PUNYAH TALK
เหตุการณ์เมื่อวานก่อนมันวนเวียนอยู่ในหัวฉันซ้ำไปซ้ำมา ผู้ชายคนนั้นเขาชื่อพอร์ช อยู่ดีๆก็เดินหน้านิ่งมาบอกว่าเป็นแฟนฉัน นี่ฉันยังงงจนถึงตอนนี้นะเนี่ย ที่สำคัญคือเขาบอกว่ารับฉันเข้าทำงานและให้มาหาเขาที่บริษัทวันจันทร์ นั่นก็คือวันนี้ไง
ถามว่าดีใจไหมที่ได้งาน ฉันดีใจมาก เรียนจบมาได้สามสี่เดือนแล้วยังไม่มีงานทำที่มั่นคงเป็นหลักเป็นแหล่งเลย ฉันหาสมัครงานบริษัทต่างๆแต่ก็ยังไม่มีบริษัทไหนโทรมาเรียกสัมภาษณ์
แต่อยู่ๆเจ้าของบริษัทก็มารับฉันเข้าทำงานด้วยตัวเองซะงั้น
“หนูสวยยังอ่ะแม่”
“สวยแล้ว สวยเหมือนแม่นั่นแหละ”
“แม่เตรียมของเสร็จรึยังหนูจะได้ช่วยเข็นรถออกไปขาย”
“ไม่ต้องๆ หยาไปเถอะเดี๋ยวเจ้านายเขาจะรอ”
แม่ฉันขายข้าวแกง ทำแกงเป็นหม้อๆแล้ววางบนรถเข็นเวลาใครจะซื้อก็ตักใส่ถุงขายให้เขา เราอยู่ห้องเช่าเล็กๆในอพาร์ทเมนต์โทรมๆ เมื่อก่อนบ้านเรามีเงินมีทองมากกว่านี้แต่เพราะพ่อฉันเสียไปเลยทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้คนข้างหลัง บ้านก็ขาย รถก็ขายแล้วมาเริ่มต้นจากศูนย์กันใหม่ ชีวิตสุขสบายของฉันมันไปหายไปพร้อมๆกับพ่อ
“หนูไปแล้วนะแม่”
“จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ยังไงแต่งตัวก็สวยไม่อายเขารึ?”
“นั่งแท็กซี่ไปก็เปลืองเงินอ่ะแม่ ไว้ได้เงินเดือนก่อนจะนั่งนะ”
ฉันขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านมาบริษัทก็ใช้เวลาไม่นานมาก มาก่อนเวลานัดสิบนาทีด้วยแหละ ฉันถอดหมวกกันน็อคครอบไว้ที่กระจกข้างแล้วเดินเข้าบริษัท โห ที่นี่หรูหรามากเลยนะเนี่ย ฉันหาข้อมูลมาพอสมควรว่าบริษัทนี้ส่งออกเกี่ยวกับจิวเวอร์รี่
“นัดไว้รึเปล่าคะ?”
“อ๋อ ฉันนัดคุณพอร์ชไว้น่ะค่ะ”
พนักงานหน้าเคาท์เตอร์ต่อสายโทรศัพท์ก่อนจะยิ้มให้ฉัน
“บอสเชิญที่ห้องทำงานค่ะ ห้องผู้บริหารอยู่ชั้นบนสุดนะคะออกลิฟท์มาเดินไปทางซ้ายค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
บอส? ที่นี่เรียกบอสเหรอ? โอเคฉันจะได้เรียกตามถูก ฉันยืนอยู่ในลิฟท์คนเดียวด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้างกับการเริ่มงานวันแรก ที่น่ากลัวกว่าก็คือเจ้านายฉันนี่แหละ
ตี๊ง!!
เสียงลิฟท์ดังเมื่อถึงชั้นสุดท้ายก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก ฉันยกมือทาบที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างตื่นเต้น พ่นลมหามใจพรืดใหญ่แล้วก้าวเท้าเดินไปตามทางที่พนักงานบอกมา โต๊ะข้างหน้าห้องไม่มีคนนั่งอยู่ฉันเลยถือวิสาสะเคาะประตูห้องแทน
“เข้ามา”
“ฉันมาแล้วค่ะบอส”
หมับ!
“ตัวหอม”
“บอสคะ อย่ามาทำตัวลุ่มล่ามกับฉันแบบนี้นะคะ!!”
ร่างสูงยืนอยู่ที่หลังประตู เมื่อฉันเดินผ่านเข้ามาตัวฉันก็ถูกดึงเข้าไปกอดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!! โรคจิต นี่มันโรคจิตในคราบคนรวยดีๆนี่เอง ฉันสะบัดตัวออกแล้วก้าวถอยหลังมองเขาตาขวาง
“เป็นแฟนกัน”
“แฟนกันอะไรคะ เราไม่ได้รู้จักกันต้องให้..”
“กอดกัน”
“คะ?”
“ไม่ได้เหรอ?”
ฉันยืนรวบรวมคำพูดเกือบนาที อ่อ แฟนกันกอดกันไม่ได้เหรอ? พูดยาวๆทีเดียวไม่ได้รึไงเนี่ย!! ตั้งสติได้เขาก็หันหลังเดินไปนั่งเก้าอี้ซะแล้ว ไม่ได้หรอกต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
“หยาขอย้ำอีกครั้งนะคะว่าเรา...”
“เซ็นต์ซะ”
“คะ?”
เขายื่นกระดาษมาให้ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเขาและรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ให้ตายสิปั้นหยา ฉันสัมผัสได้ถึงสายตากดดันของเขาที่จ้องมองมา แม้จะเห็นเขาแค่เพียงหางตาเท่านั้นก็ทำให้ฉันประหม่าได้ เหมือนสายตาฉันมันไม่สามัคคีกันยังไงไม่รู้ จะอ่านกระดาษในมือก็จะอ่านแต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยเพราะโดนจ้องมองนี่แหละ
แต่อยู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้มยืดตัวมาตรงหน้าฉัน...
“เซ็นต์สิครับ”
“เอ่อ ขะ ขออ่านก่อนค่ะ”
ฉันดันเก้าอี้ถอยหลังออกมาเพราะหน้าเราใกล้กันเกินเหตุ แต่เขากลับยื่นมือมาจับไหล่ฉันแล้วดึงเข้าหาตัวจนหน้าเราใกล้กันอีกครั้ง
“เซ็นต์เดี๋ยวนี้”
“ค่ะๆเซ็นต์แล้วค่ะ!!”
เขาเป็นอะไรของเขาเนี่ย จะมาลุ่มล่ามอะไรกับฉันนักหนา? ฉันรีบคว้าปากกามาเซ็นต์ให้มันจบๆแล้วรีบลุกออกมาจากตรงนั้นทันที
“ปั้นหยา”
“ค่ะ ฉันชื่อปั้นหยา!! ต่อไปนี้บอสห้ามทำแบบนี้กับ...”
“น่ารักจัง”
“ห้ะ!! คุณเป็นอะไรของคุณคะ? ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ฉันขอไม่ทำงานกับคุณแล้วนะคะ ยกเลิกสัญญาทั้งหมดนั่นแหละ ลาออกค่ะ”
นี่ฉันพูดจริงๆนะไม่ได้ขู่ เขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจมากถึงมากที่สุด คนไม่เคยรู้จักกันมาบอกว่าเป็นแฟนฉันแล้วยังจะมาทำตัวลวนลามลุ่มล่ามกับฉันอีก ให้ทำงานกับคนแบบนี้ฉันทำไม่ได้หรอก
“ค่าปรับสิบล้าน”
“ห๊า! นี่มันแกล้งกันชัดๆเลยนะคะ งานอะไรทำไมค่าปรับแพงขนาดนี้? คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่เนี่ย”
“ต้องการปั้นหยา”
“ฉันไม่มีปัญญาหาให้คุณหรอกค่ะ ที่เซ็นต์ไปเมื่อกี้คุณก็กดดันฉันแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ แล้วถ้า...”
“ไม่มีปัญญาก็อย่าดื้อ”
เออ ใช่สิ ฉันมันจนนี่!! อย่าว่าแต่เงินสิบล้านเลยตอนนี้เงินหลักหมื่นยังยากสำหรับฉันเลยด้วยซ้ำ แบบนี้ก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรรมต่อไปถึงแม้ว่าฉันอยากจะต่อต้านเขาแค่ไหนฉันก็ไม่กล้าหรอก ใจลึกๆก็ทำเป็นใจดีสู้เสือเสียงดังใส่เขาเท่านั้นเอง ฉันยังมีแม่ที่ต้องเลี้ยงดูจะมาเอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ไม่ได้
“งานอะไรคะบอส ขอทราบรายละเอียดงานกับสวัสดิการค่ะ”
“คนของผม”
“บอสคะ หยาไม่พูดเล่นแล้วนะคะบอส”
“แทนตัวเองว่าหยา?”
“ค่ะ จะให้แทนว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะท่านประธานบริษัท”
ฉันคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง เขาพูดไม่รู้เรื่องหรือฉันถามเขาไม่เข้าใจ? ก็แค่ถามว่างานอะไรและสวัสดิการยังไง คำตอบที่ได้คือคนของผม?
“น่ารัก ผมชอบ”
ชอบอะไร? เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันใช้เซลล์สมองได้คุ้มค่าจริงๆเพราะต้องคอยนึกย้อนว่าเมื่อกี้เราคุยเรื่องอะไรกันแล้วถึงจะเอาประโยคคำพูดสั้นๆเหล่านั้นมารวมกันได้ โอเค ชอบให้แทนตัวเองว่าหยา
“ค่ะบอส หยาขอทราบประเภทงานค่ะ”
“อยู่กับผม”
“เอ่อ มีงานอื่นที่ไม่ต้องอยู่...”
“เป็นเลขาผม”
“เลขาหน้าห้องเหรอคะ?”
“เป็นแฟน”
“แฟนอีกแล้วเหรอคะ (-_-)”
มันงานประเภทไหนกันเนี่ย เขาจะมาเป็นแฟนอะไรของเขาซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เขาเพี้ยนรึเปล่า? เป็นถึงประธานบริษัทใหญ่ยักษ์ขนาดนี้จะมาพูดเล่นเรื่องพวกนี้กับพนักงานใหม่จนๆแบบฉันได้ยังไง หรือเขาก็เลี้ยงต้อยไปเรื่อย? อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เงินเดือนสามหมื่น”
“สะ สามหมื่นเลยเหรอคะ (^O^)// ทำค่ะทำ”
ฉันแทบจะกรี๊ดออกมา ได้ยินไหมว่าเงินเดือนตั้งสามหมื่นบาท!! เงินเยอะขนาดนี้งานอะไรฉันก็ทำทั้งนั้นแหละไม่เกี่ยง ฉันมีเงินพาแม่ออกไปกินของดีๆในห้างแล้วล่ะ คิดแค่นี้ฉันก็ยิ้มแก้มปริ
เขายืนพิงโต๊ะทำงานพรางกอดอกมองฉันหน้านิ่งๆ ฉันดูไม่ออกหรอกว่าเขาคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่เพราะหน้าเขาก็หน้าตึงแบบนี้ตลอด
“เริ่มงานเดี๋ยวนี้”
“ได้ค่ะบอส งั้น... หยาฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
ฉันโค้งคำนับทำความเคารพให้หนึ่งทีด้วยความดีใจ แค่เลขาเอง วันๆอยู่กับเอกสารที่โต๊ะข้างนอกมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรหรอก
“เรียกผมคุณพอร์ช”
“ค่ะคุณพอร์ช”
“เอาไปตรวจคำผิด”
เขายื่นแฟ้มเอกสารมาให้ฉันพร้อมคำสั่งแรกของงาน นั่นคือตรวจคำผิด ฉันถือแฟ้มที่ได้รับมอบหมายออกมานั่งโต๊ะประจำตำแหน่งด้านนอกอย่างขะมักเขม้น เมื่อเปิดแฟ้มมาหน้าแรกมีโพสอิทสีเหลืองแปะอยู่พร้อมข้อความในกระดาษว่า ยิ้ม ด้วยความสงสัยฉันจึงหยิบโพสอิทแผ่นนั้นเดินเข้ามาหาเขาที่ห้องทำงานอีกครั้ง
“บอสคะ เอ่อ คุณพอร์ชคะ คุณยิ้มอยู่แผนกไหนเหรอคะถ้าหยาตรวจทานเสร็จจะได้ส่งให้คุณยิ้มถูกค่ะ”
“หยา ซื่อบื้อ”
“คะ?”
ร่างสูงเอื้อมไปหยิบแฟ้มแล้วกวักมือเรียกฉันให้เข้าไปหา ทันทีที่ประชันหน้ากันเขาก็ชี้มาที่สันแฟ้มซึ่งมีกระดาษสอดอยู่
“นี่ชื่อแผนก”
“อ๋อ ชื่อแผนกอยู่ตรงสันของแฟ้มนี่เอง เข้าใจแล้วค่ะ แล้วยิ้ม..”
“ยิ้มคือคำสั่ง”
เขาสั่งให้ฉันยิ้มเหรอ? ถ้าชอบเห็นคนอื่นยิ้มแล้วทำไมตัวเขาเองไม่ยิ้มบ้างล่ะ หรือทำงานเครียดเลยยิ้มไม่ออก? เขายืนจ้องหน้าเหมือนคาดหวังอะไรจากฉันอยู่สักอย่าง อ่อ ให้ยิ้มใช่ไหม?
“อย่างนี้เหรอคะ ”
ฉันทำหน้ายิ้มแป้นให้เขาเพื่อจะได้ทำให้พอใจแล้วเลิกจ้องฉันสักที แต่จังหวะนั้นเขาก็โน้มหน้าลงมาใกล้ฉันจะปลายจมูกแทบจะชนกันซึ่งทำให้ฉันตกใจและรีบหุบยิ้มทันที
“ปั้นหยาน่ารัก”
“เอ่อ งั้น..ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
END TALK