CHAPTER 1

1675 Words
PUNYAH TALK เหตุการณ์เมื่อวานก่อนมันวนเวียนอยู่ในหัวฉันซ้ำไปซ้ำมา ผู้ชายคนนั้นเขาชื่อพอร์ช อยู่ดีๆก็เดินหน้านิ่งมาบอกว่าเป็นแฟนฉัน นี่ฉันยังงงจนถึงตอนนี้นะเนี่ย ที่สำคัญคือเขาบอกว่ารับฉันเข้าทำงานและให้มาหาเขาที่บริษัทวันจันทร์ นั่นก็คือวันนี้ไง ถามว่าดีใจไหมที่ได้งาน ฉันดีใจมาก เรียนจบมาได้สามสี่เดือนแล้วยังไม่มีงานทำที่มั่นคงเป็นหลักเป็นแหล่งเลย ฉันหาสมัครงานบริษัทต่างๆแต่ก็ยังไม่มีบริษัทไหนโทรมาเรียกสัมภาษณ์ แต่อยู่ๆเจ้าของบริษัทก็มารับฉันเข้าทำงานด้วยตัวเองซะงั้น “หนูสวยยังอ่ะแม่” “สวยแล้ว สวยเหมือนแม่นั่นแหละ” “แม่เตรียมของเสร็จรึยังหนูจะได้ช่วยเข็นรถออกไปขาย” “ไม่ต้องๆ หยาไปเถอะเดี๋ยวเจ้านายเขาจะรอ” แม่ฉันขายข้าวแกง ทำแกงเป็นหม้อๆแล้ววางบนรถเข็นเวลาใครจะซื้อก็ตักใส่ถุงขายให้เขา เราอยู่ห้องเช่าเล็กๆในอพาร์ทเมนต์โทรมๆ เมื่อก่อนบ้านเรามีเงินมีทองมากกว่านี้แต่เพราะพ่อฉันเสียไปเลยทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้คนข้างหลัง บ้านก็ขาย รถก็ขายแล้วมาเริ่มต้นจากศูนย์กันใหม่ ชีวิตสุขสบายของฉันมันไปหายไปพร้อมๆกับพ่อ “หนูไปแล้วนะแม่” “จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ยังไงแต่งตัวก็สวยไม่อายเขารึ?” “นั่งแท็กซี่ไปก็เปลืองเงินอ่ะแม่ ไว้ได้เงินเดือนก่อนจะนั่งนะ” ฉันขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านมาบริษัทก็ใช้เวลาไม่นานมาก มาก่อนเวลานัดสิบนาทีด้วยแหละ ฉันถอดหมวกกันน็อคครอบไว้ที่กระจกข้างแล้วเดินเข้าบริษัท โห ที่นี่หรูหรามากเลยนะเนี่ย ฉันหาข้อมูลมาพอสมควรว่าบริษัทนี้ส่งออกเกี่ยวกับจิวเวอร์รี่ “นัดไว้รึเปล่าคะ?” “อ๋อ ฉันนัดคุณพอร์ชไว้น่ะค่ะ” พนักงานหน้าเคาท์เตอร์ต่อสายโทรศัพท์ก่อนจะยิ้มให้ฉัน “บอสเชิญที่ห้องทำงานค่ะ ห้องผู้บริหารอยู่ชั้นบนสุดนะคะออกลิฟท์มาเดินไปทางซ้ายค่ะ” “ขอบคุณมากค่ะ” บอส? ที่นี่เรียกบอสเหรอ? โอเคฉันจะได้เรียกตามถูก ฉันยืนอยู่ในลิฟท์คนเดียวด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้างกับการเริ่มงานวันแรก ที่น่ากลัวกว่าก็คือเจ้านายฉันนี่แหละ ตี๊ง!! เสียงลิฟท์ดังเมื่อถึงชั้นสุดท้ายก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก ฉันยกมือทาบที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างตื่นเต้น พ่นลมหามใจพรืดใหญ่แล้วก้าวเท้าเดินไปตามทางที่พนักงานบอกมา โต๊ะข้างหน้าห้องไม่มีคนนั่งอยู่ฉันเลยถือวิสาสะเคาะประตูห้องแทน “เข้ามา” “ฉันมาแล้วค่ะบอส” หมับ! “ตัวหอม” “บอสคะ อย่ามาทำตัวลุ่มล่ามกับฉันแบบนี้นะคะ!!” ร่างสูงยืนอยู่ที่หลังประตู เมื่อฉันเดินผ่านเข้ามาตัวฉันก็ถูกดึงเข้าไปกอดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!! โรคจิต นี่มันโรคจิตในคราบคนรวยดีๆนี่เอง ฉันสะบัดตัวออกแล้วก้าวถอยหลังมองเขาตาขวาง “เป็นแฟนกัน” “แฟนกันอะไรคะ เราไม่ได้รู้จักกันต้องให้..” “กอดกัน” “คะ?” “ไม่ได้เหรอ?” ฉันยืนรวบรวมคำพูดเกือบนาที อ่อ แฟนกันกอดกันไม่ได้เหรอ? พูดยาวๆทีเดียวไม่ได้รึไงเนี่ย!! ตั้งสติได้เขาก็หันหลังเดินไปนั่งเก้าอี้ซะแล้ว ไม่ได้หรอกต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน “หยาขอย้ำอีกครั้งนะคะว่าเรา...” “เซ็นต์ซะ” “คะ?” เขายื่นกระดาษมาให้ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเขาและรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ให้ตายสิปั้นหยา ฉันสัมผัสได้ถึงสายตากดดันของเขาที่จ้องมองมา แม้จะเห็นเขาแค่เพียงหางตาเท่านั้นก็ทำให้ฉันประหม่าได้ เหมือนสายตาฉันมันไม่สามัคคีกันยังไงไม่รู้ จะอ่านกระดาษในมือก็จะอ่านแต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยเพราะโดนจ้องมองนี่แหละ แต่อยู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้มยืดตัวมาตรงหน้าฉัน... “เซ็นต์สิครับ” “เอ่อ ขะ ขออ่านก่อนค่ะ” ฉันดันเก้าอี้ถอยหลังออกมาเพราะหน้าเราใกล้กันเกินเหตุ แต่เขากลับยื่นมือมาจับไหล่ฉันแล้วดึงเข้าหาตัวจนหน้าเราใกล้กันอีกครั้ง “เซ็นต์เดี๋ยวนี้” “ค่ะๆเซ็นต์แล้วค่ะ!!” เขาเป็นอะไรของเขาเนี่ย จะมาลุ่มล่ามอะไรกับฉันนักหนา? ฉันรีบคว้าปากกามาเซ็นต์ให้มันจบๆแล้วรีบลุกออกมาจากตรงนั้นทันที “ปั้นหยา” “ค่ะ ฉันชื่อปั้นหยา!! ต่อไปนี้บอสห้ามทำแบบนี้กับ...” “น่ารักจัง” “ห้ะ!! คุณเป็นอะไรของคุณคะ? ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ฉันขอไม่ทำงานกับคุณแล้วนะคะ ยกเลิกสัญญาทั้งหมดนั่นแหละ ลาออกค่ะ” นี่ฉันพูดจริงๆนะไม่ได้ขู่ เขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจมากถึงมากที่สุด คนไม่เคยรู้จักกันมาบอกว่าเป็นแฟนฉันแล้วยังจะมาทำตัวลวนลามลุ่มล่ามกับฉันอีก ให้ทำงานกับคนแบบนี้ฉันทำไม่ได้หรอก “ค่าปรับสิบล้าน” “ห๊า! นี่มันแกล้งกันชัดๆเลยนะคะ งานอะไรทำไมค่าปรับแพงขนาดนี้? คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่เนี่ย” “ต้องการปั้นหยา” “ฉันไม่มีปัญญาหาให้คุณหรอกค่ะ ที่เซ็นต์ไปเมื่อกี้คุณก็กดดันฉันแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ แล้วถ้า...” “ไม่มีปัญญาก็อย่าดื้อ” เออ ใช่สิ ฉันมันจนนี่!! อย่าว่าแต่เงินสิบล้านเลยตอนนี้เงินหลักหมื่นยังยากสำหรับฉันเลยด้วยซ้ำ แบบนี้ก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรรมต่อไปถึงแม้ว่าฉันอยากจะต่อต้านเขาแค่ไหนฉันก็ไม่กล้าหรอก ใจลึกๆก็ทำเป็นใจดีสู้เสือเสียงดังใส่เขาเท่านั้นเอง ฉันยังมีแม่ที่ต้องเลี้ยงดูจะมาเอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ไม่ได้ “งานอะไรคะบอส ขอทราบรายละเอียดงานกับสวัสดิการค่ะ” “คนของผม” “บอสคะ หยาไม่พูดเล่นแล้วนะคะบอส” “แทนตัวเองว่าหยา?” “ค่ะ จะให้แทนว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะท่านประธานบริษัท” ฉันคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง เขาพูดไม่รู้เรื่องหรือฉันถามเขาไม่เข้าใจ? ก็แค่ถามว่างานอะไรและสวัสดิการยังไง