บทที่ 7 จุดเปลี่ยน
หลายวันต่อมา ได้ยินมาว่าคนในบ้านตระกูลมู่หรงคิดจะเดินทางไปที่บ้านสวนนอกเมืองหลวง ที่นั่นมีที่ดินมากมาย และยังมีทั้งสวนผัก ไร่นา และต้นไม้มากมาย ทุกๆ ปีจะมีผลผลิตจากบ้านสวนส่งมาที่จวนตระกูลมู่หรง พ่อแม่สามีของนางก็จะนำไปขายต่อ นับว่าได้กำไรดีเป็นอย่างมาก
ครั้งนี้คนบ้านรองเองก็จะติดตามไปด้วย ทุกคนเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ ช่วงบ่ายก็ไปถึงที่บ้านสวน เมื่อได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว หลี่จื่อเวยก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
ที่บ้านสวนแห่งนี้กว้างใหญ่มากจริงๆ อีกทั้งยังมีที่ดินทำกินมากมาย พืชผักก็มีไม่น้อยเลย
คนทั้งหมดพักกันอยู่หลายวัน ก่อนจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็พบว่ายามนี้บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ได้ยินว่าทหารรักษาชายแดนเริ่มต้านกำลังของศัตรูเอาไว้ไม่ไหวเสียแล้ว อีกทั้งเงินในท้องพระคลังที่ใช้สนับสนุนทหารก็ขัดสนไม่พอใช้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจึงมีรับสั่งให้ทุกจวนที่มีฐานะนำทรัพย์สินเงินทองมาบริจาคเข้าท้องพระคลัง แต่บริจาคเท่าใดก็ยังคงไม่พออยู่ดี ขุนนางบางคนก็คิดคดโกง เปลี่ยนฝั่งไปเข้าหากบฏ บ้านเมืองตกอยู่ในกลียุค การทำมาค้าขายเริ่มไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ร้านรวงปิดไปหลายร้าน ซ้ำร้ายยังมีโจรปล้นชิงมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้ส่งผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่จวนตระกูลมู่หรง
เมื่อทำการค้าไม่ได้ เพราะผู้คนไม่มีกำลังซื้อนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก เงินที่มีอยู่ย่อมต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ผู้คนเริ่มแตกคอกันเอง บ้านเมืองระส่ำระสายจนเกินจะควบคุม ผู้คนไม่น้อยเริ่มหลบหนีออกจากเมืองหลวงไปหาที่ทางทำกินในเมืองอื่นๆ
ยามนี้ในจวนตระกูลมู่หรงเองก็ไม่ต่างกัน เพราะถูกทางการสั่งให้บริจาคเงินเข้าท้องพระคลังไปไม่น้อย จึงทำให้มีเงินเหลือไม่มากนัก ซ้ำการค้าก็ยังทำไม่ได้อีก สร้างความปวดหัววุ่นวายไม่น้อย
หลี่จื่อเวยเองก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นางถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก เพิ่งจะทะลุมิติมายังไม่ทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ต้องมาระหกระเหินอีกแล้ว นางมองไปที่มู่หรงซานที่ยามนี้นิ่งเงียบไม่พูดอะไรคราหนึ่ง
มู่หรงซานนั้นยามนี้เขารู้สึกเศร้าใจไม่น้อย ได้ยินว่าหลายวันก่อนหวังเจี้ยนและครอบครัวคิดหลบหนีออกนอกเมืองหลวงเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ แต่ระหว่างทางกลับถูกโจรป่าดักปล้นชิงและทุกคนในตระกูลหวังถูกสังหารเกือบหมด หวังเจี้ยนนั้นก็หายไปไม่รู้เป็นตายร้ายดีเช่นไร เพราะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนไม่ทันตั้งตัว เมืองหลวงราวกับเมืองร้าง ได้ยินว่าฮ่องเต้พิโรธจนล้มป่วย ขุนนางเอาเปรียบราษฎร คนชนชั้นล่างถูกกดขี่ไม่ว่างเว้น
หลี่จื่อเวยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางเดินตรงไปที่เรือนใหญ่เพื่อช่วยพ่อแม่สามีจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นเพื่อจะออกเดินทางในคืนนี้ ได้ยินว่าจะพากันเดินทางไปตั้งหลักที่บ้านสวนนอกเมืองหลวงซึ่งเป็นหมู่บ้านชนบท ที่นั่นค่อนข้างห่างไกลจากภัยสงคราม ย่อมจะตั้งหลักและเริ่มต้นใหม่ได้
มู่หรงฮูหยินหันมามองสะใภ้ของตนครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"จือจือ เจ้ามาดูเร็วเข้าว่าอยากได้สิ่งใดไปเพิ่มไหม ตอนนี้บ้านเราไม่มีสมบัติมากเท่าแต่ก่อนแล้ว เจ้าก็เลือกเอาติดตัวไปเท่าที่จำเป็นเถิด"
หลี่จื่อเวยเดินเข้าไปหาแม่สามี ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
"ข้าไม่อยากได้สิ่งใดเจ้าค่ะ ขอเพียงพวกเรายังมีชีวิตรอดก็ดีมากเพียงใดแล้ว"
มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ตั้งแต่ลูกสะใภ้ฟื้นขึ้นมาก็รู้จักวางตัวมากขึ้น คำพูดและการกระทำก็เติบโตขึ้นไม่น้อย
"อืม ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เงินทองที่เหลือ ครอบครัวอารองของเจ้ามาขอแบ่งไปครึ่งหนึ่ง พวกเขาคิดว่าจะแยกออกไปทำกินกันเอง ได้ยินว่าอาสะใภ้รองก็มีที่ทางนอกเมืองอยู่บ้าง"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เดิมทีบ้านรองแม้จะอยู่ในพื้นที่จวนเดียวกัน แต่ก็นับว่าแยกไปมีครอบครัวแล้ว ภายนอกดูเหมือนจะสงบร่มเย็น แต่ทว่าตั้งแต่ที่นางย้อนเวลากลับมาก็ได้รู้ว่าแท้จริงบ้านหลักช่วยบ้านรองไปไม่น้อย เงินทุกบาทที่อารองเอาไปลงทุนเปิดร้านรวงนั้นขาดทุนทุกครั้ง และจะมาขอความช่วยเหลือจากบ้านหลักอยู่เสมอ ยามนี้เกิดภัยขึ้นก็ยังคิดที่จะขอแบ่งสมบัติไปอีก มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่จื่อเวยจึงเอ่ยกับแม่สามีของตนทันที
"ท่านแม่ เดิมทีเงินทองของเราก็มีน้อย เหตุใดยังต้องแบ่งไปให้บ้านรองอีกเล่าเจ้าคะ ขออภัยที่ข้าถาม ข้าเพียงอยากรู้ เพราะบ้านรองเดิมทีก็แยกไปมีครอบครัวแล้ว บ้านหลักเองก็ช่วยเหลือให้เงินบ้านรองไม่ขาด ทั้งๆ ที่พวกเขาจะแยกไปกันเองกลับยังมาขอเงินบ้านหลักอีก"
มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เพียงยิ้มขื่นออกมา
เรื่องนี้นางเองก็พูดไม่ออกเท่าใดนัก ท่านอารองก็คือน้องชายของสามีนาง ภายนอกก็เหมือนจะปรองดองกันดี แต่แท้จริงกลับมีปัญหากันเรื่องเงินอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก็ทำให้นางได้รู้ใจคนเสียที
มู่หรงหยางและภรรยาของเขามาขอแบ่งสันปันส่วนเงินทองที่เหลือเอาไปตั้งตัว บอกว่าเห็นแก่ที่บ้านรองก็ช่วยงานบ้านหลักมาหลายปี อีกทั้งยามนี้ภรรยาของมู่หรงเฉินก็กำลังตั้งครรภ์ต้องใช้เงินมาก สมบัติที่บ้านหลักมีก็ยังเหลืออยู่ไม่น้อย อย่างไรต้องช่วยเหลือบ้านรองบ้าง เพราะมู่หรงซานใช้เงินราวกับสายน้ำ ผลาญเงินของตระกูลมู่หรงไปไม่น้อย บ้านหลักยังให้ลูกชายเอาไปผลาญเล่นได้เลย แต่นี่พวกเขาขอไปตั้งตัวจะใจดำไม่ให้กันบ้างเลยหรือ
ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยสิ่งใด ก็ได้ยินเสียงของน้องสะใภ้รองภรรยาของมู่หรงหยางเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"จวนตระกูลมู่หรงจะแบ่งเงินกันเช่นไร คงไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องยื่นมือเข้ามาสอดกระมัง"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นอาสะใภ้รองนั่นเอง อาสะใภ้รองผู้ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีปากมีเสียง ทำตัวเหมือนคนดี แต่แท้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็แสดงความเห็นแก่ตัวออกมา นางกำลังเดินมาพร้อมกับฟางม่านม่านลูกสะใภ้ตน
หลี่จื่อเวยไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงทำความเคารพอาสะใภ้รองเล็กน้อย
ฮูหยินบ้านรองนามว่าอวี้ซินจ้องมองหลี่จื่อเวยคราหนึ่ง ด้านฟางม่านม่านเองก็จ้องมองหลี่จื่อเวยอย่างดูแคลนเช่นเดียวกัน
"พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามารับเงินเจ้าค่ะ คืนนี้จะออกเดินทางแล้ว"
ฮูหยินบ้านรองอวี้ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงยื่นตั๋วเงินส่งไปให้เพราะอยากตัดปัญหา ไม่อยากให้พี่น้องมาทะเลาะกันเอง เพราะนางเห็นใจสามีของนางที่เป็นคนกลาง
เมื่อรับตั๋วเงินมาแล้วนางก็เดินจากไป ก่อนไปฟางม่านม่านยังหันมามองหลี่จื่อเวยเล็กน้อย เดิมทีนางก็ไม่ชอบหลี่จื่อเวยเท่าใดนัก เพราะแม่สามีบอกนางว่าหลี่จื่อเวยแต่งมาเพื่อหวังสมบัติตระกูลมู่หรง หลี่จื่อเวยคร้านจะใส่ใจเหมือนกันคิดจะปล่อยผ่าน แต่อาสะใภ้รองกลับเอ่ยกับนางอย่างดูแคลน
"อ้าว จือจือ เกิดเรื่องเช่นนี้เจ้าคงต้องพาคนตระกูลหลี่ติดตามไปด้วยกระมัง เพราะบิดาเจ้าคงไม่มีที่ทางให้หนี ได้ยินว่านำที่ทางไปขายเอาไปเล่นพนันจนหมด ไหนๆ เจ้าก็เกาะตระกูลมู่หรงเพื่อหวังร่ำรวยอยู่แล้ว จะพาคนตระกูลหลี่มาเกาะอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก น่าสงสารพี่ชายกับพี่สะใภ้เหลือเกิน ที่แต่งคนเช่นนี้มาเป็นสะใภ้"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะทิ้งพี่น้องพ่อแม่เพื่อเอาตัวรอดอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับคนบางคน แต่ก่อนตอนที่ยังมีประโยชน์ก็ทำตัวประจบสอพลอ ไม่มีปากมีเสียง พอเกิดเรื่องก็หนีเอาตัวรอด ทั้งที่แยกบ้านไปแล้ว สามีก็มีงานทำแต่ยังมาขอเศษเงินจากคนอื่นไปอีก แบบนี้เขาเรียกว่า คนโลภมากใช่หรือไม่เจ้าคะ หรือว่าเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ก็เก่งนะเจ้าคะ เก็บนิสัยเลวร้ายเช่นนี้ได้มิดชิดเชียว"
"นี่เจ้ากล้าด่าข้าหรือฮะ!! นังหลานสะใภ้ขายตัวแลกเงินสินสอด"
"พอแล้ว!!!"
มู่หรงฮูหยินยืนฟังอยู่นานจนทนไม่ไหว นางก้าวเดินเข้ามาก่อนจะเดินมายืนข้างกายหลี่จื่อเวย และเอ่ยกับคนบ้านรองด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"เจ้าได้เงินแล้วก็ไปเถิด ข้าเองไม่อยากทะเลาะกับพี่น้อง"
"ข้าก็ไม่อยากทะเลาะเช่นกัน หวังว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะเดินทางราบรื่นนะเจ้าคะ"
ฮูหยินบ้านรองเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะประคองฟางม่านม่านเดินกลับไปยังบ้านรองทันที มู่หรงฮูหยินหันมามองหลี่จื่อเวยเล็กน้อย หลี่จื่อเวยเม้มริมฝีปากแน่น เดิมทีนางก็ไม่อยากด่าทอใครหรอก แต่มันอดไม่ได้จริงๆ
"ท่านแม่ ข้าขออภัยที่ปากไวไปหน่อยเจ้ค่ะ"
มู่หรงฮูหยินจ้องมองลูกสะใภ้ตนเองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"เจ้าด่าแทนข้าได้ดีเลยจือจือ"
"เอ?"
"ไปเก็บของเถิด จะได้รีบเดินทาง นับแต่นี้ตระกูลมู่หรงไม่เหมือนเดิมแล้ว เราต้องทิ้งทุกสิ่งไว้ที่นี่ก่อน หวังว่าบ้านเมืองจะสงบโดยเร็ว ส่วนคนบ้านตระกูลหลี่ของเจ้า หากจะพาพวกเขาไปด้วยข้าก็ไม่ว่าอะไร อย่างไรก็นับว่าเป็นญาติกัน ไปถึงบ้านสวนแล้วเราคงต้องทำสวนปลูกผักเพื่อหาเลี้ยงชีพกันไปก่อน ต้องหาลู่ทางทำกินคงไม่สบายเท่าแต่ก่อนแล้ว บ่าวไพร่ข้าก็ขายไปไม่น้อย เหลือให้ติดตามไปเท่าที่ไว้ใจได้"
มู่หรงฮูหยินเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับไปเก็บของ หลี่จื่อเวยเม้มริมฝีปากแน่น เดิมทีนางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับบ้านฝั่งบิดาเลยแม้แต่น้อย แต่ยุคนี้ถือความกตัญญูเป็นใหญ่ อย่างไรนางคงจะละทิ้งบิดาไม่ได้
ตกบ่ายคนตระกูลหลี่ก็มาขอความช่วยเหลือจากคนตระกูลมู่หรง นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่จื่อเวยได้พบกับบิดาและแม่เลี้ยง รวมถึงพี่น้องต่างมารดาของร่างเดิมเป็นครั้งแรก เพียงได้พบกัน หลี่จื่อเวยก็เริ่มรับรู้ได้แล้วว่าวันหน้าเรื่องราวคงจะวุ่นวายมากกว่าเดิมเป็นแน่
ให้ตายเถอะ!!! นิยายเรื่องนี้มันจะวุ่นวายเกินไปแล้ว!!!