อลิชายังคงรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมทั้งในใจของเธอยังคงภาวนาให้คนด้านในปลอดภัยอยู่ทุกวินาที
“เธอจะแสร้งทำให้ใครดู?” เสียงทักทายของคนที่เดินเข้ามาใหม่ ทำให้หัวใจของอลิชาแทบจะหยุดเต้น
เท้าเรียวที่ก่อนหน้านี้ได้ก้าวเดินไปมาได้หยุดนิ่ง ไม่มีการขยับเดิน ใบหน้าเรียวสวยนิ่งงัน ก่อนหันไปมองใบหน้าของคนที่เอ่ยทักทายก่อนหน้า
“คุณฌอห์ณ” อลิชาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เธอดีจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
คนที่เลือกไปเรียนต่อตั้งแต่ตอนที่อลิชา อายุ 11 ขวบ ซึ่งตอนนั้นอีกฝ่ายเพิ่ง 19 ปี ฌอห์ณกลับมาที่ไทยเพียง ปีละ 3 ครั้ง และทุกครั้งที่เขากลับมาอลิชาแทบไม่รู้เรื่อง
ฌอห์ณเดินเข้ามาหยุดยืนต่อหน้าของอลิชา สายตาของเขามองสำรวจเธอเล็กน้อย ก่อนจะจับจ้องมองหญิงสาวอย่างเปิดเผย แต่แววตาของเขากลับไม่ได้บ่งบอกความคิดภายในใจ
“เอ่อ คุณท่านยังไม่ออกมาเลยค่ะ” อลิชาก้มใบหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างไม่กล้าสบสายตาชายหนุ่ม
“หึ! ท่าทีของเธอเนี่ยมันรำคาญชะมัด! จำใส่สมองของเธอเอาไว้ ถ้าคุณพ่อเป็นอะไรไป ฉันไล่เธอออกจากบ้านแน่” คำพูดแสนเย็นชาและมักจะมีคำกระแทกของฌอห์ณ ในตอนนี้ยังคงเป็นคำพูดบาดลึกกัดกินหัวใจของอลิชา
เธอไม่โต้ตอบอะไรออกไป เพียงแต่ยืนเงียบ ๆ อยู่เหมือนเดิม สายตาคู่สวยยังคงมองตรงเข้าไปภายในห้องฉุกเฉิน ท่าทีของเธอที่เหมือนกำลังเป็นห่วงคนด้านในอยู่ตลอดมันช่างเป็นอะไรที่ขัดใจฌอห์ณเสียจริง
“นี่!”
“คุณฌอห์ณ คุณอลิซ คุณท่านอยากเจอครับ” คิ้วเรียวของฌอห์ณขมวดเข้าหากันอย่างเป็นคำถาม เพราะจากที่เขาได้ยินชาร์คอาการค่อนข้างหนัก แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากเจอเขา
ส่วนอลิชาที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจจนลืมไปเลยว่าก่อนหน้าชาร์คเพิ่งหยุดหายใจ แต่ตอนนี้กลับอยากเจอเธอ
ฌอห์ณและอลิชาเดินเข้ามาภายในห้องฉุกเฉินตามหมอเจ้าของไข้ของชาร์ค เหล่าพยาบาลและทีมแพทย์ที่ยืนรายล้อมรอบ ๆ เตียงของชาร์คพร้อมก้มหน้าลงตลอดเวลา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีกว่าการขอเจอกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดี
“คุณพ่อ” ฌอห์ณเอ่ยเรียกคนที่ใส่เครื่องช่วยหายใจออกมาอย่างตกใจ พ่อของเขาอายุเพียง 65 ปีเท่านั้น แต่กลับป่วยมีโรครุมเร้าหลายอย่าง จนทำให้สุขภาพแย่กว่าคนในวัยเดียวกันไปหลายเท่าตัว
“คุณท่าน” อลิชาเดินไปยืนฝั่งตรงข้างของฌอห์ณ มือของเธอจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ใบหน้าสวยหนองไปด้วยหยาดน้ำตา หญิงสาวรู้ว่าเวลานี้ เธอกำลังกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ชาร์คมองไปยังหมอประจำของเขา เมื่ออีกฝ่ายเห็นสายตาที่มองมายังตัวเอง ก็รีบเดินเข้ามาถอดเครื่องช่วยหายใจออกมา เพื่อให้ชาร์คสามารถพูดได้
“ฌอห์ณ”
“ครับ ผมอยู่นี่” ฌอห์ณเอื้อมมือไปจับมือของพ่อพร้อมเอ่ยขานรับ
“ต่อไปนี้…ดูแล อลิซ แทนพ่อ ด้วย” คำพูดของชาร์คที่ขาดห้วง แถมยังเบาจนแทบจะไม่ได้ยินถูกส่งออกมาอย่างยากลำบาก
ทำให้คนที่ได้ยินอย่างอลิชาร้องไห้หนักกว่าเดิม ส่วนฌอห์ณได้แต่มองใบหน้าของหญิงสาวอย่างไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา
“ครับ”
“อลิซ ไม่ร้องนะลูก” ชาร์คพูดพร้อมออกแรงบีบมือหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนแรงนั้นจะหยุดลง
“ไม่นะ คุณท่าน คุณท่านไม่ทิ้งอลิซ แบบนี้ อลิซจะอยู่กับใคร คุณท่าน” อลิชาร้องเรียกชาร์คด้วยเสียงที่ดังปนเสียงสะอื้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ชาร์คได้หลับไปพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ คำสั่งเสียและใบหน้ายิ้มเปื้อนยิ้มของชาร์คในตอนนี้ ทำให้เอาหัวใจของฌอห์ณกระตุกวาบ สุดท้ายคนที่พ่อของเขาห่วงมากที่สุดก็ยังคงเป็นเธอ
“หยุดร้องได้แล้ว น่ารำคาญ” ฌอห์ณเดินเข้ามาหาอลิชาหลังจากปล่อยให้เธอร้องไห้มาสักพัก เขาพูดก่อนจับลงที่ต้นแขนของหญิงสาวและออกแรงลากให้เธอเดินออกมาพร้อมกับตัวเอง
“คุณฌอห์ณ ปล่อยอลิซนะ อลิซจะอยู่กับคุณท่าน” อลิชาพยายามดิ้นขัดขืนอีกฝ่าย แต่ก็เปล่าประโยชน์
ฌอห์ณที่พาอลิชาออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้ว เขาก็ออกแรงผลักให้หญิงสาวออกห่างจากตัวเอง จนทำให้เธอเซเกือบล้มไปกับพื้น
“เธอจะเสแสร้งไปถึงไหน กลัวพ่อฉันไม่ตื่นขึ้นมาโอ๋หรือไง?”
“เปล่านะคะ อลิซไม่ได้คิดแบบนั้น” แม้อลิชาจะชินกับท่าทีแข็งกร้าวและเย็นชาของฌอห์ณ แต่ในเวลานี้คำพูดของเขากัดกินหัวใจของอลิชาได้ดีกว่าความเสียใจที่เกิดขึ้นเสียอีก
ฌอห์ณมองใบหน้าของอลิชาด้วยแววตาเย็นชา ก่อนเดินออกไปจากตรงนั้นทิ้งให้หญิงสาวยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
หลังจากงานศพแสนเรียบง่ายของชาร์คได้เสร็จสิ้นลง ฌอห์ณก็เข้ามาทำหน้าที่ดูแลกิจการทุกอย่างของพ่อเขา แต่เหมือนมันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด
“พินัยกรรม หมายความว่าไง?” ฌอห์ณมองใบหน้าทนายคนสนิทของชาร์คด้วยท่าทีต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้มา
“คุณท่านได้ทำพินัยกรรมขึ้นมาฉบับหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนครับ”
“งั้นก็เปิดเลย” ฌอห์ณพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจเขารู้ดีว่าเมื่อสามปีที่แล้วพ่อเขาเริ่มป่วยหนักขึ้น เพียงแต่ฌอห์ณไม่คิดว่าพ่อของตัวเองจะทำพินัยกรรม
“ไม่ได้ครับ” ฌอห์ณมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ทำเอาทนายถึงกับเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก เขาก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสบสายตามาเฟียหนุ่ม
“พินัยกรรมจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อคุณอลิซยินยอม”
“บ้าจริง! อะไรก็ผู้หญิงคนนั้น งั้นก็ไปตามมา” ฌอห์ณเอ่ยอย่างหงุดหงิด ตั้งแต่งานศพของชาร์คจบไปจะเป็นอาทิตย์แล้ว ฌอห์ณไม่ได้เจอกับอลิชาเลย แต่หญิงสาวกับวนเวียนอยู่รอบกายของเขาตลอดเวลาจนน่าหงุดหงิด
“ไม่กลับบ้านเหรอครับ?” ทนายความหนุ่มเอ่ยออกมา เพราะการที่ฌอห์ณกลับบ้านไปแล้วเรียกอลิชาออกมารับรู้เรื่องนี้ มันน่าจะง่ายกว่าตามมาที่นี่
ทางด้านของอลิชา
หญิงสาวเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอนไม่คิดจะออกไปไหนหรือทำอะไร แต่ส่งที่เธอเคยทำให้ชาร์คเป็นประจำอย่างทำอาหารในตอนเช้าและทุก ๆ มื้อของวัน อลิชายังคงทำเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากชาร์คมาเป็นฌอห์ณเท่านั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่กำลังร้องไห้อยู่รีบเช็ดใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ และรีบเดินออกมาเปิดประตู
“ป้าบัว มีอะไรเหรอคะ?”
“นายท่านเรียกค่ะ” ป้าบัวเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ สายตาเธอมองอลิชาด้วยความเอ็นดูปนความสงสาร
“เดี๋ยวอลิซไปค่ะ”
อลิชาเดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนอีกครั้ง เธอเข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะแต่งหน้ากลบใบหน้าที่เศร้ามองเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ฌอห์ณว่าเอาได้ เพราะขืนถ้าอีกฝ่ายเห็นใบหน้าของเธอในสภาพนี้คงพูดเหน็บไม่หยุดแน่ ๆ
อลิชามองตัวเองในกระจกก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ วันนี้ถือเป็นคนดีที่ฌอห์ณเรียกเธอให้ไปเจอ เพราะหญิงสาวจะได้แจ้งอีกฝ่ายเรื่องย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้
อลิชาเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้รอยยิ้มที่แสนสดใสเหมือนที่เคยเป็น ซึ่งท่าทีของเธอทำให้ทุกคนที่มองดูต่างพากันเศร้าตาม
“ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ” อลิชาเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามกับฌอห์ณก่อนเอ่ยออกมา
“รู้ว่าทำให้คนอื่นรอ ก็ควรรีบ” ฌอห์ณเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“มากันครบแล้วนะครับ” ทนายหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้นเพื่อให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองดีขึ้น
“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ?” อลิชาเอ่ยถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ซึ่งคำพูดของเธอทำให้ฌอห์ณหันกลับมามองอลิชาด้วยคิดจะต่อว่าหญิงสาว
แต่เขากลับต้องตกใจเพราะใบหน้าที่ดูเศร้าพร้อมร่างกายที่โทรมของเธอ มันทำให้ฌอห์ณไม่คิดว่าอลิชาจะเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้เพียงเพราะการตายของพ่อเขา
“คุณท่านทิ้งพินัยกรรมเอาไว้หนึ่งฉบับ ซึ่งจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อคุณอลิซยินยอมครับ”
“อ๋อค่ะ” อลิชาพยักหน้าอย่างรับรู้ แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ยินดีที่จะแสดงออกมา