คำตอบที่ได้คือคนของผม? “น่ารัก ผมชอบ” ชอบอะไร? เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันใช้เซลล์สมองได้คุ้มค่าจริงๆเพราะต้องคอยนึกย้อนว่าเมื่อกี้เราคุยเรื่องอะไรกันแล้วถึงจะเอาประโยคคำพูดสั้นๆเหล่านั้นมารวมกันได้ โอเค ชอบให้แทนตัวเองว่าหยา “ค่ะบอส หยาขอทราบประเภทงานค่ะ” “อยู่กับผม” “เอ่อ มีงานอื่นที่ไม่ต้องอยู่...” “เป็นเลขาผม” “เลขาหน้าห้องเหรอคะ?” “เป็นแฟน” “แฟนอีกแล้วเหรอคะ (-_-)” มันงานประเภทไหนกันเนี่ย เขาจะมาเป็นแฟนอะไรของเขาซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เขาเพี้ยนรึเปล่า? เป็นถึงประธานบริษัทใหญ่ยักษ์ขนาดนี้จะมาพูดเล่นเรื่องพวกนี้กับพนักงานใหม่จนๆแบบฉันได้ยังไง หรือเขาก็เลี้ยงต้อยไปเรื่อย? อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน “เงินเดือนสามหมื่น” “สะ สามหมื่นเลยเหรอคะ (^O^)// ทำค่ะทำ” ฉันแทบจะกรี๊ดออกมา ได้ยินไหมว่าเงินเดือนตั้งสามหมื่นบาท!! เงินเยอะขนาดนี้งานอะไรฉันก็ทำทั้งนั้นแหละไม่เกี่ยง ฉันมีเงินพาแม่ออกไปกินของดีๆในห้างแล้วล่ะ คิดแค่นี้ฉันก็ยิ้มแก้มปริ เขายืนพิงโต๊ะทำงานพรางกอดอกมองฉันหน้านิ่งๆ ฉันดูไม่ออกหรอกว่าเขาคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่เพราะหน้าเขาก็หน้าตึงแบบนี้ตลอด “เริ่มงานเดี๋ยวนี้” “ได้ค่ะบอส งั้น... หยาฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันโค้งคำนับทำความเคารพให้หนึ่งทีด้วยความดีใจ แค่เลขาเอง วันๆอยู่กับเอกสารที่โต๊ะข้างนอกมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรหรอก “เรียกผมคุณพอร์ช” “ค่ะคุณพอร์ช” “เอาไปตรวจคำผิด” เขายื่นแฟ้มเอกสารมาให้ฉันพร้อมคำสั่งแรกของงาน นั่นคือตรวจคำผิด ฉันถือแฟ้มที่ได้รับมอบหมายออกมานั่งโต๊ะประจำตำแหน่งด้านนอกอย่างขะมักเขม้น เมื่อเปิดแฟ้มมาหน้าแรกมีโพสอิทสีเหลืองแปะอยู่พร้อมข้อความในกระดาษว่า ยิ้ม ด้วยความสงสัยฉันจึงหยิบโพสอิทแผ่นนั้นเดินเข้ามาหาเขาที่ห้องทำงานอีกครั้ง “บอสคะ เอ่อ คุณพอร์ชคะ คุณยิ้มอยู่แผนกไหนเหรอคะถ้าหยาตรวจทานเสร็จจะได้ส่งให้คุณยิ้มถูกค่ะ” “หยา ซื่อบื้อ” “คะ?” ร่างสูงเอื้อมไปหยิบแฟ้มแล้วกวักมือเรียกฉันให้เข้าไปหา ทันทีที่ประชันหน้ากันเขาก็ชี้มาที่สันแฟ้มซึ่งมีกระดาษสอดอยู่ “นี่ชื่อแผนก” “อ๋อ ชื่อแผนกอยู่ตรงสันของแฟ้มนี่เอง เข้าใจแล้วค่ะ แล้วยิ้ม..” “ยิ้มคือคำสั่ง” เขาสั่งให้ฉันยิ้มเหรอ? ถ้าชอบเห็นคนอื่นยิ้มแล้วทำไมตัวเขาเองไม่ยิ้มบ้างล่ะ หรือทำงานเครียดเลยยิ้มไม่ออก? เขายืนจ้องหน้าเหมือนคาดหวังอะไรจากฉันอยู่สักอย่าง อ่อ ให้ยิ้มใช่ไหม? “อย่างนี้เหรอคะ ” ฉันทำหน้ายิ้มแป้นให้เขาเพื่อจะได้ทำให้พอใจแล้วเลิกจ้องฉันสักที แต่จังหวะนั้นเขาก็โน้มหน้าลงมาใกล้ฉันจะปลายจมูกแทบจะชนกันซึ่งทำให้ฉันตกใจและรีบหุบยิ้มทันที “ปั้นหยาน่ารัก” “เอ่อ งั้น..ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” END TALK
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD