3

1900 Words
“เวียงพิงค์เจ้ารีบเดินตามข้ามาสิ มัวแต่เดินช้าอืดอาดอยู่นั่น เดี๋ยวก็ถูกหัวหน้าแม่ครัวบ่นหรอก!” “อื้อ!” หลังถูกโซฮีตะโกนเรียกเสียงดัง เวียงพิงค์ที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับสินค้าในท้องตลาดก็รีบหันกลับไปพยักหน้าให้เธออย่างกระตือรือร้น ก่อนจะพยายามก้าวเท้าเดินตามให้ทัน หลังช่วงเช้ามืดของวันเขาได้ขอติดสอยห้อยตามโซฮี สาวใช้คนโปรดของอึนเฮมาจ่ายตลาดด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้เวียงพิงค์ก็เริ่มปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้แล้ว คนในหอนางโลมเริ่มบ่นเขาน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถูกบ่นอยู่ดี เนื่องจากเวียงพิงค์ทำอะไรเชื่องช้า เพราะมัวแต่สนใจสิ่งรอบตัวตามประสาคนที่ไม่เคยเห็นในยุคสมัยของตัวเองมาก่อน “ขนมนี้เคยเห็นแต่ในมันฮวานี่ อยากลองกินจัง” พอเริ่มเดินต่อไปได้สักพัก เวียงพิงค์ก็มาหยุดที่ร้านขายขนมหวาน เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นขนมโบราณที่เคยเห็นในมันฮวาเกาหลีพอดี โดยในจังหวะที่เวียงพิงค์กำลังจะหยิบเอาเบี้ยเลี้ยงที่ได้จากอึนเฮมาใช้จ่าย โซฮีที่เดินนำไปก่อนแล้วก็เดินย้อนกลับมาหาเขา พร้อมดึงแขนเวียงพิงค์ให้เดินตามเธอไป “อะไรกัน นี่ข้ากำลังจะซื้อขนมนะ!” เวียงพิงค์โวยวายใส่โซฮีทั้งคิ้วขมวด “ก็เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลาน่ะสิ นี่เจ้าขอติดสอยข้ามาจ่ายตลาดนะ ไม่ใช่ว่าข้าพาเจ้ามาเที่ยวเล่นสักหน่อย” โซฮีโวยวายกลับคล้ายจะไม่ยอมเช่นกัน “เฮ้อ งั้นก็ได้ ๆ เรื่องนี้ข้าผิดเองก็ได้” เวียงพิงค์บอกกลับไปพร้อมถอนหายใจใส่โซฮีหนึ่งหน แล้วค่อยเดินตามหลังต่อพร้อมหอบหิ้ววัตถุดิบสดที่ได้จากตลาดช่วยเธอด้วย ทว่าพอเขาเริ่มเดินตามเธอไปได้สักพัก เวียงพิงค์ก็เกิดความสงสัยอีกแล้ว เมื่อข้างหน้าของพวกเขากำลังมีกลุ่มชาวบ้านมุงดูอะไรสักอย่าง “โซฮี ชาวบ้านพวกนั้นเขาพากันมุงดูอะไรเหรอ” เวียงพิงค์ถามเพื่อน เพราะคิดว่าเธอน่าจะรู้เรื่องนี้ “สงสัยน่าจะเป็นประกาศจากวังมั้ง ถ้างั้นเราเข้าไปดูกันเถอะ” โซฮีบอกกลับมาพร้อมจูงมือเวียงพิงค์ให้เดินไปอ่านประกาศจากวังด้วยกัน หลังใช้เวลาแหวกกลุ่มชาวบ้านอยู่นานพักใหญ่จนได้มาอยู่ที่แถวหน้าสุดแล้ว ทั้งโซฮีและเวียงพิงค์ก็ได้มายืนอ่านประกาศอย่างชัด ๆ เสียที ซึ่งในตอนแรกเวียงพิงค์ก็นึกว่าโซฮีจะอ่านออกเหมือนอย่างเขา แต่พอเขาเริ่มอ่านในใจไปได้สักพัก เสียงเล็ก ๆ ของเธอก็ดังขึ้นที่ข้างหู “ในประกาศเขาบอกว่าอะไรเหรอ” โซฮีกระซิบถามอย่างใคร่รู้ “อ๋อ เขาประกาศว่าทางสำนักราชวังเตรียมจะจัดพิธีกรรมไหว้แม่น้ำของมังกรน่ะ” เวียงพิงค์บอกเพื่อนและชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อบทสนทนาระหว่างเขาและกษัตริย์ยงฮวาในหลายคืนก่อนได้ผุดขึ้นมาในความคิด “ประกาศจากวังเขาบอกว่าให้ชาวบ้านเตรียมตัวแทนเอาไว้ด้วย เดี๋ยวจะมีคนจากวังออกมาปรึกษาหารือ…” เวียงพิงค์สรุปใจความวรรคสุดท้ายให้เพื่อนฟัง แล้วหลังจากนั้นเพียงไม่นานพวกเขาก็ถูกกลุ่มคนที่ยังไม่เห็นใบประกาศดันหลังจนหลุดออกมาจากกลุ่ม “มันเริ่มแล้วสินะ” “แล้วปกติพวกชาวบ้านเขาจะไม่หาตัวแทนเอาไว้ก่อนเหรอ” พอกลับมาที่หอนางโลมและได้นำข่าวมาเล่าให้อึนเฮฟังแล้ว เวียงพิงค์ที่นั่งอยู่บนเบาะฝั่งตรงข้ามเธอก็จ้องอึนเฮตาแป๋ว เนื่องจากตอนนี้ความสงสัยของเขาผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด อยากจะซักถามทุกเรื่องให้หายข้องใจ แต่ก็ต้องรอให้อึนเฮพร้อมที่จะตอบก่อน “ไม่มีหรอก เพราะใครมันจะอยากรู้วันตายล่วงหน้าของตัวเองล่ะ” “...” “ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่ว่าปีก่อนตายไปสอง ส่งตัวแทนไปแบบนั้นก็เท่ากับส่งไปตาย แล้วใครมันจะอยากส่งไปล่ะ” “จะว่าไปแล้วเท่าที่ข้าเคยได้ยินมา…ต้องตายแค่ปีละคนไม่ใช่เหรอ แล้วเหตุใดเมื่อปีก่อนถึงตายไปสองล่ะ” เวียงพิงค์ตั้งคำถามต่อ เพราะในยุคสมัยของเขามีการบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ว่าในทุก ๆ ปีจะมีคนถูกสังเวยเพียงแค่หนึ่งเท่านั้น แต่เขายังไม่เห็นบันทึกใดที่บอกว่ามีการตายสองคนเลย “ก็ปีก่อนมีความผิดพลาดเกิดขึ้นนิดหน่อย เพราะมีครอบครัวหนึ่งย้อมแมวส่งสาวหม้ายเข้าวัง เพราะอยากได้เงินจากวังน่ะ” “...” “ซึ่งตามกฎแล้วคนที่เป็นตัวแทนในทุก ๆ ปี จะต้องเป็นสาวที่ยังไม่เคยผ่านการมีครอบครัวมาก่อน และมีดวงชะตาสมพงศ์กับกษัตริย์ยงฮวา แล้วถ้าสมมติครอบครัวไหนที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทน คนของวังก็จะนำเงินมาให้ ถือเสียว่าเป็นค่าเลี้ยงดูตัวแทนตั้งแต่กำเนิด บางบ้านที่ยากจนมากเลยนึกอยากรวยจากทางนี้ไง” “แล้วเขาให้ส่งแค่เฉพาะผู้หญิงเหรอ โห…ถ้าเป็นแบบนี้ครอบครัวไหนให้กำเนิดลูกชายก็สบายใจเลยสิ เพราะยังไงคนในครอบครัวของตัวเองก็ไม่ตายแน่นอน หรือไม่ถ้าบ้านไหนให้กำเนิดลูกผู้หญิงก็ต้องผลักดันให้ลูกรีบแต่งงานใช่ไหม ถึงจะรอดพ้นจากการเป็นตัวแทน” เวียงพิงค์ร่ายยาว เมื่อเขาเริ่มมองเห็นความไม่เท่าเทียมของยุคสมัยนี้แล้ว “มันก็ไม่เสมอไปหรอก เพราะปีนี้พวกชาวบ้านอาจนึกคึกส่งผู้ชายเข้าวังก็ได้” อึนเฮตอบกลับมาพร้อมโบกสะบัดพัดประจำกายของเธอไปด้วย “เจ้าหมายความยังไง ข้าไม่เข้าใจ” เวียงพิงค์ถามต่อ “ก็ตามนั้นแหละ” “...” “หากปีไหนหาผู้หญิงที่มีดวงสมพงศ์กับกษัตริย์ยงฮวาไม่ได้ ทางวังก็จะให้ชาวบ้านเอาวันเดือนปีเกิดของบุตรชายที่ยังไม่ผ่านการมีครอบครัวมา” “แล้ว…ต้องเกิดวันที่เท่าไร เดือนไหนเหรอถึงจะมีดวงสมพงค์กับกษัตริย์ยงฮวาน่ะ” เวียงพิงค์ถามต่อ เมื่อเขาเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างบอกไม่ถูก “เรื่องนี้มันเป็นความลับของวัง ไม่มีใครรู้หรอกและในแต่ละปีวันเดือนปีเกิดก็จะไม่ตายตัวด้วย หมอดูในวังหลวงจะต้องดูฤกษ์ยามใหม่ให้ทุก ๆ ปีน่ะ” อึนเฮพูดแล้วเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง “และทำไมเจ้าถึงทำหน้าเจื่อนแบบนั้นล่ะ นี่เจ้ากลัวว่าหวยจะมาลงตัวเองหรือไง” “ก็ถ้าการส่งตัวแทนเท่ากับต้องไปตาย ข้าก็ควรต้องกลัวไม่ใช่เหรอ ในเมื่อข้าเองก็เป็นมนุษย์” เวียงพิงค์ตอบกลับไป ทำเอาอึนเฮถึงกับยิ้ม “หากเจ้ากลัวตายก็ดีแล้วล่ะ งั้นเจ้าก็ภาวนาขอให้ปีนี้ชาวบ้านหาตัวแทนที่เป็นหญิงสาวได้ก็แล้วกันนะ” “แล้วเจ้าล่ะ ไม่กลัวตายบ้างหรือไง” เวียงพิงค์ถามอึนเฮกลับ เพราะเธอเองก็ยังเป็นสาวสวยไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกเต้าให้ดูแลด้วย “อ๋อ พอดีข้าเป็นสาวหม้ายน่ะ ดังนั้นคนของวังคงไม่มาสนใจหม้ายสาวคาวโลกีย์อย่างข้าหรอก” หลังพูดคุยกับอึนเฮและร่วมทานมื้อเช้ากับสาวใช้คนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว ช่วงบ่ายของวันเวียงพิงค์ก็มานั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เตรียมตัวสอนหนังสือให้กับเหล่าเด็ก ๆ ในหอนางโลมต่อ “แล้วเมื่อไรทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที นี่เราต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเลยหรือไง” เวียงพิงค์เงยหน้าตะโกนถามดินฟ้าอากาศอย่างไม่เข้าใจ เพราะทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเวียงพิงค์ก็มักจะภาวนาขอให้ตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในหอพัก ไม่ใช่มาติดแหง็กอยู่ที่นี่ เขายังมีความปรารถนาที่อยากทำมากมาย ยังอยากประสบความสำเร็จและยังอยากกลับไปหาครอบครัวของตัวเองอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมชีวิตของเขาถึงต้องมาเจอกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติเช่นนี้ด้วย มาโผล่ในแผ่นดินซานซูยูไม่พอ เขายังมีความเสี่ยงว่าจะไม่แก่ตายด้วยแล้วใครมันจะอยากอยู่ในแผ่นดินนี้กัน ในเมื่อไม่รู้ว่าปีไหนมันจะถึงคราวซวยของตัวเอง “พิ…” “...” “พิ!” “อะไรเล่า เจ้าเด็กนี่” หลังถูกเขย่าขาอย่างแรงจนทำให้ตกใจ เวียงพิงค์ก็ก้มมองค้อนเด็กชายตัวเล็กที่เป็นนักเรียนของตัวเองทันที โทษฐานที่อีกฝ่ายทำให้เขาสะดุ้ง “พ้อมสอนรึยัง” เด็กชายตัวกระเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเงยหน้าขึ้นถาม “ก็ต้องพร้อมสอนแล้วสิ เพราะข้าก็มานั่งรอพวกเจ้านี่แหละ ว่าแต่เพื่อนของเจ้าหายไปไหนกันหมด ทำไมถึงไม่มาด้วยกัน” เวียงพิงค์ถามพร้อมอุ้มร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตัก เพื่อเช็ดคราบเปื้อนที่ข้างแก้มออกให้ โดยเด็กชายผู้นี้ก็เกิดในหอนางโลมไม่มีพ่อแม่ อึนเฮจึงรับอุปการะเอาไว้เพราะความสงสารล้วน ๆ “ถามแล้ว เจ้าพวกนั้นม่ายมา” “ทำไมล่ะ” เวียงพิงค์ถามหาเหตุผล “ก้อมันม่ายสนุก” “ข้ามาสอนหนังสือให้ความรู้กับพวกเจ้านะ แล้วมันจะสนุกได้ยังไงกัน” เวียงพิงค์พึมพำเสียงแผ่ว ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามเด็กชายตัวกะเปี๊ยกต่อ “แล้วทำไมเจ้าถึงมาล่ะ เรียนหนังสือสนุกหรือไง” “ก้อเพลิน ๆ ไง นี่ข้าอ่านตัวนี้ออกด้วยนะ!” เด็กชายตัวเล็กพูดอวด พร้อมหยิบเอากระดานดำและช็อกสีที่เวียงพิงค์เคยควักเงินซื้อให้ออกมาเขียนคำง่าย ๆ ให้เวียงพิงค์ดู ทำเอาคนที่รับบทเป็นครูจำเป็นถึงกับระบายยิ้มออกมาทันที รู้สึกชื่นใจที่อย่างน้อย ๆ ก็ยังพอมีคนตั้งใจเรียนกับเขาอยู่บ้าง “เก่งจัง ถ้างั้นวันนี้ข้าจะสอนเจ้าแค่คนเดียวก็ได้แล้วหลังจากที่เรียนเสร็จ ข้าจะพาเจ้าไปกินขนมในตลาด โอเคหรือเปล่า” “โอเคคืออะไล” เด็กชายตัวเล็กถามกลับทั้งหน้างง ซึ่งนั่นก็ทำให้เวียงพิงค์ต้องตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ เนื่องจากเขาเผลอหลุดคำสมัยใหม่ออกมาอีกแล้ว “เอาใหม่… หลังเรียนเสร็จข้าจะพาไปกินขนม เจ้าตกลงหรือเปล่า” “ตกลง!” เด็กชายตัวเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะคลานไปนั่งที่ประจำของตัวเอง เตรียมจะเรียนหนังสือกับเวียงพิงค์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD