INTRODUCTION

1402 Words
PORSHE TALK ชีวิตอิสระผมหมดลงทันทีที่เท้าเหยียบประเทศไทย... ผมมาเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ไฮสคูลจนตอนนี้เรียนจบปริญญาโทด้านบริหารแล้ว ถามว่าทำไมผมถึงไม่เรียนที่ไทย? นั่นก็เพราะว่าผมโดนกดดันจากครอบครัวทุกๆอย่างทุกย่างก้าวของผมต้องตรงตามกรอบที่พวกท่านวางไว้ ผมเลยดิ้นรนที่จะออกมาจากตรงนั้นโดยมาอยู่ต่างประเทศหลายปีเพื่อหาความสุขให้ตัวเอง “พอร์ชจะออกไปไหนลูก” “เอ่อ..” “อย่ากลับบ้านเกินสามทุ่มนะ” “ครับ” พ่อผมตามใจผมมากแต่ก็ต้องยอมให้แม่อยู่ดีในความเจ้ากี้เจ้าการทุกๆเรื่องในบ้าน ผมจะพยายามทำงานอย่างมีความสุขก็แล้วกัน อย่างน้อยก็กลับมาบริหารบริษัทแทนพ่อ ธุรกิจของครอบครัว มันถึงเวลาที่ผมต้องรับผิดชอบงานพวกนี้สักที ผมขับรถเล่นไปเรื่อยจนรู้สึกกระหายน้ำเลยแวะที่ปั๊มน้ำมันเพื่อจะเข้าไปนั่งดื่มกาแฟเย็นๆสักแก้ว กุ๊งกิ๊ง เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นทันทีที่ผมผลักประตูร้านเข้ามาก่อนที่จะได้ยินเสียงใสพูดจาช้าๆยานๆผมจึงหันไปมอง เธอเป็นพนักงานหน้าเคาท์เตอร์เจ้าของเสียงใสนั่นเอง “รับอารายดีคะ?” “คาปูชิโน่” “คาปูชิโน่ร้อนน้าค้า” “ปั่น” “เชิญนั่งที่โต๊ะค่าเดี๋ยวฉันเอาปายเสิร์ฟให้” นี่คนหรือซอมบี้? สังเกตุจากรอยคล้ำของถุงใต้ตาบวกกับสายตาลอยๆนั่นทำให้ผมรู้ว่าเธอพักผ่อนน้อยมากหรืออาจจะยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำร่างกายถึงสั่งงานช้าขนาดนี้ จะหยิบจับอะไรก็ช้าไปหมด ผมนั่งรอน้ำที่สั่งก็มองเธอไปพลางๆไม่นานเธอก็ถือแก้วน้ำมาเสริฟให้ผม หน้ากลมๆของเธอคลี่ยิ้มให้ผมเล็กน้อยแล้ววางแก้วไว้บนโต๊ะ ทั้งร้านมีพนักงานคนเดียวหรือไงเนี่ยเห็นทำทุกอย่างเลย หลังจากเอาน้ำมาให้ผมเธอก็ไปกวาดพื้นต่อ “ปั้นหยาออกงานได้แล้วไปเดี๋ยวส้มก็มาต่อกะแล้ว ขอบใจมากที่อยู่ควบกะแทนเพื่อนตั้งสองวันไม่งั้นเฮียไม่มีพนักงานนะเนี่ย แล้วมีงานต่อรึเปล่าคืนนี้?” “มีค่ะเฮีย งั้นหยาไปก่อนนะคะ” ทั้งร้านมีแค่ผมเป็นลูกค้าคนเดียวผมก็ไม่รู้จะสนใจอะไร เลยทำให้สนใจบทสนทนาระหว่างสองคนนั้นซะงั้น ว่าแต่ทำงานสองวันไม่ได้พักแล้วยังจะไปทำงานต่ออีกเหรอเธอเนี่ย จะใช้ร่างกายหนักไปถึงไหนกัน ไม่นานเธอก็สะพายกระเป๋าออกจากร้านแล้วควบมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าร้านก่อนจะขับออกไป ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรยังคงนั่งชิลอยู่ในร้านกาแฟต่อไปจนกระทั่งน้ำหมดแก้วเลยเดินออกมา จริงๆที่ผมออกมาจากบ้านผมก็ไม่รู้จะไปไหนหรอก ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่สักเท่าไหร่แค่รู้สึกว่าอยู่บ้านมันน่าเบื่อ พ่อผมไปดูงานต่างประเทศแล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆเห็นว่าจะไปนานสี่ห้าเดือน ผมอยู่กับแม่ทุกวันผมคงเบื่อตายชักถ้าไม่หาอะไรทำ กว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทก็ตั้งอาทิตย์หน้าเพราะแม่บอกให้ผมพักผ่อนอยู่บ้านก่อนสักอาทิตย์นึง สุดท้ายผมก็มานั่งเหม่อลอยอยู่สวนสาธารณะตอนหัวค่ำแบบนี้อย่างไร้ที่ไป รอเวลาใกล้สามทุ่มค่อยกลับบ้าน ชีวิตคนอายุเกือบสามสิบของผมไม่ได้ต่างจากเด็กสองขวบเลย ที่นี่ยิ่งดึกคนยิ่งคึกคักเพราะรอบนอกมีของขายริมฟุตบาตร เอ๊ะ นั่น!! ผมเพ่งมองไปยังอีกฟากหนึ่งของสวนสาธารณะพบผู้หญิงพนักงานร้านกาแฟคนนั้นเดินเอากล่องข้าวมาให้ขอทานคนหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแถมยังนั่งป้อนข้าวด้วยเพราะคุณลุงขอทานคนนั้นแขนพิการ จะมีสักกี่คนกันที่จะทำอะไรแบบนี้ ยัยเด็กนั่นคงพักอยู่แถวนี้สินะ เหอะ บังเอิญดีจริงๆ ผมเบือนหน้าหนีเมื่อเธอหันมามองทางผม นี่ก็ใกล้เวลากลับบ้านแล้วผมจึงลุกออกมาขับรถกลับบ้านทันที ถึงบ้านสามทุ่มเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน ผมเดินเข้าบ้านแล้วย่ำเท้าขึ้นห้องอย่างรวดเร็ว “คุณพอร์ชครับ เอกสารที่สั่งผมเอาไว้ที่ห้องทำงานแล้วครับ” อ่อ ผมจะปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์การรับสมัครพนักงานบริษัทนิดหน่อยเพราะของเดิมวิสัยทัศน์และข้อจำกัดมันแคบเกินไป ผมเลยขอคัดคนที่มาสมัครรอบใหม่ด้วยตัวเอง “แม่ไม่อยู่เหรอ?” “คุณนายไปบ่อนกับเพื่อนครับ” ก็ตามนั้นแหละ แม่ผมติดการพนันจนถอนตัวไม่ขึ้น... พอรู้ว่าแม่ไม่อยู่บ้านผมก็ค่อยโล่งอกหน่อย ไม่งั้นคงบังคับให้ผมไปอาบน้ำนอนก่อนห้าทุ่มแน่ๆ ผมมานั่งอยู่ที่ห้องทำงานเปิดดูเอกสารคนที่เข้ามาสมัครงานซึ่งล็อตล่าสุดมีไม่กี่สิบคนเองใช้เวลาไม่นาน จนมาถึงกระดาษแผ่นหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าผมเจอเนื้อคู่เข้าแล้ว... เธอชื่อปั้นหยา ผู้หญิงที่ผมเจอวันนี้ถึงสองครั้ง ผมมีทฤษฎีรักของผมอยู่ข้อนึงคือ หากเจอผู้หญิงแปลกหน้าสามครั้งภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงคนนั้นคือรักแท้ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะผมไม่เคยเจอใครถึงสามครั้งในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเลยสักคน ถึงครั้งที่สามจะผ่านแผ่นกระดาษใบสมัครงานแต่ผมนับว่าเจอเพราะมันก็คือตัวแทนของเธอ จีบ! แบบนี้ผมต้องจีบคุณเนื้อคู่ของผมซะให้อยู่หมัด นี่ผมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้วกับการมีแฟนคนแรก เพิ่งรู้ว่าตัวผมเองก็มีเนื้อคู่กับเขาเหมือนกัน ผมเป็นคนพูดน้อยไม่รู้ว่าเธอจะโอเคไหมแต่ถ้าพูดด้วยปากไม่รู้เรื่องก็ขอปล้ำเลยแล้วกัน ผมเอวดีมากนะเธอน่าจะชอบ อ่านประวัติของเธอแต่ละบรรทัดอย่างลวกๆแต่ผมสนใจส่วนนี้มากกว่า ส่วนที่บอกว่าเธอทำงานที่ไหนอยู่บ้าง และผมก็พาตัวเองออกจากบ้านแล้วไปยังร้านข้าวต้มโต้รุ่งแห่งนั้นตามเวลาที่เธอกรอกว่าเวลานี้เธอทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ทันทีที่จอดรถผมก็มองหาเธอผ่านกระจกรถเข้าไปในร้าน เห็นเธอถือถาดอาหารยืนคุยกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ ผมต้องลงไปหาเธอ แต่ขณะนั้นเองทีวีก็ออกข่าวผมพอดีที่ว่าลูกชายนักธุรกิจดังกลับมาบริหารงานในฐานะประธานบริษัท “อุ้ย คนนี้ฉันเคยเห็นแก วันนี้เขามานั่งดื่มกาแฟที่ร้านด้วย โห่ ถ้ารู้ว่าคนดังนะฉันจะขอถ่ายรูปไปติดหน้าร้านสักหน่อย” “อยากมีแฟนหล่อรวยแบบนี้เนอะ ถ้าแกมีแฟนแบบนี้คงสบาย” “อืม ถ้ามีแฟนหล่อรวยแบบนี้ไอ้ปั้นหยาคนนี้จะยอมพลีกายถวายชีวิตเลยเอ้า!!! ฮ่าๆๆๆ” นี่เธอกำลังปูทางให้ผมอยู่ใช่ไหม? “ผมชื่อพอร์ช” “เห้ยยยยยย!! คุณ!!” “เป็นแฟนคุณ” “ฟะ แฟนฉันเหรอคะ? คุณพูดอะไรของคุณเราไม่ได้รู้จักกัน” “ผมชอบคุณ” เธอหน้าเหวอไปเลยรวมถึงเพื่อนเธอด้วยที่มองสลับหน้าผมกับข่าวในทีวี ลูกค้าโต๊ะข้างๆหัวเราะคิกคักจนเธอทำหน้าไม่ถูก ผมเป็นคนตรงๆ คิดอะไรก็พูดแต่อาจจะพูดน้อยหน่อยเท่านั้นเอง “คุณจะมาชอบฉันได้ยังไงคะ เราไม่รู้จักกัน” “เพิ่งชอบเมื่อกี้” “....” “ผมชื่อพอร์ช” “....” “เป็นแฟนคุณ” ย้ำสิ่งที่ผมต้องขับรถมาบอกอีกครั้งให้เธอรู้ นี่ผมพูดอะไรผิดเหรอทำไมเธอถึงจ้องหน้าผมแบบนี้? กว่าผมจะเจอผู้หญิงที่ผ่านทฤษฎีรักก็อายุยี่สิบหกแล้วเรื่องอะไรผมจะปล่อยเธอไป END TALK
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD