ตอนที่ 1 -ยัยอินโนเซนต์-
ณ บ้านที่แสนอบอุ่นของบัลเล่ย์
06.00 น.
“ยัยหนูลูก ตื่นได้แล้วนะ วันนี้ไปมหาลัยวันแรกนะลูก เดี๋ยวก็ไม่ทันเข้างานต้อนรับน้องใหม่หรอก" เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน
“ค่า แม่ ตื่นแล้วค่า” ( ̄ー ̄) ร่างเล็ก ๆ ขยับไปมาบิดขี้เกียจอย่างเชื่องช้า พยายามลืมตาตื่นหลังจากที่นอนดึกมาตลอดทั้งปิดเทอม เพราะติดดูซีรี่ย์หนักมาก
ฉันชื่อ บัลเล่ต์ค่ะ เด็กสาวอายุ 19 ปี ลูกสาวคนเดียวของบ้านนี้ ฉันเพิ่งเรียนจบม.6 และก็กำลังจะได้เป็นนักศึกษาน้องใหม่คณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง พูดแล้วก็ตื่นเต้นอ่ะ (*≧∇≦*) เพราะตั้งแต่เล็กจนโตพ่อกับแม่ส่งให้ฉันเรียนแต่โรงเรียนหญิงล้วนมาตลอดเลย แถมไปรับไปส่งทุกวัน ถ้าไปไหนพ่อแม่ก็ต้องไปรับไปส่งตลอด เพื่อนผู้ชายก็ไม่ให้คบ เพราะอะไรน่ะเหรอ -..- ก็เพราะว่าพ่อหวงฉันมากเลยน่ะซิ แล้วแม่ก็สนับสนุนพ่อมาตลอดเพราะไม่อยากให้ฉันมีแฟนจนกว่าจะเข้ามหาลัย (* - -)
“แม่ทำข้าวเช้าไว้ให้แล้วนะ วางอยู่บนโต๊ะ แล้วนี่รู้ใช่ไหมว่าต้องนั่งรถอะไรไปมหาลัย แม่กับพ่อไปทำงานก่อนนะจ๊ะ โชคดีลูกสาวคนสวยของแม่” แม่เดินเข้ามากอดแล้วหอมฉันฟอดใหญ่ก่อนจะออกไปทำงาน
“แล้วถ้ามีใครมาจีบบอกมันไปเลยนะว่าพ่อเราดุมาก เข้าใจ๊” พ่อกำชับฉันอย่างติดตลก
“ค่า รับทราบค่ะคุณพ่อ ถ้าใครเข้ามาจีบหนูจะแกล้งทำเป็นใบ้ใส่เลยค่ะ =..=” ฉันตอบพ่อกลับไปแบบติดตลกเหมือนกัน พ่ออดยิ้มกับความทะเล้นของฉันไม่ได้พร้อมโบกมือลาก่อนออกไปทำงานพร้อมกับแม่
เฮ้อ...พอไม่มีพ่อกับแม่ไปรับไปส่งเหมือนแต่ก่อนแล้วก็รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ ใจนึงก็รู้สึกไปกับพ่อแม่ก็สบายดีไม่ต้องไปเบียดกับใคร ได้นั่งตากแอร์เย็น ๆ แต่อีกใจก็รู้สึกพ่อแม่เริ่มให้อิสรภาพกับฉันบ้างแล้ว จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ตัดสินใจเองอะไรเองได้บ้างซะที (-^〇^-)
9.15 น.
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
“ ตาย ๆ ๆ O__o งานต้อนรับน้องใหม่ จะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมงนี่แล้วด้วย จะไปทันไหมเนี่ย ” ฉันที่กำลังวิ่งแข่งกับเวลาย้อนกลับไปทางมหาลัยเพราะนั่งหลับบนรถไฟฟ้าจนเลยมาสองสถานี “ โอ๊ยยยยย!! ถึงซะที เหนื่อยจังเลยโว้ย พ่อจ๋าแม่จ๋าแม่รับส่งหนูเหมือนเดิมเหอะ T^T ”
◕0◕ ดวงตาแป๋วแหว๋วของฉันเบิกโพรงขึ้นมาทันที หลังจากที่วิ่งมาถึงทางเข้ามหาลัย เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือโลกใบใหม่ เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะได้อยู่ในรั้วมหาลัยที่มีผู้ชายเยอะแยะมากมาย หนุ่ม ๆ ที่ทั้งตี๋ขาวหล่อ ทั้งไทยคมเข้ม ไหนจะลูกครึ่งฝรั่งตาน้ำข้าวก็มี ละลานตาไปหมด
ใครจะไปคิดว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่แต่กับสังคมโรงเรียนหญิงล้วนมาโดยตลอด อยู่มาวันหนึ่งจะได้มาเรียนร่วมกับเพศตรงข้ามที่เยอะแยะมากมายขนาดนี้ ฉันรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าอยู่ในใจมิใช่น้อย “ ไม่ ๆ เราต้องไม่ตื่นเต้นซิบัลเล่ต์ นั่นก็แค่ผู้ชาย ตั้งสติไว้ ก็แค่ผู้ชาย เธอโตแล้ว เธอต้องมีสตินะ ฮึบ ๆ ”
ฉันให้กำลังใจตัวเองอย่างมุ่งมั่น แล้วเดินก้าวฉับ ๆ เข้าไปในมหาลัยอย่างมั่นใจ เสียงประกาศจากหอประชุมดังขึ้นเรียกหานิสิตใหม่เพราะได้เวลาเข้าหอประชุมเพื่อเปิดงานต้อนรับ น้องใหม่แล้ว
“ น้องใหม่คณะนิเทศมารวมตัวกันตรงแถวหน้าตึกคณะตรงนี้นะค้าบบบบบบ”
ฉันที่มาเกือบไม่ทันเข้างาน มองหาป้ายคณะตัวเองตามเสียงเรียกของรุ่นพี่ ที่ประกาศแข่งกันเรียกรุ่นน้องของตัวเองให้มาเข้าแถวคณะกันเสียงโหวกเหวก พวกน้องใหม่ก็เดินหาแถวคณะของตัวเองวุ่นวายกันไปหมด
“ คณะนิเทศอยู่ไหนว้า (หันซ้าย O_o? หันขวา o_O?) อ๊ะ!!นั่นไงป้ายคณะนิเทศเจอแล้ว “
ตุ้บ ผลั่ก โอ๊ย…
จู่ ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้เดินชนฉันจนเซหกล้มลงมาไม่เป็นท่า แต่เดชะบุญ หรือเดชะบาปก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เพราะฉันล้มทับใครบางคนเข้าให้ด้วย มือเล็ก ๆ ของฉันกำลังจับแผงอกกำยำของเขาอยู่ ให้ตายซิ ฉันหลับตาปี๋ไม่กล้าสบตากับเจ้าของแผงอกกว้างที่ตอนนี้ร่างของฉันกำลังล้มทับเขาอยู่ทั้งตัว
“>-0” ฉันค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมองอย่างช้า ๆ พอสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ ก็ได้เห็นเต็มสองตาว่ากำลังล้มทับใครอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของแผงอกล่ำกำลังใช้สายตาคมคายมองต่ำลงมายังฉันที่ยังนอนทับแถมมือยังจับคาอกของเขาอยู่
“จะนอนทับผมอยู่แบบนี้อีกนานไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาจนเธอต้องรีบลุกขึ้นจากตัวเขา
“อะ...อุ้ย! ขะ...ขอโทษค่ะ” ฉันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วออกจากร่างของชายหนุ่มผู้ที่ดูไม่เป็นมิตรอย่างแรง เมื่อฉันลุกขึ้นกลับมายืนเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นยืนตามมาติด ๆ พลางใช้มือปัดเศษฝุ่นเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้าและกางเกงออกอย่างหัวเสีย
“พี่เป็นอะไรไหมคะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ เมื่อกี้ใครก็ไม่รู้เดินมาชน...” ฉันพูดยังไม่ทันจบประโยคดี เขาก็ยกมือเรียวยาวทั้งห้านิ้วขึ้น เป็นสัญลักษณ์เชิงว่าไม่ต้องการฟังคำอธิบายใด ๆ ออกจากปากของฉันที่ตอนนี้กำลังกลืนคำอธิบายทั้งหมดลงคอไป เหลือเพียงแววตากลมโตที่เป็นประกายเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่แฝงไปด้วยความใสซื่อที่พยายามแสดงเจตนาว่าไม่ได้ตั้งใจให้อุบัติเหตุเมื่อครู่นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ
“พี่คะ ที่ข้อศอกพี่มีแผลด้วย เลือดออกใหญ่เลย” ฉันสังเกตเห็นเลือดที่ไหลออกจากข้อศอกของพี่เขาถึงแผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมาคงจะแสบน่าดู ฉันกำลังจะยื่นทิชชู่ให้พี่เขาเอาไว้ซับเลือด แต่เขากลับไม่รับมันไว้
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้คงเป็นวันซวยของผมเองแหละ” เขาพูดทิ้งท้ายด้วยสีหน้าที่ราบเรียบแบบไม่ได้สนใจเลยว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร และเดินจากไปแบบไม่แยแสเลยสักนิด ปล่อยให้ฉันยืนอึ้งกับถ้อยคำและสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็งของเขา
“อะไรของเขาวะ คนขอโทษก็ไม่ยอมรับคำขอโทษ แถมยังพูดจาเย็นชาใส่อีก หล่อซะเปล่า ใครได้เป็นแฟนนี่ช้ำใจตาย” ฉันบ่นพึมพำอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ว้าย!! จะเข้างานรับน้องสายแล้วเหรอเนี่ย” ฉันรีบวิ่งออกจากจุดเกิดเหตุเมื่อครู่ แล้วมุ่งไปยังแถวคณะของตนเองที่ขณะนี้มีน้องใหม่มากมาย กำลังทยอยนั่งเรียงตามแถวกันอยู่
“สวัสดีค้าบบบบบ น้องใหม่คณะนิเทศทุกคน กิจกรรมแรกวันนี้พวกพี่จะแจกป้ายชื่อให้กับน้อง ๆ ก่อนนะครับ ใครได้ป้ายห้อยชื่อแล้วให้เขียนชื่อตัวเองลงไปได้เลยนะครับ จะได้เรียกชื่อกันถูก” รุ่นพี่คนหนึ่งอธิบายการเข้าร่วมกิจกรรมของช่วงเช้าวันนี้อยู่หน้าแถว รุ่นน้องทุกคนพอได้ป้ายชื่อแล้วก็ต่างคนต่างเขียนชื่อเล่นของตนเองลงไป บ้างก็เริ่มที่จะถามไถ่ชื่อกันและกัน บ้างก็เม้าท์มอยกันอย่างออกรสออกชาติ ทำให้บรรยากาศงานรับน้องดูคึกครื้นขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
กิจกรรมในช่วงเช้าดำเนินไปอย่างสนุกสนาน รุ่นน้องแต่ละคนออกไปแนะนำตัวกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เอกการแสดงที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รวมตัวของคนที่ชอบเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์กันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใครครีเอทอะไรได้ก็ใส่หนักจัดเต็มกันอย่างสุดพลัง พอถึงตาตัวฉันเอง ฉันก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบเหมือนกัน รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยตัวตนออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เมื่อน้องใหม่ทุกคนแนะนำตัวกันจนครบหมดแล้ว พวกรุ่นพี่ยังคงตีกลองทอมบ้ากันอย่างต่อเนื่อง เป็นอันรู้กันว่าให้น้อง ๆ ออกมารวมตัวกันเต้นต่อได้ ทุกคนเฮฮาปาร์ตี้ปล่อยตัวตนกันอย่างเป็นอิสระ กิจกรรมนี้ถือเป็นการละลายพฤติกรรมและกระชับมิตรกันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องของคณะได้เป็นอย่างดี ตัวฉันเองก็เต้นแร้งเต้นกาไปตามจังหวะกลอง หัวเราะกับเพื่อนใหม่ไปจนลืมดูว่า มีใครบางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งก้าว