“เจ้าเปี๊ยก ขนมที่วางอยู่ในถาดนั้นเขาเรียกว่าอะไรเหรอ”
“อันหนัย”
“ก็ที่เป็นรูปดอกไม้นั่นไง”
“หนมหยักกวา เจ้าม่ายรู้จักด้ายไง”
“อ้าว ก็คนมันไม่รู้จักจะให้ทำยังไง”
“นี่เจ้าโตมายังไงเนี่ย ถึงม่ายลู้จักขนมหยักกวา”
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะเจ้าเปี๊ยก เพราะอย่างน้อยข้าก็เป็นครูของเจ้าแถมยังเลี้ยงขนมเจ้าอีกนะ” หลังถูกเด็กชายตัวเล็กพูดจาคล้ายจะถอนหงอกกัน เวียงพิงค์ก็ทำทีเอามือเท้าเอวอย่างเอาเรื่องบ้าง ก่อนที่เขาจะบอกแม่ค้าให้หยิบเอาขนมหยักกวามาให้กันหนึ่งชิ้น
“เจ้าซื้อหั้ยข้าด้วยสิ”
“อะไรอีกล่ะ ข้าก็ซื้อทาชิกให้เจ้าแล้วไง”
“ก้อข้าอยากกินหยักกวาด้วย”
“...”
“น้า ๆ ซื้อหั้ยข้าหน่อยน้า วันนิข้าอุตส่าห์ตั้งใจเลียนเชียวนะ”
“เฮ้อ ลูกหลานก็ไม่ใช่แล้วทำไมข้าต้องมาเลี้ยงดูเจ้าด้วย น่ารำคาญเสียจริง” พอถูกรบเร้าด้วยสายตาอ้อนวอนเข้าหน่อย เวียงพิงค์ก็ถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงคล้ายกับรำคาญ ก่อนที่เขาจะยื่นเงินไปจ่ายแม่ค้าเพื่อขอซื้อขนมเพิ่มอีกสักชิ้น
“หยุด! รับของจากผู้ใหญ่ เจ้าต้องทำยังไงก่อน” จังหวะที่กำลังจะส่งต่อขนมหยักกวาไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก เวียงพิงค์ก็ทำทีลีลาไม่ยอมยื่นให้ เนื่องจากเขาเห็นว่าเด็กชายตัวเล็กยังไม่ได้เอ่ยขอบคุณกัน
“ขอบคุนค้าบบบ” เด็กชายตัวเปี๊ยกพูดขอบคุณพร้อมโค้งหัวให้หนึ่งหน และเพราะอย่างนั้นเวียงพิงค์จึงยอมส่งขนมหยักกวาไปให้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
จะว่าไปแล้วเวียงพิงค์ก็ค่อนข้างปรับตัวให้เข้ากับที่นี่เร็วอยู่เหมือนกัน จากที่ตอนแรกเขาไม่ค่อยกล้าสนทนากับใครนอกจากอึนเฮ ตอนนี้เขาก็เริ่มกล้าคุยมากขึ้นแล้วและก็กล้าแข็งข้อยามที่กำลังถูกเอาเปรียบด้วย เนื่องจากพออึนเฮชอบเรียกใช้งานเขาอยู่เป็นประจำ เหล่าบรรดาสาวใช้ที่อยากสนิทสนมกับผู้เป็นเจ้านายบ้างก็เริ่มเกิดความอิจฉาริษยา และมักจะพยายามเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง หรือทำยังไงก็ได้ให้เวียงพิงค์ถูกอึนเฮดุ
ซึ่งชีวิตจริงในยุคนี้ มันก็ยิ่งกว่าตำนานรักหลังวังหลวงเสียอีก
“เหมือนลุงพวกนั้นมองมาที่เจ้าเลยแฮะ”
“ไหน” หลังถูกเจ้าตัวเปี๊ยกสะกิดแขนบอก เวียงพิงค์ที่กำลังพาอีกฝ่ายเดินกลับไปหอนางโลมก็รีบหันมองตามมือเล็กทันที ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะต้องนิ่งไปเล็กน้อย เมื่อลุงที่เจ้าเปี๊ยกหมายถึงคือพวกทหารจากวังหลวง
เอาล่ะ…ในอีกไม่ช้าเจ้าทหารพวกนั้นจะต้องเดินมาหาเวียงพิงค์แน่
“ข้ากัว” เจ้าเปี๊ยกเอ่ยอีกครั้งพร้อมพยายามขยับกายเข้ามาหาเวียงพิงค์ หลังทหารจากวังได้เดินเข้ามาหาพวกเขาจริง ๆ
“มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าไม่ต้องกลัว” เวียงพิงค์พูดปลอบพลางลูบหลังเล็กไปด้วย ก่อนที่เวลาต่อมาเขาจะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารจากวังได้เดินมาหยุดที่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว และเพราะทหารพวกนี้มากันเยอะประหนึ่งว่าเวียงพิงค์ไปทำผิดกฎหมายบ้านเมือง นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากชาวบ้านในบริเวณนั้นจะมองมาที่พวกเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“พวกท่านมีอะไรกับข้ารึ” เวียงพิงค์เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน ทำทีไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดทั้งนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วหัวใจของเขาเต้นแรงมากจนแทบจะหลุดออกมาจากโพรงอกด้วยซ้ำ
“พวกเจ้าเป็นคนจากหอนางโลมใช่หรือไม่” หัวหน้าทหารถามกลับมา
“ใช่ พวกข้าเป็นคนของอึนเฮ”
“แล้วเจ้าชื่ออะไร”
“ข—ข้าน่ะเหรอ” เวียงพิงค์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองและเริ่มเกิดความลังเลเล็กน้อย หลังเขาไม่แน่ใจนักว่าควรจะบอกชื่อที่แท้จริงของตัวเองออกไปดีหรือเปล่า
“ผู้นิชื่อเวียงพิงค์ พวกท่านมีอาลายกับอาจานของข้า!” เจ้าเปี๊ยกตะโกนตอบ ตั้งท่าเหมือนจะปกป้องเวียงพิงค์ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นแขนป้อมก็กอดเอวเวียงพิงค์เอาไว้แน่น เนื้อตัวมีความสั่นเทาเพราะความกลัว
“แล้วเจ้าจะไปบอกเขาทำไมเล่า เจ้าเปี๊ยก” เวียงพิงค์กระซิบบอกลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองเสียงแผ่ว แล้วค่อยเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง
“ใช่ ข้าชื่อเวียงพิงค์ พวกท่านมีอะไรกับข้าหรือ” เมื่อเวียงพิงค์ถามออกไปเช่นนั้น ทหารที่มาด้วยกันกับหัวหน้าก็ได้กระซิบบอกบางอย่างให้ผู้เป็นเจ้านายฟัง ก่อนที่เวลาต่อมาหัวหน้าทหารจะพูดกับเวียงพิงค์อีกครั้งด้วยน้ำเสียงดุดัน
“พวกข้าได้รับคำสั่งจากวังหลวงให้มาเอาวันเดือนปีเกิดของเจ้า”
ฉิบหายล่ะ… เพียงแค่ได้ยินว่าคนจากวังหลวงต้องการวันเดือนปีเกิดของตัวเอง คำสั้น ๆ แต่ได้ใจความนักก็ผุดขึ้นมาในหัวของเวียงพิงค์ทันที
“แล้วพวกท่านจะเอาไปทำไม” เวียงพิงค์ถามต่อ ตั้งท่าจะไม่ยอมบอก
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้”
“งั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องบอกพวกท่านเหมือนกัน” เวียงพิงค์ย้อน ทำเอาหัวหน้าทหารถึงกับชักสีหน้าใส่กันโดยพลัน
“สามหาว!”
“หยุดนะ นี่พวกท่านจะรังแกข้ากับเด็กเล็กหรือไง” เวียงพิงค์ตะโกนถามเสียงดัง หลังพวกทหารตรงปรี่เข้ามาหากัน ตั้งท่าเหมือนจะทำร้ายเขากับเจ้าเปี๊ยก
“เอาซี่! ถ้าพวกท่านคิดว่าการรังแกคนไม่มีทางสู้มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พวกท่านก็ทำเลย ชาวบ้านในตลาดจะได้รู้ว่าคนจากวังทำร้ายราษฎร” เวียงพิงค์พูดต่อ โดยเขาจงใจพูดจาเสียงดังเพื่อที่จะได้เป็นจุดสนใจมากขึ้น และถ้ายิ่งผู้คนให้ความสนใจกับพวกเขามากเท่าไร ทหารพวกนี้ก็จะไม่กล้าทำร้ายพวกเขามากเท่านั้น
“แค่พวกข้าขอวันเดือนปีเกิดของเจ้าเอง ทำไมเจ้าต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วย” ทหารถาม
“อยากได้วันเดือนปีเกิดของข้านักใช่ไหม ก็ได้งั้นข้าจะบอกให้ก็ได้”
“...”
“สิบสี่เดือนหกหนึ่งเก้าเก้าเก้า พอใจหรือยัง” เวียงพิงค์ตัดสินใจบอกวันเดือนแบบมั่ว ๆ ออกไป ยกเว้นปีเกิดของเขาเท่านั้นที่เป็นความจริง
“ตัวยังสั่นอยู่เหรอ นี่เจ้าคงกลัวมากสินะ” เมื่อพวกทหารเดินจากไปแล้ว เวียงพิงค์ก็ย่อตัวลงกับพื้นพร้อมเอ่ยถามลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เพราะขนาดเขาที่เป็นผู้ใหญ่ก็ยังกลัวต่อเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เลย เจ้าเปี๊ยกเองก็คงจะกลัวเหมือนกัน
“ก้อพวกทหารตัวใหย่ ตัวใหย่เหมือนยัก” เจ้าเปี๊ยกเอ่ยและพยายามจะกลั้นน้ำตาของตัวเองไปด้วย
“ไม่ต้องกลัวนะเจ้าเปี๊ยก เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” เวียงพิงค์พูดพลางลูบหัวลูบหางเจ้าเปี๊ยกให้คลายความกลัว
หลังจากนั้นเขาก็จัดการอุ้มเจ้าเปี๊ยกเข้าเอว เพื่อกลับไปยังหอนางโลมด้วยกัน เนื่องจากถ้าหากเขาพาเจ้าเปี๊ยกเดินไป เห็นทีตลอดทั้งวันนี้ก็คงจะไม่ถึงหอนางโลมแน่ เพราะเจ้าเด็กเล็กยังคงขาสั่นไม่เลิก
อีกฝั่งหนึ่ง…
“เกิดปีหนึ่งเก้าเก้าเก้างั้นรึ ฝ่าบาท… กระหม่อมว่าชาวบ้านผู้นั้น”
“ข้าเชื่อเขา”
“...”
“ไหน ๆ เราก็ได้วันเดือนปีเกิดมาแล้ว งั้นเจ้าก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปสิ จะมาตั้งคำถามทำไม”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลังชักสีหน้าและเอ็ดหมอดูประจำสำนักพระราชวังไปหนึ่งหน กษัตริย์ยงฮวาที่กำลังนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ของตัวเองก็กลับมาทำสีหน้าปกติอีกครั้ง และเฝ้าคอยให้หมอดูทำนายดวงชะตาของตัวเองกับบุรุษผู้นั้นด้วยใจที่จดจ่อ เมื่อความสงสัยมากมายที่มีต่อตัวเวียงพิงค์ได้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
อาจเพราะบุรุษผู้นั้นแปลก… เหมือนพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้านแล้วแต่ก็ยังแปลก นั่นจึงทำให้ยงฮวามีความสงสัยและสนใจในตัวบุรุษผู้นั้นมาก จนอยากจะนำตัวมาในวังหลวงเพื่อจับตามองอย่างใกล้ ๆ
หรือไม่ก็ฆ่าทิ้ง ก่อนจะสร้างปัญหา
“เอ่อ… ฝ่าบาท เท่าที่กระหม่อมตรวจดวงชะตาให้แล้ว ดวงชะตาของฝ่าบาทและชาวบ้านผู้นั้นไม่สมพงศ์กันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“สมพงศ์สิ”
“...”
“ข้าบอกว่าสมพงศ์ก็คือสมพงศ์” หลังได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยน่าพอใจกลับมา ยงฮวาก็เลือกทำตามใจตัวเองมากกว่าเชื่อโชคชะตาทันที เนื่องจากในฐานะกษัตริย์ที่ดูแลความสงบสุขให้กับราษฎร เขาจึงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้
หากหาเรื่องพาเข้าวังไม่ได้ งั้นก็ขอใช้อำนาจที่มีอยู่บังคับให้เข้ามาอยู่ในวังเลยก็แล้วกัน
“ปกติแล้ว…ฝ่าบาทไม่เคยขัดขืนฝืนโชคชะตามาก่อน แต่เหตุใดปีนี้ถึงตัดสินใจเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อการประชุมกับเหล่าขุนนางชั้นสูงเสร็จสิ้นแล้ว ขณะที่กำลังเดินกลับตำหนักของตัวเองพร้อมกับเหล่าข้าราชบริพาร องครักษ์คนโปรดและเปรียบเสมือนพระสหายที่มีนามว่ามินจุน ก็ได้เดินเข้ามาสอบถามอย่างไม่เข้าใจ
“เอาเป็นว่าข้ามีเหตุผลของข้าก็แล้วกัน”
“แต่เหตุผลของฝ่าบาท มันสำคัญกว่าโชคชะตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตั้งแต่ข้าถูกอันเชิญให้ขึ้นปกครองแผ่นดินซานซูยูมาเป็นร้อยปี ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาเลยสักครั้ง แต่ที่ข้ายอมให้คนในวังตรวจดูดวงชะตาทุกปี ยอมให้เข้ามาจัดการนั่นนี่ให้ก็เพราะความสบายใจของพวกเจ้าทั้งนั้นแหละ” ยงฮวาเอ่ย ก่อนที่กษัตริย์รูปงามและเป็นนิรันดร์จะค่อย ๆ ก้าวเท้าต่อไป โดยไม่มีการหันกลับมามององครักษ์คนโปรดอีก
“ข้าม่ายด้ายโม้นะ! ทหารพวกนั้นตัวใหย่เหมือนยักจิง”
“ข้ารู้แล้วว่าทหารพวกนั้นตัวใหญ่ แต่เด็กเล็กอย่างเจ้าน่ะหรือจะกล้าไปต่อกรกับพวกนั้น”
“ก้อข้าเหนว่าทหารกำลังจะทำร้ายอาจานของข้าไง ข้าเลยต้องปกป้อง”
“เฮ้อ ช่างเป็นเด็กขี้โม้เสียจริง อย่างเจ้าน่ะ… ต่อให้ข้าไม่ไปเห็นเหตุการณ์ด้วยตา ข้าก็พอจะเดาออกว่าคงตัวสั่นกอดขาเวียงพิงค์แน่นล่ะสิท่า”
“แม่นอย่างตาเห็นเลยแฮะ”
“อาจาน!” ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องอึนเฮเตรียมตัวเรียนการละเล่นคุกอักต่อ เสียงโวยวายของเจ้าเปี๊ยกที่ตามติดเวียงพิงค์มาด้วยก็คอยดังขึ้นอยู่เป็นระยะ หลังเด็กชายตัวเล็กเอาแต่โม้เรื่องเมื่อตอนเย็นไม่หยุด ประหนึ่งว่าเจ้าตัวเป็นวีรบุรุษปกป้องอาจารย์ของตัวเอง
“ตัวแค่นี้เสียงดังเสียจริง แล้วนี่ทำไมเจ้าถึงไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนล่ะ เพราะตอนนี้ข้าจะเริ่มสอนเวียงพิงค์แล้วนะ” อึนเฮออกปากไล่เจ้าเปี๊ยกด้วยท่าทีรำคาญ แต่เวียงพิงค์รู้ดีว่าเธอเองก็คงนึกเอ็นดูเจ้าเปี๊ยกเหมือนอย่างเขา
“วันนิข้าจะตามติดอาจานของข้า แล้วก้อจะม่ายไปไหนด้วย”
“ทำไมล่ะ” อึนเฮถามหาเหตุผลพร้อมถามต่อ “หรือเพราะเจ้าซึ้งใจที่เวียงพิงค์อ้าแขนปกป้องเจ้า”
“เปล่าสักหน่อย” เจ้าเปี๊ยกปฏิเสธทั้งหน้ามุ่ย ทำเอาทั้งอึนเฮและเวียงพิงค์ได้แต่ยิ้มออกมา ก่อนที่เวียงพิงค์จะพูดขึ้นอีกครั้งเพื่อหยอกเจ้าเปี๊ยก
“เจ้าก็บอกอึนเฮไปสิว่าวันนี้ข้าเลี้ยงขนมเจ้า เจ้าก็เลยติดข้าเป็นพิเศษ”
“ก้อส่วนนึง”
“เฮ้อ เจ้าเด็กนี่ช่างเห็นแก่กินนัก” อึนเฮว่าแล้วเอ่ยปากไล่เจ้าเปี๊ยกอีกหน “หากเจ้าว่างนักก็ไปช่วยงานที่ครัวไป เพราะข้ากับเวียงพิงค์ต้องการใช้สมาธิ”
“ก้อด้าย แล้วเจอกันตอนกินข้าวนะอาจาน” พูดจบ เจ้าเปี๊ยกก็วิ่งหายออกจากห้องของอึนเฮไปด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เจ้าเปี๊ยกก็ต้องยอมเพราะถ้าไม่อย่างนั้นอึนเฮน่าจะเรียกให้คนมาจัดการหิ้วปีกออกไป
เมื่ออยู่กับอึนเฮเพียงลำพังแล้ว ความตึงเครียดก็เข้าปกคลุมทั้งเวียงพิงค์และเธอทันที เนื่องจากเหตุการณ์ที่คนจากวังเข้ามาสอบถามข้อมูลส่วนตัวของเวียงพิงค์อย่างเจาะจงนั้น มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกเสียจากเขาจะได้เป็นตัวแทนของปีนี้
“ทำไมปีนี้มันถึงแปลกนักนะ” อึนเฮที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพูดขึ้นเสียงเครียด พร้อมทำหน้าครุ่นคิดไปด้วย “ปกติแล้วการที่ตัวแทนเป็นบุรุษ มันต้องหมายความว่าหาผู้หญิงไม่ได้แล้วสิ ไม่ใช่ว่ายังไม่ทันหาหญิงสาวแต่พุ่งมาเอาผู้ชายแบบนี้”
“เจ้าเคยบอกว่าวังจะเอาวันเดือนปีเกิดไปตรวจดูโชคชะตาก่อนใช่ไหม”
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก เพราะตอนที่ทหารเข้ามาถามข้า... ข้าบอกวันเดือนเกิดแบบมั่ว ๆ ไป” เวียงพิงค์เอ่ย โดยนั่นก็ทำให้อึนเฮเบิกตากว้างเล็กน้อยคล้ายกับตกใจ
“เจ้าทำแบบนั้นมันเสี่ยงมากเลยนะเวียงพิงค์ หากวังรู้ว่าเจ้าให้ข้อมูลเท็จ เจ้าอาจถูกลงโทษได้นะ”
“แล้วใครจะสนล่ะ ไม่สิ…แล้วใครจะรู้ล่ะว่าข้าให้ข้อมูลเท็จ ในเมื่อข้าไม่มีครอบครัวที่นี่และคนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่เจ้าเท่านั้น” เวียงพิงค์บอกพร้อมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอึนเฮ ซึ่งด้วยสัญชาตญาณบางอย่างเขาก็มั่นใจมากว่าผู้หญิงตรงหน้าจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“เรื่องนั้นเจ้าสบายใจได้ ข้าไม่ใช่คนปากโป้ง” ราวกับอึนเฮรู้ว่าเวียงพิงค์คิดอะไร เธอถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา “แต่ว่า…เจ้าไม่กลัวว่ามันจะเป็นคราวซวยของตัวเองบ้างหรือไง เจ้าจะทำยังไงหากวันเดือนปีเกิดที่เจ้าบอกไปมั่ว ๆ มันคำนวณออกมาว่าเจ้ามีดวงสมพงศ์กับกษัตริย์ยงฮวา”
“ฮ่า ๆ ข้าคงไม่ดวงซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง แล้วอีกอย่างข้าบอกปีเกิดที่แท้จริงของตัวเองไปด้วย ข้าเกิดปีหนึ่งเก้าเก้าเก้า แล้วมันจะไปดวงสมพงศ์กับกษัตริย์ยงฮวาได้อย่างไร” เวียงพิงค์พูดทั้งรอยยิ้ม ทว่าเวลาต่อมาเขากลับต้องหันไปมองประตูห้องอึนเฮด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงโวยวายอยู่ข้างหน้าห้อง
“หน้าห้องมีเรื่องอะไรกันน่ะ!” อึนเฮตะโกนถามเสียงดังและรีบลุกขึ้นเตรียมจะออกไปดูความวุ่นวายนั้น โดยในจังหวะเดียวกันประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน พร้อมด้วยการปรากฎตัวของทหารจากวังหลวง
“พวกข้ามารับตัวบุรุษที่อยู่ในห้องของเจ้า เพราะปีนี้บุรุษผู้นี้จะเป็นตัวแทนของชาวบ้าน”
“ว—ว่าไงนะ” เวียงพิงค์ที่ถูกกล่าวถึงเอ่ยทั้งเสียงสั่นและนึกอยากเป็นลมไปเสียดื้อ ๆ