บทที่1 กักตัว 50%
๑
กักตัว
“โอ๊ย ครบสิบสี่วันสักที พรุ่งนี้จะได้ไปทำงานแล้ว เย้ ๆ” มนัสชนกกระโดดโลดเต้นอยู่ในคอนโดห้องขนาดสามสิบสองตารางเมตร ที่แทบจะไม่มีที่ให้เดินเหินไปไหนได้ นอกจากเดินวนไปวนมาอยู่รอบเตียง
เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของเธอก็ไม่รู้ที่ดันได้รางวัลตั๋วฟรีจากบริษัทเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ฮอกไกโดในฐานะพนักงานซึ่งทำยอดขายสูงสุดของเดือน ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นเริ่มจะเข้าสู่วิกฤติโคโรน่าไวรัส และวันที่เธอออกเดินทางเป็นวันเดียวกับที่รัฐบาลมีคำสั่งว่าให้คนที่กลับจากประเทศเสี่ยงต้องกักตัวเป็นเวลาสิบสี่วัน
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยเธอจึงโดนบริษัทสั่งให้กักตัวตามคำสั่งรัฐบาล เนื่องจากเป็นบุคคลที่สร้างความหวาดระแวงให้เพื่อนร่วมงานว่าอาจจะไปแพร่เชื้อโรคระบาด เวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมาจึงกลายเป็นความทุกข์ระทมอย่างสาหัสที่ทำให้หญิงสาวซึ่งชอบทำงานและเดินทางไปโน่นมานี่ตลอดเวลาต้องมาอยู่นิ่ง ๆ มีเพื่อนเป็นนกกระจิบที่ชอบบินมาเกาะขอบระเบียง บางทีก็บินมาชนกระจกให้เธอตกใจตื่น และทีวีที่เอาแต่ถ่ายทอดเรื่องราวของโคโรน่าไวรัสอย่างบ้าคลั่ง
ชีวิตช่วงนี้เธอแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องโลกอินเทอร์เน็ต ดูซีรีส์ที่เคยอยากดูแต่ไม่มีเวลาดูไปเจ็ดแปดเรื่องแล้ว บุคคลที่เธอได้พบทุกวันก็คือพนักงานส่งอาหารที่รับเงินจากเธออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วรีบเผ่นทันที
“โทร. หาบอสสุดหล่อดีกว่า” ว่าแล้วก็ยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีที่พรุ่งนี้จะได้ออกไปใช้ชีวิตตามปกติสักที
“ฮัลโหล บอสหรือคะ พรุ่งนี้แอมจะไปทำงานแล้วนะคะบอส จะเอาของฝากจากฮอกไกโดไปให้ด้วย” เธอจีบปากจีบคอคุยกับเจ้านายหนุ่มที่ให้รางวัลตั๋วฟรีกับเธอ แล้วเดินวนรอบเตียงไปมาด้วยใบหน้าระรื่น
“ไม่ต้องมาหรอก เพราะต่อไปเราจะ work from home กันแล้ว”
“Work from home!” หญิงสาวขึ้นเสียงสูง
“ใช่ ผมกำลังจะเข้าประชุมกับทุกคนว่าเราจะ work from home แบบวันเว้นวันหรือจะทุกวันจนกว่าเชื้อโรคจะหายไปจากประเทศไทยดี แล้วคุณก็ต้องกักตัวต่ออีกเจ็ดวันด้วย เพราะเพื่อน ๆ ที่บริษัทเขายังไม่วางใจ”
“กักตัวต่ออีกเจ็ดวัน! โธ่ บอสคะ แอมอยู่แต่ในห้องจนจะเป็นง่อยแล้วนะคะ นอกจากมีอาการจะเป็นโรคประสาทแล้ว แอมไม่ได้มีอาการป่วยไข้อะไรเลยค่ะ ให้แอมไปเริ่มงานพรุ่งนี้นะคะ ทำวันเว้นวันก็ได้ค่ะ” หญิงสาวต่อรอง
“ไม่ได้ นอกจากเพื่อนร่วมงานคุณจะกลัวแล้ว ผมก็กลัวด้วย”
“ห๊า บอสก็กลัวด้วยหรือคะ” มนัสชนกนั่งจ๋องลงบนขอบเตียงที่ปูด้วยผ้าปูเตียงสีม่วงหม่น ด้วยอารมณ์ที่หม่นหมองไม่น้อยกว่าสีผ้าปูเตียง
“ใช่ มีใครบ้างล่ะจะไม่กลัว ผมมีพ่อแม่ที่อายุมากแล้วด้วย ต้องระวังตัวให้มาก” คนเป็นเจ้านายว่ามา
“แล้วแอมจะต้องอยู่บ้านอีกนานเท่าไรคะ” เธอถามเสียงอ่อนลง
“ไว้ผมออกจากห้องประชุมแล้วจะโทร. บอกก็แล้วกัน”
“โธ่ ที่แอมเป็นแบบนี้ก็เพราะบอสเลยนะคะ ถ้าบอสไม่ให้ตั๋วฟรี แอมก็คงไม่กลายเป็นตัวเชื้อโรคแบบนี้หรอก” เธอรำพึงรำพัน พร้อมกับได้ยินเสียงถอนใจระอาจากเจ้านาย
“แต่ตอนผมให้ตั๋วคุณ ไม่เห็นคุณจะคัดค้านอะไรเลยนะคุณมนัสชนก เห็นดีใจกระโดดโลดเต้นเป็นลิงเป็นค่างที่ได้รางวัล อยู่ที่บ้านไปก่อน ผมรู้สึกปลอดภัยแล้วจะให้กลับมาทำงานเอง”
เสียงเจ้านายดังจบประโยคก็วางหู โดยที่เธอไม่มีสิทธิ์จะคัดค้านอะไรอีก มนัสชนกทำหน้าหงอยเป็นไก่ติดโรค มือที่ถือสมาร์ตโฟนอยู่ตกลงข้างตัว หันมองเพื่อนเพียงตัวเดียวผ่านบานกระจกใสที่เพิ่งบินมาเกาะขอบระเบียง
“โอ้ยยยยยยยยย!” เธอตะโกนเสียงดังลั่นแล้วหงายหลังทิ้งตัวลงบนเตียงนอน เพื่อนนกกระจิบผวาบินหายลับไป
มนัสชนกงัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของสมาร์ตโฟนที่ดังอยู่ข้างตัว เธอรีบรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายโทร. มา ด้วยที่ทำงานของเธอเป็นบริษัทที่เติบโตจากบริษัทเล็ก ๆ ที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีพนักงานอยู่เพียงไม่กี่คน การทำงานจึงค่อนข้างใกล้ชิดกันเหมือนพี่น้อง
ทุกคนสามารถติดต่องานผ่านธีร์ธวัชซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทหนุ่มได้โดยตรง แม้ว่าจะมีหัวหน้าแผนกต่าง ๆ อยู่แล้วก็ตาม และเธอก็เป็นพนักงานรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ในขณะนั้นบริษัทมีพนักงานเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปหกปีกว่าบริษัทก็เติบโตขึ้น
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาธีร์ธวัชกลายเป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้มากมายเข้ามาในบริษัท เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความสัมพันธ์ในระหว่างการทำงานก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม เธอยังคงทำงานกับเจ้านายด้วยความสนิทสนม
กระทั่งตอนนี้เธออายุยี่สิบแปดปีแล้ว จึงกลายเป็นพนักงานรุ่นพี่ที่คนเข้ามาใหม่ต้องให้ความเกรงใจ
“สวัสดีค่ะ บอสมีข่าวดีจะบอกแอมใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามเสียงสดใสขึ้นอย่างมีความหวัง
“ใช่ ผมแค่จะโทร. มาบอกข่าวดีว่า คุณไม่ต้องกักตัวต่ออีกเจ็ดวันแล้ว”
“ไม่ต้องกักตัวต่อ เย้! บอสจะให้แอมกลับไปทำงานแล้วใช่ไหมคะ” ถามเสียงรัว
“เปล่า จะบอกคุณว่าที่ประชุมมีมติให้ทุกคนทำงานจากที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อรักษาระยะห่าง ป้องกันการติดเชื้อ แม้ว่าช่วงนี้รัฐบาลยังไม่ประกาศเข้าระยะสามแต่สถานการณ์เริ่มหนักขึ้นแบบนี้ผมไม่อยากเสี่ยง
ส่วนคุณก็ไม่ต้องออกไปพบลูกค้าเหมือนที่ผ่านมา ให้เน้นการขายออนไลน์เป็นหลัก และเริ่มทำงานได้ตั้งแต่วันนี้เลย สบายใจแล้วใช่ไหม ที่ได้ทำงานเสียที เดี๋ยวผมจะส่งลิงก์ให้คุณโหลดแอปพลิเคชันที่จะให้คุณทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
คนเป็นเจ้านายร่ายยาวเสียงสดใส ขณะคนที่ฟังอยู่อ้าปากค้าง ก่อนจะส่งเสียงถามแผ่ว ๆ ว่า
“โหลดแอป...หรือคะ...”
“ใช่ ฝ่ายไอทีเพิ่งจะนำมาให้ทุกคนทดลองใช้วันนี้เอง ต่อไปคุณจะทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ยกเว้นที่ออฟฟิศ” คนเป็นเจ้านายประกาศชัดเจน
“ทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ หมายถึง...แอมจะออกไปทำงานที่ไหนก็ได้ โดยที่ยังได้เงินเดือนเท่าเดิม และไม่ต้องโดนกักตัวต่อด้วยใช่ไหมคะ”
หญิงสาวทวนซ้ำไปซ้ำมาอย่างงุนงง
“ใช่ คุณก็รับผิดชอบต่อสังคมไปแล้วนี่ กักตัวครบสิบสี่วันตามประกาศของรัฐบาลแล้ว จากนั้นคุณก็ทำงานที่บ้านต่อเลย เพราะตอนนี้ทุกคนทำงานที่บ้านกันหมด ไม่มีใครอยู่ออฟฟิศหรอก คุณไม่ต้องเข้ามา”
“บอสไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้ แอมรู้แล้วน่าว่าบอสกลัว”
หญิงสาวทำเสียงละห้อย เมื่อรู้ว่าอดเห็นหน้าหล่อ ๆ ของเจ้านายที่เธอตามแอ๊วมาร่วมหกปีแต่เขาไม่เคยชายตาแล เพราะเห็นเธอเป็นเพียงพนักงานสติไม่เต็มเต็งคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากวางสายเธอก็เห็นข้อความของเจ้านายเด้งขึ้นมาที่หน้าจอ จึงรีบไปเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โหลดแอปพลิเคชันที่เจ้านายส่งลิงก์มาให้ เธอนั่ง ๆ นอน ๆ เรียนรู้การใช้งานของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
วันนี้เธอยังออกไปไหนไม่ได้ เพราะยังไม่ครบสิบสี่วันเต็ม จึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากดเลือกรายการอาหารจากแอปพลิเคชันซึ่งใช้บริการมาแล้วทุกค่ายไม่ว่าจะเป็นแกร็บฟู้ด ไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า หรืออื่น ๆ
เมื่อกดสั่งเสร็จก็วางสายลงขณะเดียวกับที่เสียงเรียกเข้าของสมาร์ตโฟนดังแทรกขึ้นมา หญิงสาวหยิบขึ้นมาดูแล้วคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นสายจากมารดาที่อยู่ภาคใต้ ซึ่งคอยโทร. มาส่งกำลังใจให้เธอทุกวัน
“ค่ะแม่ วันสุดท้ายแล้วค่ะ พรุ่งนี้แอมก็ไม่ต้องกักตัวแล้วค่ะ”
หญิงสาวบอกกับมารดาที่คอยถามด้วยความเป็นห่วงอยู่ทุกวัน
“งั้นหนูก็ไปทำงานได้แล้วสินะ”
“เจ้านายยังไม่ให้กลับไปทำงานเลยค่ะแม่ ตอนนี้เขาให้แอมทำงานที่บ้านต่ออีกเดือน แอมเบื่อจะตายอยู่แล้วค่ะ อยู่แต่ในห้องแคบ ๆ ทั้งวัน”
“เขาให้ทำงานที่บ้านหรือลูก งั้นกลับมาทำที่บ้านเราก็ได้นี่ลูก หนูจะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง แม่คิดถึงจะแย่แล้ว” พวงผกาผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น ทำให้ดวงตาของผู้เป็นลูกสาวเปล่งประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง
“นั่นสิคะแม่ บอสบอกว่าทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ งั้นแอมก็กลับไปอยู่บ้านได้สิ ใช่ไหมคะแม่” หญิงสาวกล่าวเสียงสดใสขึ้นมาทันที
“มาสิลูก แม่จะเตรียมของอร่อย ๆ ไว้ให้หนูกิน”
“งั้นแอมกลับพรุ่งนี้เลยนะคะแม่ แค่นี้ก่อนนะคะ แอมจะรีบจองตั๋วเครื่องบินแล้วไปจัดกระเป๋าค่ะ” วางสายจากมารดาแล้วรีบเปิดแอปพลิเคชันสำหรับจองตั๋วเครื่องบิน เมื่อจองตั๋วเรียบร้อย ก็เดินผิวปากไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาแล้วเอาของทุกอย่างที่จำเป็นใส่กระเป๋า
เธอต้องเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัดถึงหนึ่งเดือน ข้าวของจึงเยอะมากกว่าปกติ เนื่องจากที่บ้านไม่มีของส่วนตัวของเธอมากนักเพราะมาใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานับสิบปีแล้ว