5.2 ออกอาการ

1315 Words
มธุรสกลับมาถึงบ้านก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อพบว่าผู้เป็นป้าเดินทางกลับมาจากถือศีลโดยปลอดภัย… “คุณป้า…” วางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะห้องรับแขกแล้วเดินเข้าไปกอดเอวของผู้เป็นป้าอย่างดีใจ “คิดถึงคุณป้าจังค่ะ ทำไมกลับช้าจังคะ?” เฟื่องฟ้ายิ้มให้กับหลานสาวเพียงคนเดียวและรักเหมือนลูกสาวในไส้อย่างเอ็นดู “ก็คุณๆ ที่ไปกับป้าน่ะสิ เรียกร้องจะไหว้พระขากลับตามรายทาง ก็เลยถึงบ้านช้ากว่าที่บอกไว้ ว่าแต่หนูเถอะ อยู่คนเดียวเหงาหรือเปล่า?” เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะได้รูปของหญิงสาวเบาๆ “ไม่หรอกค่ะ หวานต้องทำงานทุกวันเลยไม่มีเวลาให้เหงา ว่าแต่เอาบุญมาฝากหวานหรือเปล่าคะนี่?” กระเซ้าเย้าแหย่ผู้เป็นป้าเบาๆ อีกฝ่ายจึงทำท่ากำมือแล้วจับมือหลานสาวแบออกพร้อมกับวางมือของตนที่กำไว้ลงบนฝ่ามือเล็กนุ่มของหลานสาวพร้อมพูดว่า… “ป้าเอาบุญมาฝากนะจ๊ะ ขอให้หนูมีความสุข คิดสิ่งใดสมหวังทุกประการ มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ก็ขอให้หมดสิ้นไปในเร็ววันนะจ๊ะ…” มธุรสยิ้มแป้นเมื่อได้รับคำอวยพรจากเฟื่องฟ้า หญิงสาวพนมมือแนบกลางอกอวบของนางแล้วพึมพำขอบคุณเบาๆ ผู้เป็นป้ายิ้มเอ็นดูแล้วดันร่างเล็กของหลานสาวออก “ป้าซื้อขนมมาฝากด้วยนะจ๊ะ เราไปทานกันดีกว่าป้าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว” สองป้าหลานคุยกันหลายเรื่องระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยถามถึงอัคคี “แล้วคุณเพลิงเป็นยังไงบ้างล่ะพักนี้ นี่ป้าซื้อของมาฝากด้วยนะ ถ้ายังไงหวานช่วยเอาไปให้คุณเพลิงทีนะจ๊ะ” มธุรสรู้สึกอึดอัดที่เฟื่องฟ้าไหว้วาน หล่อนโกรธจนไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ สีหน้าที่นิ่งเฉยและเสียงหวานๆ ที่เงียบลงไปทำให้เฟื่องฟ้าต้องเอ่ยถามหลานสาวด้วยความแปลกใจไม่น้อย “เป็นอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะหวาน ทำไมเงียบไป?” “เอ่อ เปล่าค่ะ หวานไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย” “อ้าว! เป็นนานหรือยังเล่าเนี่ย ถ้าอย่างนั้นไปนอนพักก่อนก็ได้นะ ค่อยยังชั่วแล้วค่อยลงมา” คนอ้างป่วยถูกลูบไล้ไปทั่วทั้งเนื้อตัวและหน้าตาด้วยความเป็นห่วงจากอย่างชัดเจน “เรื่องของฝากก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวป้าจะเป็นคนเอาไปให้คุณเพลิงเองจ้ะ” “ขอบคุณค่ะ งั้นหวานขอตัวขึ้นข้างบนก่อนนะคะ” “จ้ะ ไปเถอะ” มธุรสหอมแก้มคุณป้าฟอดหนึ่งแล้วคว้ากระเป๋าหมุนตัวขึ้นห้องของตน จนกระทั่งเข้ามาภายในห้องนอนหญิงสาวจึงทรุดนั่งลงบนเตียงนุ่มอย่างคนหมดแรง ยิ่งเมื่อคิดถึงคำพูดของอัคคีเมื่อช่วงกลางวันก็ให้เสียใจนัก น้ำตาที่พยายามเก็บกลั้นมาตลอดเวลาครึ่งวันไหลรินอาบแก้ม ร่างบางสะอื้นจนตัวโยนก่อนจะนอนราบไปบนที่นอนด้วยความน้อยใจจนเกินทน “อาเพลิงใจร้าย ทำไมต้องทำร้ายจิตใจกันด้วย” สำส่อน! คำนี้ทำร้ายหัวใจให้แตกสลาย เขาดูถูก เขาเหยียดหยามซ้ำเติม ทำร้ายจิตใจทุกครั้งที่พบหน้า จะมีใครเจ็บช้ำได้เท่าหล่อนบ้างไหม ต้องเสียทั้งตัวเจ็บหัวใจจนแทบกระอักแบบนี้… จวนค่ำ เสียงรถยนต์ดังเข้าไปในบ้านข้างๆ ทำให้เฟื่องฟ้าลุกขึ้นยืนและชะเง้อมองไปยังบ้านของอัคคี เมื่อร่างสูงเจนตาที่โดดเด่นเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนลงจากรถยนต์นางจึงสาวเท้าออกจากบ้านพร้อมกับหยิบของฝากติดมือไปด้วย “คุณเพลิง” เสียงคุ้นหูที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านชะงัก เขาค่อยๆ หันกลับมายังคนเรียกแล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา ความละอายใจแล่นปราดทั่วร่างเมื่อพบกับรอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้า “สวัสดีครับคุณน้า กลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือครับ?” “เพิ่งกลับมาเมื่อสักบ่ายโมงเห็นจะได้จ้ะ นี่น้าซื้อของมาฝากด้วยนะ” ชายหนุ่มรับของฝากจากเฟื่องฟ้าด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ก็พยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไปจากความคิด “ขอบคุณนะครับ” “โอ๊ย ไม่ต้องมาขอบคุณน้าหรอกค่ะ น้าเสียอีกที่ต้องขอบคุณคุณเพลิง ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลยัยหวานให้” ดวงตาคมกริบหลุบลงมองของในมือทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น เขาแทบไม่กล้าสบตาเฟื่องฟ้าเมื่อนางขอบคุณเขา “อย่าคิดมากเลยครับ ว่าแต่กลับมาจากปฏิบัติธรรมคราวนี้คุณน้าดูผ่องใสขึ้นมากนะครับ” เลี่ยงไปเรื่องอื่น คนไม่คิดว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นภายหลังที่จากไปจึงยิ้มด้วยความอิ่มเอมในรสพระธรรม “ก็สบายใจน่ะจ้ะ อ้อ! เย็นนี้เชิญทานข้าวกับน้านะคะ ทำอาหารเผื่อไว้แล้ว รออยู่ว่าเมื่อไรคุณเพลิงจะกลับมา” ร่างสูงชะงักไปนิด แต่เมื่อคิดถึงคนที่เขาปะทะด้วยเมื่อกลางวันก็ตกปากรับคำทันที “ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวทำธุระสักครึ่งชั่วโมงแล้วจะตามไปนะครับ” “จ้า แล้วตามไปเร็วๆ นะคะ” เฟื่องฟ้ากำชับพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ชายหนุ่มยิ้มตอบและรอจนอีกฝ่ายกลับจึงรีบเข้าบ้านพร้อมกับเตรียมตัวสำหรับอาหารมื้อเย็นนี้ เมื่อกลับเข้าบ้านเฟื่องฟ้าก็ตรงเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารตั้งโต๊ะ ซึ่งก็พอดีกับที่มธุรสลงมาจากด้านบน หญิงสาวเข้ามาถึงแล้วส่งเสียงพร้อมสูดจมูกดมกลิ่นอาหารที่โชยฟุ้งไปทั่ว “อื้อหือ… หอมจังเลยค่ะ ทำอะไรบ้างคะเนี่ยหวานชักหิวซะแล้วสิคะ” คนตัวบางเปรยยิ้มๆ ขณะเดินมาเปิดฝาหม้อขาววับดูว่าในนั้นคืออะไร “หลายอย่างเลย นี่ป้ากำลังตั้งโต๊ะเลยจ้ะ หวานมาก็ดีแล้วมาช่วยป้าหน่อย วันนี้เรามีแขกสำคัญมาทานข้าวที่บ้านเพิ่มอีกคนหนึ่งด้วยนะจ๊ะ” คำบอกเล่าของเฟื่องฟ้าทำให้คนหิวจนตาลายหันมามองผู้เป็นป้าด้วยสายตาเป็นคำถาม “ใครคะ? แขกคนสำคัญ…” เฟื่องฟ้าหันกลับมายิ้ม ก่อนเฉลยให้กับเจ้าของคำถาม “ก็จะใครเสียอีกล่ะจ๊ะ ก็อาเพลิงของหวานไง มาเถอะจ้ะ มาช่วยป้าจัดโต๊ะก่อน เดี๋ยวคุณเพลิงมาถึงแล้วเรายังจัดโต๊ะไม่เสร็จละอายเขาแย่…” ประโยคท้ายๆ มธุรสแทบไม่ได้ฟังอีกต่อไป เพราะเพียงแค่ได้ยินชื่อหญิงสาวก็อยากจะวิ่งหนีขึ้นไปซุกตัวอยู่บนห้องเงียบๆ ไม่อยากพบ ไม่อยากสบตาคนที่ชื่อ ‘เพลิง’ เลยสักวินาที! ขณะที่หญิงสาวนิ่งอึ้งคนที่กำลังหยิบนั่นจับนี่เตรียมตั้งโต๊ะก็ชะงัก เมื่อแม่หลานสาวตัวดีจู่ๆ ก็เงียบลงไปเสียเฉยๆ ผิดวิสัยหล่อนนัก เพราะทุกครั้งที่เอ่ยถึงอัคคีอีกฝ่ายจะต้องกระดี๊กระด๊ากระตือรือร้นเกินหน้าเกินตาใครๆ “หวาน… เป็นอะไรไปจ๊ะ ทำไมทำหน้าเหมือนไม่ดีใจเลยละ?” คนถูกทักขยับตัวพลางฝืนยิ้มให้ผู้เป็นป้า “ปะ… เปล่าค่ะ หวานไม่เป็นอะไร” “ฮื้อ… ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมทำหน้าเหมือนเป็นล่ะจ๊ะ” เมื่อถูกคาดคั้นหญิงสาวจำต้องแสร้งยิ้มสดชื่น “ไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ เรามาตั้งโต๊ะกันดีกว่านะคะ” ว่าแล้วร่างบางก็กระตือรือร้นทันทีที่ถูกอีกฝ่ายมองเหมือนจับผิด ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นว่าหลานสาวยืนยันหนักแน่นก็เชื่อ ไม่ได้คลางแคลงใจแต่อย่างใดต่อที่มาที่ไปเกี่ยวกับอาการของหลานสาว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD