บทที่ 1 ลูกพีช l กลับบ้าน

1644 Words
"แม่ครับ..เพลาเคยมาบ้านคุณยายไหมครับ" "เคยซิครับ..ตอนนั้นเพลายังเล็กจำอะไรไม่ค่อยได้" "งั้นมาครั้งนี้ เราอยู่ที่นี่นานๆได้ไหมครับ" "เพลาอยากอยู่ไทยเหรอ" "ครับ" รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของลูกชายวัยสามขวบมันทำให้ฉันใจสั่น ไม่รู้เป็นเพราะสงสารลูกที่ต้องบินมาบินไปหรือเป็นเพราะมีใบหน้าของอีกคนทับซ้อนอยู่ฉายออกมาให้ฉันเห็น "ลองอยู่ก่อนไหม..ถ้าไม่ชอบเรา..." "ต้องชอบซิครับ" ลูกชายฉันพูดขัดก่อนที่ฉันจะพูดจบ เพลาตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กลับมา ถึงแม้ว่าช่วงก่อนหน้าแกจะเด็กมากก็ตาม ทุกครั้งที่กลับมาไม่มีเลยสักครั้งที่เพลาจะงอแงไม่อยากกลับ ก่อนที่เพลาจะเจรจาอะไรไปมากกว่านี้ รถก็เคลื่อนตัวเข้าบ้านหลังใหญ่ที่ฉันอยู่ตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว ซึ่งมีคนยืนรอต้อนรับพวกเราอยู่ที่ประตูเข้าบ้านด้วยรอยยิ้ม "คุณยายครับ" พอฉันเปิดประตูเจ้าลูกชายจอมซนก็กระโดดลงจากรถโผล่เข้ากอดแม่ฉันทันที "คิดถึงหลานจังเลย..มาคราวนี้อยู่นานไหม" แม่ฉันกอดเพลาแน่น แต่ประโยคหลังเป็นคำถามที่ถามฉันมากกว่า "อยู่ยาวเลยครับ" และคนที่ตอบคือลูกชายฉันเอง ฉันจึงได้ส่งแต่รอยยิ้มกลับไปให้ท่านแทนที่จะตอบ "คุณพ่อละคะคุณแม่" "นอนพักอยู่ข้างบน" แม่สีหน้าไม่สู้ดีและเป็นกังวล ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ฉันพาลูกกลับมาก่อนกำหนดในทุกๆปี พ่อฉันไม่สบาย… "คุณพ่อคะ..ป่วยแล้วยังจะทำงานอีก" ฉันเรียกพ่อตัวเองที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ในมือยังคงถือแฟ้มเอกสารงานอยู่ "อ้าวมาแล้วเหรอลูกพีช" พ่อฉันยิ้มกางแขนรอฉันเข้าไปหา ฉันรีบเข้าไปสวมกอดท่านแน่น "กลับมาอยู่ด้วยกันใช่ไหมลูก" ฉันรีบพยักหน้าเอาใจ มาคราวนี้คงกลับไปได้ยากจริง เพราะฉันเป็นห่วงคุณพ่อมาก ท่านดูเหนื่อยและป่วยหนักจริงๆ "ตัดสินใจในสิ่งที่พ่อขอแล้วใช่ไหม" ฉันพยักหน้าอีกครั้ง ครั้งล่าสุดที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่นี่ คุณพ่อเคยขอให้ฉันกลับมาทำงานที่บ้านช่วยพี่ชายของฉันบริหารงานเพราะท่านเริ่มแก่ตัวและอยากที่จะวางมือแล้ว "กลับมาอยู่ด้วยกันและเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ความลับมันไม่มีในโลกหรอก" พ่อวางมือลงบนหัวฉัน ท่านยังใจดีและไม่เคยจะดุด่าอะไรฉันเลย ถึงแม้ว่าฉันจะเคยทำเรื่องผิดพลาด ทำให้ท่านเสียใจ “เอาของกลับมาเยอะไหมรอบนี้” “ไม่ค่อยเยอะค่ะ..เดี๋ยวรบกวนพี่มาวินส่งกลับมาให้เพิ่มค่ะ” พอฉันตอบคุณพ่อออกไปแบบนั้น ท่านจึงยิ้มออกมาและสวมกอดฉันอีกครั้งด้วยความดีใจ "เดินมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวพ่อก็จะขอพักสักงีบเหมือนกัน" "ค่ะ" "สวัสดีครับลุงพลับ" "โตขึ้นเยอะเลยนะเรา" พี่ลูกพลับ พี่ชายแท้ๆ ที่ฉันคลานตามเขามา อ้าแขนอุ้มหลานชายที่วิ่งเข้าไปกอดอย่างดีอกดีใจ "สบายดีนะพีช" "สบายดีค่ะ และพร้อมที่จะเริ่มงานด้วย" พี่พลับยิ้มให้ฉันอย่างยินดี เรารับประทานอาหารด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพลาคุยจ้อและติดคุณยายแจ มันทำให้ฉันโล่งใจได้นิดหน่อยเพราะหากฉันไปทำงานจริงๆ เพลาคงจะไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับคนอื่น "พีชรู้ใช่ไหมว่าต่อให้หลบหน้ากันยังไงพีชก็ต้องเจอเขา" หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จพี่ชายฉันก็ชวนคุย เรานั่งดื่มกันอยู่ที่ข้างสระว่ายน้ำ ส่วนลูกชายของฉันเข้านอนพร้อมคุณยายไปเรียบร้อยแล้ว "รู้ซิพี่พลับ..พีชรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง แต่พีชก็ยังยืนยันคำเดิมว่าพีชเลี้ยงลูกได้โดยไม่มีเขา" "แต่ความลับไม่มีในโลกนะพีช ถึงแม้ว่าเพลาจะหน้าตาคล้ายพีชมาก แต่เพลาก็มีส่วนคล้ายเขาด้วยเช่นกัน พวกเราทุกคนเคารพการตัดสินใจของพีช แต่เราก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะที่จะปิดกั้นไม่ให้เพลารู้จักพ่อ" "พีชบอกลูกไปแล้วว่าพ่อของเพลาตายไปแล้ว" "ใจดำมาก...สงสารลูกบ้างไหม ทิฐิของพีชจะทำให้เพลาไม่มีความสุขนะ" "แม่เลี้ยงเดี่ยวมีเยอะแยะไปพี่พลับ" "พวกเขาไม่มีทางเลือก...แต่พีชมีทางเลือก ในเมื่อพีชเลือกที่จะออกมาแล้วแต่เราไม่จำเป็นต้องกลับไปรักกัน แต่เราควรทำหน้าที่แม่ที่ดี...พีชจะเลือกให้เพลาไม่ได้ว่าจะให้เขามีหรือไม่มีพ่อ...ลูกควรเลือกเอง" "...." ฉันเลือกที่จะเงียบไม่ตอบกลับพี่ชายตัวเอง สิ่งที่เขาพูดมันจี้ใจดำเหลือเกิน ฉันเป็นแม่ที่ดูแย่มาก ที่กีดกันพ่อลูกไม่ให้พบกัน ฉันรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง แต่ฉันเป็นคนที่เจ็บแล้วจำ อะไรที่มันผ่านมาแล้วไม่ควรจะเอามันกลับมาอีก สันดานของคนมันเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆก็จริง แต่ถ้าพร้อมที่จะเปลี่ยนด้วยความตั้งใจยังไงมันก็เปลี่ยนกันได้ แต่เขาไม่เปลี่ยนเลย...เขาไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อของลูก "เอาละไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องพาเจ้าเพลาไปดูโรงเรียน และเข้าทำงานที่บริษัทเป็นวันแรกด้วย" พี่พลับจับหัวฉันโยกไปมาและลุกขึ้นเดินเข้าบ้านทิ้งฉันที่นั่งใช้ความคิดของตัวเอง "เพลาโอเคใช่ไหมครับลูก" "เพลาโอเคครับแม่...ไม่ต้องเป็นห่วง แม่ละครับโอเคไหม" ฉันปาดน้ำตาที่ซึมอยู่หางตา ตั้งแต่เกิดเพลามาเราสองคนแม่ลูกไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้เลย แต่ดูลูกชายของฉันซิ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันทุกซี่ ไม่มีท่าทีที่งอแงร้องไห้เหมือนเด็กคนอื่นๆที่มาโรงเรียนเป็นวันแรกเลย "แม่..โอเคครับ" "เอาล่ะครับ เจอกันหลังเลิกเรียนนะครับแม่ อย่าร้องไห้" ฉันพยักหน้าบอกลูกชายที่ทำตัวเก่งมาก หลังจากที่ส่งเพลาเสร็จฉันยังไม่ออกจากโรงเรียนหรอก ตามสเต็ปของพ่อแม่มือใหม่ที่ส่งลูกเข้าโรงเรียน ก็ต้องเกาะขอบกระจกดูลูกชายของตัวเองเพื่อดูลาดลาวอยู่แล้ว และใช่จริงๆ ลูกชายฉันทำหน้าเศร้าน้ำตาไหลพรากอยู่ในห้อง ยืนร้องไห้อยู่คนเดียว พอคุณครูจะเข้าไปปลอบกลับยกมือขึ้นป้องกันและถอยหลังนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้องคนเดียว "เอาน่า..เขาจะเติบโตด้วยตัวของเขาเอง" พี่พลับให้กำลังใจฉันด้วยการลูบไหล่ "มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย" "ก็เห็นว่านานเกินไป พี่ก็นึกว่าเรากับเพลามีปัญหาก็เลยลงมาดู ไหงกลายเป็นแม่ที่ไม่ยอมปล่อยลูกซะงั้น" "เป็นห่วงเพลา พีชไม่เคยห่างจากลูกนานขนาดนี้เลยพี่พลับ" "เอาน่า ไม่กี่ชั่วโมงเองไปทำงานกันเถอะ" ฉันเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวห้องใหญ่ ป้ายชื่อที่วางบนโต๊ะบอกกับฉันว่ามันเป็นห้องของฉันแต่เพียงผู้เดียว พิชญ์สินี กิจสุพัฒน์ภาคิน ประธานกรรมการบริษัท กิจสุพัฒน์คอฟฟี่ บ้านฉันทำสินค้าอุปโภคบริโภคเน้นในส่วนของสินค้าสะดวกซื้อและขยายธุรกิจต่างๆเรื่อยมา เช่น ปลูกกาแฟ ส่งออกเมล็ดกาแฟ อาหารเสริม และพวกอาหารออแกนิค บริษัทเราเป็นธุรกิจครอบครัวที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่า ธุรกิจขนาดกลาง ไม่ใหญ่และไม่เล็ก มีปล่อยขายหุ้นไปบ้างแต่ผู้ถือหุ้นมากที่สุดก็ยังเป็นคนในตระกูลเราอยู่ดี "ห้องทำงานของพีช พี่ไม่ได้ให้คนจัดอะไรมาก รอพีชมาตกแต่งห้องเองโอเคไหม" "ขอบคุณค่ะพี่พลับ ว่าแต่ตำแหน่ง CEO ของ กิจสุพัฒน์คอฟฟี่ แน่ใจจะยกให้พีช พีชยังไม่มีประสบการณ์เลยนะ" "แบ่งๆเอาไปบ้างเถอะน้องรัก แค่นี้พี่ก็หัวหมุนแล้ว ถ้ามีอะไรตรงไหนไม่เข้าใจก็มาถามได้ ห้องเราอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ส่วนเลขาของน้องพี่คัดคนไว้ให้แล้วสองสามคนช่วงบ่ายจะส่งให้มาเลือกเองนะ" "ขอบคุณค่ะ" "โชคดี" ฉันยิ้มและโบกมือลาพี่ชายตัวเองที่เดินออกไป หลังเรียนจบและก่อนจะบินไปเรียนต่อ ฉันก็พอจะรู้เรื่องราวของกิจการที่บ้านบ้าง เพราะตัวเองก็มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดที่ถึงกับจะรู้รายละเอียดลึกขนาดนั้น ตอนนี้ที่ทำได้ก็คือศึกษารายละเอียดการทำงานไปก่อน ทำงานให้มีประสิทธิภาพพอให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆยอมรับฉันได้ก็พอ "สินค้าส่วนใหญ่ก็วางขายที่ห้างไทม์...ร้านกาแฟสาขาใหญ่ก็อยู่ที่นั่นอีก" ฉันพูดกับตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว เมื่ออ่านรายละเอียดของกิจสุพัฒน์คอฟฟี่แบบพอสังเขป ใบหน้าเปื้อนยิ้มของพี่ชายที่อยู่ในห้องประชุมเมื่อช่วงสายลอยเข้ามา รวมถึงใบหน้าของพ่อฉันในที่ประชุม ท่านดูยิ้มแย้มราวกับไม่ได้ป่วย รวมถึงอาการของแม่ฉันที่ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไรเลยที่เห็นคุณพ่อแต่งตัวมาทำงาน ฉันถูกหลอกอยู่หรือเปล่าเนี่ย! •••••• **เพลา น้องชื่อ เพ-ลา นะคะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD