Green Talk
หลังจากที่ฉันรีบวิ่งหนีออกมาจากงาน แต่ไม่ทันที่จะได้หนีพ้น ก็มาชนเข้ากับพี่ปืนซะก่อน
“กรีน”
เสียงเรียงของพี่เมฆดังขึ้นตามหลังมาติดๆ พอหันไปก็พบว่าพี่เมฆกำลังแหวกผู้คนจำนวนมากแล้วตรงมาทางฉัน
ฟึบบ!
ฉันรั้งคอพี่ปืนลงมา ก่อนจะประกบริมฝีปากจูบลงไปบนริมฝีปากของร่างสูง เจ้าตัวดูชะงักไปเล็กน้อย แต่ช่างเหอะ...ตอนนี้ขอแค่สลัดพี่เมฆออกไปให้ได้ก็พอ
“เห้ย! ทำอะไรกันวะ!” พี่เมฆผลักพี่ปืนออกจากตัวฉันแล้วดึงฉันเข้าไปยืนข้างๆ ตัวเขาแทน แต่ฉันกลับผลักพี่เมฆออกแล้วเดินเข้าไปหาพี่ปืนที่ยืนนิ่งเอ๋อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่
“พี่นั่นแหละ เป็นอะไร” ฉันเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ปนรำคาญนิดๆ
“มันเป็นใคร” พี่เมฆตะคอกใส่ ฉันก็ตอบเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึงไม่แพ้กัน
“แฟนกรีนไง” ไม่ได้พูดเปล่าฉันยกแขนขึ้นกอดแขนพี่ปืนโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ก็เหมือนเจ้าตัวจะเริ่มรู้ตัวขึ้นมาแล้ว พี่ปืนยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ฉันไว้เบาๆ ตามบท หรือไม่ก็กำลังแตะอั๋งฉัน เพราะมือพี่มันลูบไล้ไหล่ของฉันไปด้วย
“บ้าเหอะ! กรีนรักพี่จะตาย กรีนจะมีแฟนใหม่ได้ไง” พี่เมฆดูไม่เชื่อ ตามองมาที่ฉันกับพี่ปืนอย่างจับผิด ฉันตอบออกไปด้วยความรู้สึกที่เหลืออดเต็มที
“กรีนเกลียดพี่ตั้งแต่วันที่พี่ทิ้งกรีนไปแล้ว!” ใช่แล้ว! ผู้ชายคนนี้คือแฟนเก่าฉันเอง เราคบกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย แต่พอฉันยอมมีอะไรกับเขา เขาก็ทิ้งฉันไปอย่างไม่ไยดี...สารเลว
ฉันเลยตั้งแง่กับผู้ชายทุกคนบนโลกว่ามันก็ไม่ได้ดีมากมายอะไรขนาดนั้น ผู้ชายมักใช้คำว่ารักหลอกล่อผู้หญิงเพื่อต้องการสนองความต้องการของตัวเอง พอได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างสมใจอยากหรือเบื่อ ก็จะทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
“เลิกเอาคำว่ารักมาพูดสักที เพราะพี่ไม่เคยมีให้กรีนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!” พูดจบฉันก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันที โดยที่มีไอ้พี่ปืนเดินตามออกมาติดๆ
“จะตามมาทำไม” ฉันหยุดแล้วถามขึ้นหลังจากที่ฉันเดินออกมาถึงหน้าผับ
“ก็พี่ต้องเล่นบทเป็นแฟนน้องอยู่นะ”
“ไม่ตลก ก็รู้ว่ามันคือการโกหก จะจริงจังเพื่อ!!”
“ก็อยากจริงจัง เผื่อจะเป็นเรื่องจริง”
“จะไปไหนก็ไปเหอะ อยากอยู่คนเดียว” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“คนอกหักไม่ควรอยู่คนเดียวนะ ไปดื่มให้ลืมหน่อยมั้ย เผื่อจะดีขึ้น…”
ฉันไม่ตอบแต่ชักสีหน้าเหวี่ยงๆ ใส่ไอ้ผู้ชายตรงหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับหมอนี่สักเท่าไหร่ เพราะพี่ปืนยังคงส่งยิ้มมาให้ฉันราวกับว่าตอนนี้ใบหน้าของฉันกำลังยิ้มแย้มสดใส เหมือนรอบๆ ตัวมีสีชมพูเรืองแสงออกมายังไงอย่างงั้น
วี๊ดดดดด..บึ้ม!!!
วี๊ดดดดด..บั้ม!!!
เสียงพลุดังขึ้นบ่งบอกว่าตอนนี้คงเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว และเราก็ได้ก้าวข้ามเข้าสู่ปีใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย
“ปีใหม่แล้ว ไม่อยากลองอะไรใหม่ๆ บ้างหรือไง”
หมอนี่ยังไซโคไม่หยุด
“ความรู้สึกเก่าๆ ทิ้งมันไว้ในปีเก่านี่แหละ”
@โซน SVIP
ไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันคิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้ตอบตกลงรับคำพี่ปืนแล้วเข้ามาในนี้ แถมตอนนี้หมอนี่ยังสั่งเหล้าเบอร์แรงๆ มาวางตรงหน้าฉันอีกต่างหาก
“เต็มที่เลย พี่เลี้ยงเราเอง” พี่ปืนบอก ก่อนจะหยิบแก้วสองใบแล้วรินเหล้าใส่ลงไปแล้วดันแก้วมาให้ฉัน ส่วนอีกใบคือของเขาเอง ฉันไม่ได้ตอบอะไรพี่ปืน เพราะปกติฉันเป็นคนไม่ค่อยพูดกับคนที่ไม่สนิทอยู่แล้ว ฉันยกแก้วเหล้าขึ้นมายกดื่มรวดเดียวจนหมด
อี๊…ขม นี่มันเหล้าอะไรทำไมขมแบบนี้ล่ะ
“เป็นไง เวิร์กมั้ย” พี่ปืนถาม
“เฉยๆ …” ฉันพยายามข่มความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะตอบกลับไป หึ!...คิดจะมอมเหล้าฉันเหรอ คิดผิดแล้วล่ะ
พอได้ยินแบบนั้นพี่ปืนเลยจัดการรินเหล้าใส่แก้วมาให้ฉันอีกครั้ง อีกครั้ง... อีกครั้ง… และอีกครั้ง...
และด้วยความที่ฉันต้องการเอาชนะ ฉันเลยยกเอาๆ จนเริ่มมึนหัว ตอนนี้ฉันเริ่มจะโฟกัสภาพตรงหน้าไม่ได้แล้ว ปกติฉันว่าฉันเป็นคนที่คอแข็งคนนึงเลยนะ แต่นี่อะไรกัน แค่ไม่กี่แก้วเอง ทำไมฉันถึง…
“รู้สึกไงบ้าง”
“ฉันว่าฉัน..กลับก่อนดีกว่า” พูดจบฉันก็หยิบกระเป๋าสะพาย ก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกมือหนาคว้าจับข้อมือไว้และออกแรงดึงจนเซล้มลงไปนั่งบนตักเขาทันทีเพราะฤทธิ์จากเหล้าที่ทำเอาสมองฉันมึนเบลอร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปหมด
พรึบ!
“อ๊ะ ปล่อย!” ฉันพูดเสียงดุใส่เขา และพยายามดิ้นแกะมือปลาหมึกของหมอนี่ออก แต่มันก็ไม่เป็นผลเลย
“จะรีบไปไหนอ่ะ คุยกับพี่ก่อนสิ”
“ปวดหัว จะกลับ!”
“อะไร...แค่ไม่กี่แก้วเองเมาแล้วเหรอสาวน้อย”
“เปล่า…ไม่ได้เมา จะปล่อยได้ยัง”
“ถ้าอยากให้ปล่อยขออีกสามแก้วดิ” พี่ปืนพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้า
“ใช่เรื่อง?”
“เร็วสิ..นี่กุญแจกลับห้องนะ” ว่าจบหมอนี่ก็ยกกระเป๋าสะพายของฉันขึ้น แล้วหมอนี่มันแอบเอาไปตั้งแต่ตอนไหน
“เอาคืนมา อย่าลีลาได้ป่ะ!” ฉันพยายามคว้ากระเป๋าของตัวเองจากมือเขา แต่เขาก็ไวกว่าและชักมือหลบไปได้ทันทุกครั้ง
“บอกแล้วไงว่าขอสามแก้ว” เขาชูนิ้วขึ้นมา
“ก็ได้!” ฉันตอบด้วยความหงุดหงิดแล้วเอื้อมมือไปรินเหล้าใส่แก้วตัวเองแล้วยกขึ้นดื่ม เพราะมันจะได้จบๆ กันไป แค่สามแก้วมันคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง!
หนึ่งแก้ว...
สองแก้ว…
สามแก้ว...
ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่มาทับอยู่บนหัวตัวเอง มันหนักหัวมากๆ แถมยังมึนหัวตึบเหมือนโลกหมุนอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้แล้ว… ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“พอใจยัง” ฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด เขาไม่ได้ตอบรับอะไร แต่ปล่อยแขนที่ล็อกเอวฉันออกเป็นเชิงว่า โอเค..จะไปไหนก็เชิญ ฉันลุกขึ้นจากตักของพี่ปืนอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ต้องล้มลงไปนั่งบนตักพี่ปืนอีกครั้ง เหมือนถูกแรงเหวี่ยง
“ให้ตายสิ…” ฉันพึมพำเบาๆ ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่กลับถูกพี่ปืนซ้อนตัวอุ้มขึ้นเสียก่อน
“ทำบ้าไร! ปล่อย!” ฉันพยายามตะคอกใส่ แต่เหมือนเสียงฉันมันเเหบแห้งไปยังไงก็ไม่รู้
“ไม่ไหวแล้วยังจะทำเก่ง หึ..”
ฉันได้ยินเพียงแค่นั้นเพราะหูของฉันเริ่มอื้ออึงไปหมด ตอนนี้ฉันรู้แค่ว่าหมอนี่กำลังจะพาฉันออกไปจากที่นี่ และตรงไปที่ไหนสักที่ โดยที่ฉันไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย
เหล้าบ้าอะไรทำไมกินแล้วอ่อนเปลี้ยขนาดนี้นะ!!
Puen Talk
@P Hotel
ผมว่างคนอวดเก่งลงบนเตียงนุ่มเบาๆ ตอนนี้เธอก็ยังคงมีสติอยู่ แต่ไม่สามารถขัดขืนอะไรผมได้ ไม่ใช่เพราะเหล้าที่ผมให้เธอกิน แต่มันเป็นเพราะขอบแก้วของเธอต่างหากที่มันถูกทายากล่อมประสาทไว้
ความจริงผมก็ไม่เคยทำบ้าอะไรแบบนี้หรอก แต่เมื่อวานเธอแม่งอวดดี กล้าดียังไงมาหักหน้าผมไว้แบบนั้น คนอุตส่าห์จะเข้าไปคุยด้วยดีๆ แท้ๆ ถ้าจะโทษใครว่าผิด ก็ต้องโทษตัวเธอเองละนะน้องกรีนคนสวย หึ..
“ก็นึกว่าจะแน่…” ผมแค่นยิ้มก่อนจะเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกช้าๆ อย่างไม่รีบร้อนเพราะเธอก็คงไม่มีปัญญาหนีหรือขัดขืนอะไรใดๆ ทั้งสิ้นอยู่แล้ว
“อย่านะ…” เสียงเธอร้องสะอื้นดังออกมาเบาๆ จนผมเองก็แทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ
“ฉันไม่ยอมเล่นบทเป็นแฟนหลอกๆ ของใครฟรีๆ หรอกนะ..”
“แล้วที่สำคัญ...ใครใช้ให้เธอมาผยองใส่ฉันกันล่ะ..”