถงด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ตลอดเวลาหลายปีกับความรักอันบริสุทธิ์ของคุณชายและเย่วซิน ครานี้คงถึงเวลาแล้วกระมัง ดวงตาฝ้าฟางแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า เขากล่าวโทษเบื้องบนว่า ‘เหตุใดสวรรค์จึงส่งเย่วซินมาให้พบแต่ความทุกข์ระทมเช่นนี้หนอ’ &&&& วันต่อมาในยามอุ้ย (13.10) “ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งการกับเยว่ซินรึเจ้าคะ” สตรีงดงามก้มหน้ามองต่ำ เมื่อเจ้าของจวนที่มิเคยจะสนใจใยดีในตัวนางตั้งแต่แรกนั้นเรียกหา ราวกับนางรู้ชะตาตนเองอยู่แล้วว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นหากมิใช่เรื่องของพี่ซัวหยาง เสิ่นซูฉีมองสตรีตัวน้อยอย่างนึกสงสาร ในอดีตแม้มิคิดเอ็นดูนางเทียบเท่าฮูหยินรัก แต่ก็มิได้ทิ้งขว้างเด็กทารกแรกเกิดในยามนั้นได้ อีกทั้งสกุลของเขาชุบเลี้ยงเย่วซินให้มาเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไร้ที่ติในวันนี้ก็ถือว่าพวกเขาใจดีที่สุดแล้ว ในวันหน้าหากมีบุรุษสกุลใดต้องตาต้องใจเย่วซิน ตัวเขาก็ย่อมต้องสนับสนุนนางให้แต่งออกแน่! “ยามนี้เจ้าก็ผ่านพ้นวันปักปิ่นไปแล้ว เป็นสตรีที่พร้อมจะออกเรือน พ่อจะถามเจ้าว่ามีบุรุษใดที่เจ้าพึงใจบ้างหรือไม่” ผู้ฟัง ลอบใจหาย คำถามที่ละไว้ในคำตอบคือ ‘ห้ามบอกว่าชมชอบพี่ซัวหยางใช่หรือไม่’ ใยตัวเย่วซินจะไม่เข้าใจ ก้อนสะอื้นถูกกลืนลงคออย่างยากเย็น บุรุษตรงหน้าคือผู้มีพระคุณท่วมหัวยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ เช่นนั้นแล้วหากท่านพ่อไม่ต้องการให้นางมาเป็นสะใภ้ ทั้งๆ ที่นางก็เชื่อว่าท่านเองก็รู้เรื่องความรักของนางกับพี่ซัวหยางดี ‘แต่หากท่านไม่ต้องการ’ นางควรจะตอบไปว่า “ยังไม่มีบุรุษใดที่ลูกพึงใจเจ้าค่ะ แต่ถ้าหากท่านพ่ออยากให้เย่วซินแต่งเข้าสกุลใด ท่านพ่อบอกลูกได้นะเจ้าคะ ลูกพร้อมจะทำตาม” เสิ่นซูฉียิ้มรับ “ดีแล้ว มิเสียแรงที่เลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบโต อย่างไรเสียเรื่องแรกที่พ่อขอ ก็คือเจ้าต้องเว้นระยะห่างจากซัวหยางบ้างเพราะเจ้าเป็นสตรีและซัวหยางเป็นบุรุษ การอยู่ด้วยกันเพียงลำพังย่อมมิสมควรทำ” “ได้เจ้าค่ะ” “อีกเรื่องคือ หลังจากที่ทางการประกาศผลสอบขุนนางแล้ว บิดาจะหาฮูหยินที่เหมาะสมให้พี่ซัวหยาง พี่ชายของเจ้า” การย้ำสถานะของบุคคลไปตรงๆ เพื่อให้บุตรบุญธรรมได้จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ว่านางมิสามารถเลื่อนจากสถานะน้องสาวไปเป็นฮูหยินได้ ‘เขาผู้เป็นเจ้าของจวน ขีดเส้นให้เดินอย่างชัดเจน!’ “ไม่ว่าพี่สะใภ้จะมาจากสกุลใด เจ้าก็อย่าได้ตั้งท่ารังเกียจนาง” “เจ้าค่ะ” “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าอยากไปทำสิ่งใดก็ไปเถอะ” เย่วซินเดินออกมาจากห้องทำงานของบิดาด้วยหัวใจอันเลื่อนลอย ไร้สติสัมปชัญญะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนางเองที่ผิด ผิดที่ไปรักชอบกับบุตรชายของผู้มีพระคุณ ผิดที่นางไม่เจียมตัวเอง ผิดที่หัวใจของนางมันไม่เคยรักดี มายามนี้ได้ฟังคำของเจ้าของจวนที่นางอาศัยอยู่ ‘มันเปรียบเสมือนทำลายหัวใจของนางให้แหลกเหลวจนแทบไม่มีชิ้นดี’ เช่นนี้แล้วจะให้นางร่วมอยู่ในจวนสกุลเสิ่นได้อย่างไรต่อไป “คุณหนู” เสี่ยวเม่า สาวใช้ที่เลี้ยงดูเย่วซินมานานนับสิบปี เอ่ยเรียกร่างบางที่เดินเหมือนไม่มีแรง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD