bc

1989 เปลี่ยน(รัก)ยัยตัวร้าย

book_age16+
357
FOLLOW
3.0K
READ
reincarnation/transmigration
HE
heir/heiress
drama
detective
secrets
rebirth/reborn
like
intro-logo
Blurb

ในเมื่อเป็นคนดีแล้วคือหายนะ เมื่อได้มีโอกาสย้อนกลับมาอีกครั้งฉันขอร้ายบ้างก็แล้วกัน ครอบครัวของฉันจะต้องไม่พบกับหายนะเหมือนครั้งก่อนฉันขอสาบาณว่าจะต้องปกป้องพวกเขาให้ได้

อีกทั้งในชาติภพนี้เธอยังเจอคนที่ปรารถนาดีกับเธออีกมากมาย

chap-preview
Free preview
ความตายที่กลายเป็นจุดเริ่มต้น
หน้าหลุมศพของสถานที่อันเป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของผู้ที่เคยมีชีวิตท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ได้มีหญิงสาวรูปร่างผอมบางสวมชุดเดรสสีขาว สภาพผมของหล่อนกับชุดแนบลู่ติดกับร่างกาย เนื่องจากฝนที่ตกลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ใบหน้าของหญิงสาวขาวซีดดวงตาบอบช้ำมีหยาดน้ำไหลอาบร่องแก้ม ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นหยาดน้ำตาของเจ้าตัวหรือเป็นหยาดน้ำจากฝนที่กำลังโปรยปรายกันแน่ “พ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนเจอกันหรือยังคะ ตอนนี้ทุกคนสบายดีไหม” หญิงสาวยืนกล่าวกับหลุมศพที่เรียงกันอยู่ด้านหน้าน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้า “วันนี้ฉันมาลาทุกคนนะคะ ฉันกำลังจะไปจากเมืองนี้ค่ะ ไปให้ไกลจากคนชั่วพวกนั้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าตามสายเลือด ทว่าหญิงคนนั้นกลับใจร้ายกับพวกเราเสียเหลือเกิน พ่อคะ แม่คะ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนจะอภัยให้ฉันไหม แม้ในตอนนี้ฉันจะรู้ดีว่าการตายของทุกคนเกี่ยวข้องกับใคร ตะ...แต่ฉันก็ไม่อาจที่จะแก้แค้นคนเหล่านั้นได้ ไม่อาจที่จะนำของที่เป็นของครอบครัวเรากลับคืนมา พ่อคะ พ่อจะโทษฉันไหม ที่ฉันเป็นคนขี้ขลาด” หญิงสาวไหล่ไหวสะท้านขึ้นลง กล่าวออกมาอีกครั้งอย่างเจ็บปวด หล่อนยืนนิ่งไปเนิ่นนานก่อนจะกล่าวออกมาอีก “ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้เลย ไม่เลยจริง ๆ ฉันต้องการแก้แค้นให้กับทุกคนฉันต้องการให้คนเหล่านั้นชดใช้ให้พวกเรา แต่ว่าฉันรู้ดีหากอยู่ที่เมืองนี้ต่อไป ยังไงซะฉันก็ไม่สามารถแก้แค้นได้ ดังนั้นฉันจำเป็นต้องไป เพื่อวันหนึ่งฉันจะมีกำลังมากพอมาจัดการพวกชั่วนั่น พ่อคะฉันรู้ว่าพ่อเป็นคนกตัญญูและรักหญิงคนนั้นมาก แต่ฉันอยากจะบอกพ่อหากมีโอกาสพ่ออย่าได้หลงเชื่อน้ำคำของหล่อนอีกนะคะ หญิงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่แท้ ๆ ของพ่อ เป็นย่าของฉัน พ่อรู้ไหมคะ หลังจากที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ หล่อนก็ยึดกิจการของเราไปทั้งหมด เอาไปให้คนพวกนั้น คนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเราเลย อีกทั้งหล่อนยังบังคับให้ฉันแต่งงานกับคนชั่วอีกด้วย พอฉันจะหนีหล่อนก็เอาพี่ใหญ่พี่รองมาข่มขู่ ฉันจึงต้องยอมแต่ง ที่ไหนได้สุดท้ายแล้ว พี่ใหญ่ พี่รองก็ต้องมาตกตาย ฉันขอโทษ หากฉันไม่สนใจคำขู่ของหล่อนในวันนั้น บางทีพวกเราสามคนพี่น้องอาจจะยังได้อยู่ด้วยกัน พี่ใหญ่ พี่รอง น้องโง่มากใช่ไหม น้องโง่ที่เชื่อคำขู่พวกนั้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม แต่พี่ทั้งสองไม่ต้องห่วงนะ ต่อจากนี้ฉันจะพยายามเข้มแข็งแม้ว่ามันอาจจะยากไปสักหน่อยก็ตาม พี่ใหญ่คะ ฉันมีเรื่องอยากจะบอกพี่ด้วย ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคนที่มันใส่ร้ายพี่เป็นใครเมื่อถึงเวลาฉันจะกลับมาจัดการพวกมันให้สาสมอย่างแน่นอน ส่วนพี่รองฉันขอโทษ ถ้าในวันนั้นฉันไม่ตัดสินใจหนีออกไปกับพี่ พี่ก็ไม่ต้องมาตายเพราะฉัน ฉันขอโทษ” หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองถึงในเรื่องที่ผ่านมาแม้มันจะไม่ใช่ความผิดของตนก็ตาม เสียงฟ้าร้อง ผสานกับแสงฟ้าแลบทำให้สุสานช่วงหัวค่ำแลดูน่ากลัว ทว่าหญิงสาวผู้นี้ก็ยังคงมองป้ายหน้าหลุมศพนิ่งไม่ไหวติงและนำพาต่อสิ่งรอบตัวของหล่อน “ทุกคนคะ ฉันต้องไปแล้ว หากเมื่อไหร่ที่ฉันได้มีโอกาสกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง วันนั้นก็คือวันที่ฉันได้ทวงความเป็นธรรมให้กับทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะคะ ฉันจะไปอยู่กับคุณปู่ค่ะ” หญิงสาวร่างผอม ผมเปียกแนบลู่ไปกับศีรษะกล่าวออกมาอีกครั้ง ก่อนที่หล่อนจะเดินอย่างเชื่องช้าออกไปจากหน้าหลุมศพของคนในครอบครัวที่พากันทอดกายอยู่ใต้ดิน หลังหญิงสาวเดินจากไปไม่นาน ก็ได้มีชายหนุ่มร่างกายสมส่วน รูปร่างสูง ยืนอยู่ภายใต้ร่มคันสีดำตัดกับเครื่องแบบที่เขาสวม ชายหนุ่มเดินเข้ามาประตูคนละฝั่งกับที่หญิงสาวเดินจากไป “ชุน ฉันกลับมาแล้วนะ ฉันได้หลักฐานเกี่ยวกับการใส่ร้ายนายมาด้วย และขอโทษที่ฉันกลับมาช้าเกินไป เรื่องของน้องสาวนาย ต่อจากนี้ฉันจะคอยช่วยดูแลให้ ดังนั้นนายจงหลับให้สบายไม่ต้องห่วงเรื่องจากนี้อีก” เสียงห้าวทุ้มแฝงไว้ด้วยความเศร้ากล่าวกับหลุมศพชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อยใบหน้าเศร้าหมอง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าผู้ที่เขาได้เอ่ยปากออกไปว่าจะดูแลนั้นตอนนี้กำลังจะเกิดเรื่องร้ายกับเจ้าตัวในไม่ช้า ด้านหน้าสุสานสายฝนยังคงโปรยปราย หญิงสาวในชุดขาวหลังจากที่เธอเดินผ่านหน้าประตูออกมา ในขณะที่หล่อนกำลังเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งเพื่อรอรถลงจากเขาจู่ ๆ ก็ได้มีรถยนต์สีดำคันหนึ่งขับมาทางเธอด้วยความเร็ว โดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างผอมบางของหล่อนก็ลอยคว้างกลางอากาศเพียงเสี้ยวขณะ ก่อนที่ร่างกายอันบอบช้ำนั้นจะหล่นลงมากระแทกพื้นถนนสีดำอย่างรุนแรง “ไม่!” เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากปากชายในชุดสีเขียวทหารผู้กำลังจะเดินมาเรียกเธอ เนื่องจากว่าเขาจำได้ดีว่าหญิงสาวผู้เดินอยู่เบื้องหน้าคือใคร ชายหนุ่มทิ้งร่มในมือวิ่งมาหาหญิงสาวที่นอนรวยริน ลมหายเริ่มขาดห้วงทอดกายอยู่บนพื้นอันเย็นเยียบของถนน เลือดสีแดงฉานจากร่างกายของเธอไหลปนอยู่กับน้ำฝน “เสี่ยวซี เธอจะต้องไม่เป็นอะไร พี่ขอโทษที่กลับมาช้า ขอโทษที่ไม่สามารถช่วยเธอได้ เสี่ยวซีอย่าหลับตานะได้โปรด” ชายหนุ่มหลั่งน้ำตา ตะโกนจนสุดเสียง หลินซีผู้เหมือนตกอยู่ในความฝัน ร่างกายของเธอชาหนึบเธอพยายามจะเอื้อนเอ่ยถามชายหนุ่มว่าเขาเป็นใคร แต่ก็จนใจเนื่องจากภายในปากของเธอได้มีก้อนเลือดกระอักออกมาทำให้เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ท้ายที่สุดหญิงสาวจึงได้แต่ปิดเปลือกตาของตนลงตลอดกาล “ทุกคนคะ ฉันขอโทษสุดท้ายฉันก็ไม่อาจแก้แค้นได้ ให้อภัยฉันด้วย หากว่าชาติหน้ามีจริงฉันหลินซีขอกลับไปพบทุกคนอีกครั้งนะคะ” ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบตระกองกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนของตนแน่น หยาดน้ำหลั่งรินหยดใส่ใบหน้าอันซีดขาวของหญิงสาวที่บัดนี้นอนทอดกายแน่นิ่งไร้ซึ่งลมหายใจไปตลอดกาล เฮือก!! ผู้ที่กำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียงเตาสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ “แม่ครับ เสี่ยวซีเป็นยังไงบ้างอาการดีขึ้นหรือยัง” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยถามคนเป็นแม่เลี้ยงผู้เลี้ยงตนมาตั้งแต่ห้าขวบด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว “ตอนแม่เข้าไปดูในห้องยังเห็นว่าหลับอยู่ แต่อาการไข้ลดลงแล้ว ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ว่าแต่วันนี้ไม่ไปเปิดร้านเหรอ” หญิงผู้อายุวัยห้าสิบถามขึ้นอย่างสงสัย “ไม่ครับ ผมเป็นห่วงลูกก็เลยปิดสักวัน” ชายผู้เป็นลูกกล่าวตอบโดยไม่รู้ว่าในอนาคตนั้นเขากำลังมีสิ่งอื่นให้ทำรออยู่ การสนทนาของบุคคลทั้งสองได้ดังเข้ามาถึงในห้องนอนของเจ้าของชื่อที่กำลังมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ‘เราถูกรถชนไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นจำได้ว่าเหมือนมีใครสักคนเรียกชื่อเราด้วย แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกกันล่ะว่าเขาคือใคร เอ๊ะเดี๋ยวซิไม่ถูกแหละ รถชนแล้วทำไมถึงไม่เจ็บเลยล่ะ’ หญิงสาวคิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่าตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนดังนั้นในระหว่างที่เธอกำลังคิดอย่างวนเวียนอยู่ภายในหัว จากนั้นเธอก็พยายามลุกขึ้น และภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอนิ่งค้างด้วยความตกตะลึง ปฏิทินเก่าที่แขวนอยู่บนผนังห้อง โต๊ะไม้เก่าขาไม่เท่ากัน “28มีนาคม 1983! มันจะเป็นไปได้ยังไง นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ฉันอายุสิบสามปีหรอกเหรอ” หลินซีมองตัวเลขในกระดาษที่แขวนอยู่บนผนังเก่า ๆ ไม่อยากเชื่อสายตา “เสี่ยวซีลูกตื่นแล้วนี่ ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า หิวไหมแม่เขากำลังต้มโจ๊กให้ลูกอยู่” ชายอายุสามสิบกลางเดินเข้ามาในห้องบุตรสาวถามขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกชื่อตน ก่อนที่เธอจะตะโกนเรียกชายคนนั้นเสียงสั่นเครือ “พ่อ” “ลูกพ่อ ร้องไห้ทำไมเจ็บตรงไหนรีบบอกพ่อมาเร็วเข้า” ชายคนนั้นรีบเดินไปโอบกอดลูกสาวถามขึ้นอย่างห่วงใย ‘หากนี่เป็นความฝันฉันขอไม่ลืมตาตื่นอีกเลยจะได้ไหม’ หลินซีผู้ยังไม่รู้ว่าตนเองได้ย้อนกลับมายังอดีตคิดอยู่ในใจพลางกระชับอ้อมแขนกอดผู้เป็นพ่อแน่น “คุณคะ ลูกสาวเป็นอะไร” ผู้มาใหม่รีบวางถ้วยโจ๊กบนโต๊ะก่อนเดินมาทางสองคนพ่อลูกสีหน้ากังวล “แม่” หลินซีตะโกนเรียกหญิงคนนั้นเสียงดังดวงตาเบิกกว้าง ‘ฝันในตอนนี้ช่างดีเสียจริงเจอทั้งพ่อทั้งแม่’ เรื่องจริงใช่ไหม? “แม่ครับ พ่อครับ น้องหายดีหรือยัง” น้ำแสงเริ่มแตกหนุ่มของเด็กชายรูปร่างผอมสูงวัยสิบห้า ผู้มีดวงหน้าคมเข้ม ละม้ายคล้ายคนเป็นพ่อส่งเสียงถามผู้ที่อยู่ด้านในก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง “อาชุน มาดูน้องสิลูก พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ผู้เป็นพ่อกล่าวเรียกบุตรชายฝาแฝดคนโตอย่างจนใจ “น้องเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมหรือครับ” น้ำเสียงร้อนใจของเด็กหนุ่มผู้มาใหม่อีกคนถามขึ้นทันที “น้องรองใจเย็นก่อน เราค่อย ๆ ไปถามน้องสาวกัน” ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดรีบปรามคนเป็นน้องที่เกิดห่างจากตนไม่กี่นาที “ก็ผมเป็นห่วงน้องนี่” คนเป็นน้องหน้ามุ่ย “พี่ใหญ่ พี่รอง” คนเป็นน้องสาวผละออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่ มองมาตามเสียงที่ตนได้ยิน ก่อนเรียกคนทั้งสองน้ำเสียงสะอื้นจากการร้องไห้อย่างหนัก “เสี่ยวซี น้องเป็นอะไรใครรังแกบอกพี่มา” ผู้เป็นพี่ใหญ่รีบเดินเข้าไปหาพลางเอามือลูบผมผู้เป็นน้องถามเสียงอ่อน เด็กหญิงเอาแต่ร้องไห้โฮ ส่ายหัวไปมาพลางจับมือของพี่ชายแน่น “น้องเล็กร้องไห้ทำไมครับ” เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่รองเองก็เดินเข้าหาคนเป็นน้องถามไถ่ออกมาบ้าง ทว่าคนเป็นน้องก็เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น “เลิกร้องนะครับ ตาบวมหมดแล้ว หากร้องมากกว่านี้น้องจะขี้เหร่เอานะ” หลินชิวโอบไหล่น้องสาวกล่าวกึ่งหยอกกึ่งปลอบ “อ้าวเป็นอะไรกัน ทำไมไม่ออกมากินข้าว” น้ำเสียงแหบของหญิงผู้เป็นย่าเดินเข้ามาในห้องโดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ด้านใน ‘เสียงนี้ น้ำเสียงของคุณย่ากู้ไม่ใช่หรือ’ หลินซีผู้กำลังมองคนในครอบครัวคิด จากนั้นเธอก็หันไปมองยังต้นเสียงหน้าประตูห้อง เด็กหญิงรีบลุกขึ้นยืนโดยที่ตัวเธอเซเล็กน้อย แต่ทว่าเจ้าตัวได้รับการช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสองทำให้เธอไม่ล้มลงกับพื้น ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเดินไปยังหญิงชรา และทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงออกมา “คุณย่ากู้คะ ฉันขอโทษ ขอโทษที่ทำตัวไม่ดีฮือ ๆ ทั้ง ๆ ที่คุณย่าเป็นคนดีกว่าใครฉันขอโทษค่ะ” หลินซีกอดหญิงชราแน่น กล่าวออกมาทั้งน้ำตา “เสี่ยวซีหลานเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมย่าไม่เคยโกรธหนูเลยนะลูก” กู้หนิงเอามือหยาบกร้านจากการทำงานหนักของตนตบหลังของเด็กหญิงอย่างปลอบโยน “หากไม่ใช่เพราะหนู คุณย่าก็จะไม่ตรอมใจ เป็นเพราะหนูเชื่อคนผิด คุณย่าคะหากว่ามีโอกาสอีกครั้งหนูจะทำตัวดีกับคุณย่า หนูจะไม่เชื่อคนอื่นอีกแล้ว” หลินซีผู้ที่ยังคิดว่าภาพที่ตนเห็นเป็นความฝันกล่าวความในของตนออกมา ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างมีสีหน้ามึนงงไปตาม ๆ กัน เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กหญิงกล่าว ทว่าก็ไม่มีใครคิดขัด เพราะพวกเขาเพียงคิดว่าเด็กหญิงอาจจะฝันร้าย “ย่าสบายดีนะลูก ย่าไม่ได้เป็นอะไรเลย หนูไม่ต้องเสียใจ ย่าไม่เคยโกรธหนูเลย” กู้หนิงแม้จะงุนงงทว่านางก็ยังคงปลอบเด็กหญิงต่อไป หลินซีรับรู้ได้ถึงถ้อยคำของย่า ทำให้เธอยกยิ้มออกมา ก่อนที่ตัวของเธอจะอ่อนยวบลงและกำลังจะลู่ลงไปกับพื้น “เสี่ยวซี” หลินไท่รีบถลาเข้าไปรับร่างของลูกสาวทันทีเช่นเดียวกับกู้หนิงที่ยังไม่คลายอ้อมกอดของตนออก “อาไท่ แม่ว่าพาเสี่ยวซีไปโรงพยาบาลเถอะ เพ้อขนาดนี้ อาการไม่น่าจะดี” หญิงชรากล่าวออกมาอย่างเป็นห่วง “ครับ” หลินไท่รับคำกับแม่เลี้ยงของตน พร้อมกับรีบอุ้มร่างของบุตรสาวเดินไปที่รถโดยมีภรรยา บุตรชายทั้งสองเดินตามติดออกมาอย่างร้อนใจ “ย่าครับ ผมจะไปกับพ่อนะครับ” หลินชิวบอกผู้เป็นย่าสีหน้ากังวล “ไปเถอะ พวกเธอจะไปกันหมดก็ได้นะ ย่าอยู่รอปู่ได้” กู้หนิงกล่าวแววตาแฝงความเป็นห่วงในตัวหลานสาวคนเล็ก แม้ใจอยากจะตามไปด้วย แต่ไม่อาจทำได้เนื่องจากผู้เป็นสามีไปส่งมอบตำแหน่งในตัวอำเภอทำให้นางต้องอยู่ที่บ้านเพื่อรอเขา “ผมจะอยู่เป็นเพื่อนย่าเองครับ” หลินชุนผู้เป็นพี่ชายคนโตของน้องทั้งสองพูดขึ้น “ดีแล้วลูก แม่กับพ่อจะได้ไม่เป็นห่วงทางนี้ แม่คะหากรู้อาการเสี่ยวซีแล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ” เจียวเหมยบอกแม่เลี้ยงของสามีในระหว่างเดิน เมื่อสี่คนพ่อแม่ลูกมาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอ หลังจากจอดรถได้พ่อของเด็กหญิงก็รีบอุ้มบุตรสาวไปทางห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที “ช่วยลูกของผมด้วยครับ เธอเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้พอฟื้นขึ้นมาก็เพ้อจนตอนนี้เป็นลมสลบไป” ชายวัยสามสิบกว่าปีรีบบอกกับเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็ว “ญาติออกไปรอด้านนอกก่อนนะคะ” น้ำเสียงของพยาบาลบอกกับชายผู้นั้นกับคนที่เดินตามมาอีกสองคน ซึ่งเธอคาดว่าน่าจะเป็นแม่และพี่น้องของเด็กหญิง หมอเดินเข้ามาตรวจเด็กหญิง ก่อนที่จะสั่งให้เธอนอนโรงพยาบาล คนในครอบครัวทั้งสามต่างมองไปยังร่างของเด็กหญิงที่นอนหลับเปลือกตาปิดสนิทใบหน้าซีดอย่างสงสาร “ผมสงสารน้องสาวจังเลยครับ” พี่ชายคนรองบอกเมื่อเห็นว่าน้องผู้กลัวเจ็บมากที่สุดจะต้องเจาะหลังมือเพื่อให้น้ำเกลือ “เป็นความผิดของฉันเอง ที่ไม่คิดว่าลูกจะมีอาการหนักมากขนาดนี้” คนเป็นแม่มีใบหน้าเศร้ากล่าวโทษตัวเอง “เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกครับ หากจะผิดก็ผิดกันทั้งหมดนั่นแหละ เพราะพวกเราต่างมัวยุ่งแต่กับงาน ทำให้ละเลยเสี่ยวซีไป” ชายวัยกลางคนกล่าวปลอบภรรยา “ผมเองก็มัวแต่อ่านหนังสือหากเมื่อวานแวะเข้ามาดูน้องสักหน่อย น้องสาวคงไม่อาการหนักถึงเพียงนี้” หลินชิวกล่าวออกมาสีหน้าเศร้าหมอง หลินซีผู้ยังไม่รู้ว่าได้ทำให้ทุกคนเป็นห่วงอยู่นั้น ในตอนนี้เธอคล้ายกำลังเดินหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง “ข้าได้พาเจ้าย้อนกลับมาตามที่คนผู้นั้นได้เอ่ยปากขอร้องเอาไว้แล้ว ในเมื่อเจ้าได้ชีวิตใหม่กลับคืนมาจงใช้ชีวิตให้ดีเล่า” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นกับหญิงสาวผู้ที่กำลังมองซ้ายแลขวาเพื่อหาเจ้าของเสียง “เจ้ากลับไปได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นกล่าวออกมาอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของหลินซีที่กำลังหลับตาอยู่นั้น สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นด้วยความตกใจ “เสี่ยวซี น้องฟื้นแล้ว” หลินชิวที่ฟุบอยู่ข้างเตียงน้องสาวผุดลุกขึ้นยืนเปิดปากอย่างดีใจ “พี่รอง” น้ำเสียงแหบแห้งดังออกมาจากปากของเด็กหญิง “น้องดื่มน้ำก่อน หิวไหม แม่กับพ่อกำลังไปหาซื้อของกินอีกเดี๋ยวก็คงมา” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ในขณะจับแก้วน้ำป้อนถึงปากผู้เป็นน้อง ที่กำลังมองจ้องใบหน้าเขา เหมือนคนไม่เคยเจอกันมานาน “น้องสาวเป็นอะไร จ้องพี่เหมือนกับไม่เคยเห็น” คนเป็นพี่กล่าวกลั้วหัวเราะน้องน้อย “พี่รอง เป็นพี่จริงอย่างนั้นหรือคะ” น้ำเสียงของคนถามดีขึ้นหลังจากได้ดื่มน้ำลงคอ “ไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใครละครับ น้องนอนหลับไปตั้งสามวันทำให้ทุกคนเป็นห่วงมากหรือว่าน้องจำใครไม่ได้” จากที่เมื่อสักครู่ได้พูดจาหยอกน้องสาว ตอนนี้สีหน้าของผู้เป็นพี่ได้แปรเปลี่ยนเป็นกังวลไปเสียแล้ว “จะ..จำได้ค่ะ ฉันแค่แกล้งพี่เพียงเท่านั้น” หลินซีกล่าวออกมาติดขัดก่อนที่เธอจะส่งรอยยิ้มบางออกมา “เฮ้อ! พี่ค่อยโล่งใจหน่อย” ผู้เป็นพี่พูดขึ้นพร้อมกับเอามือลูบผมสั้นเท่าติ่งหูของน้องสาวอย่างอ่อนโยน “พี่รองฉันอยากไปห้องน้ำค่ะ” คนเป็นน้องบอกพี่ชายพลางดึงผ้าห่มให้พ้นจากร่างของตนก่อนขยับกายเพื่อจะลงจากเตียง “พี่ช่วยครับ” หลินชิวโอบบ่าเล็กของน้องสาวเพื่อหวังพยุงให้น้องน้อยยืนขึ้น “ฉันเดินเองได้ค่ะ พี่รองไม่ต้องห่วง” หลินซีมองหน้าผู้เป็นพี่หลังจากยืนได้มั่นคงดีแล้ว “ให้พี่พาไปไม่ดีเหรอ” ผู้เป็นพี่ถามอย่างลังเล “ถ้าอย่างนั้นพี่แค่พยุงฉันไปหน้าห้องน้ำก็พอ” หลินซีกล่าวอ่อนใจให้กับความเป็นห่วงของพี่ชาย ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาสักกี่ปีเขาก็ยังเป็นเช่นนี้ “ถึงห้องน้ำแล้ว พี่จะรออยู่ตรงนี้นะ” หลินชิวเปิดปากบอกน้องเมื่อถึงหน้าห้องน้ำภายในห้องผู้ป่วยส่วนตัว หลินซีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ซึ่งอากัปกิริยาของน้องสาวนั้นช่างดูผิดแผกไปจากแต่ก่อนค่อนข้างมาก หากแต่พี่ชายผู้รักน้องกลับไม่รู้สึกเอะใจใด ๆ ทั้งสิ้น ภายในห้องน้ำ หลินซีจ้องมองตัวเองในกระจกขุ่นมัวที่ติดผนังด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเธอขยับหัวส่ายไปมา ภาพของคนที่สะท้อนออกมาก็ทำตามตนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเธอจะทำท่าทางแบบไหนคนในกระจกก็ทำตาม ‘สิ่งที่เสียงลึกลับในฝันบอกเรานั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย’ เด็กหญิงพูดพึมพำกับตัวเองในกระจก

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

สามีมังกร

read
1K
bc

กับดักรักวันสงกรานต์

read
8.4K
bc

หวนคืนสู่แผ่นดิน

read
1.3K
bc

Friend (เฟรนด์)

read
1.1K
bc

ผิดที่แกล้งร้าย

read
1.3K
bc

ลูกสาวของอาฉ่า

read
1K
bc

Trick or Treat แสบ... กวน... ป่วนเมือง !!

read
1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook