2

2896 Words
2 ‘เมื่อปีที่แล้วตายไปสอง คิดเอาเองก็แล้วกัน’ คำพูดของอึนเฮที่บอกกันเมื่อตอนเช้า ทำเอาเวียงพิงค์ถึงกับคิดหนักและไม่สามารถสลัดมันออกจากหัวได้เลย ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะเขากลัวตัวเองจะตกเป็นเหยื่อของกษัตริย์แห่งซานซูยู แต่เป็นเพราะเวียงพิงค์ไม่เข้าใจความคิดของชาวบ้านที่นี่ต่างหาก ว่าเหตุใดถึงยอมสังเวยชีวิตมนุษย์ให้กับปีศาจในคราบนักบุญทุกปีเช่นนี้ “มัวแต่นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ รีบทำ!” “อ—อ๋อ ครับ” ขณะที่กำลังนั่งใจลอยระหว่างทำกิมจิ เสียงของหัวหน้าแม่ครัวก็ทำเอาเวียงพิงค์ถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนที่เขาจะตั้งหน้าตั้งตาคลุกเคล้าผักกาดขาวให้เข้ากับเครื่องเทศที่เตรียมไว้อย่างขะมักเขม้น หลังช่วงบ่ายของวันนี้อึนเฮได้ให้เขาเข้ามาช่วยงานที่ครัวก่อนแล้วอีกสักพักเธอจะเรียกเวียงพิงค์เข้าไปหา เพื่อสอนเขาเล่นเครื่องดนตรีพื้นบ้านไว้ต้อนรับแขกเหรื่อที่จะมาเยี่ยมเยียนหอนางโลมในทุกค่ำคืน “เวียงพิงค์ นายหญิงเรียกพบแล้ว” “อ้อ! เดี๋ยวไป” เวียงพิงค์หันกลับไปขานรับ เมื่อเวลาต่อมาโซฮีสาวใช้คนเมื่อเช้าที่พาเขาไปอาบน้ำได้เดินเข้ามาบอกกันถึงในครัว โดยเธอก็ถือว่าเป็นคนสนิทของอึนเฮแล้วเวลาที่อึนเฮต้องการความช่วยเหลืออะไร เธอก็มักจะใช้งานโซฮีอยู่เสมอเหมือนอย่างครั้งนี้ “นายหญิงเรียกใช้ข้าแล้ว ถ้างั้นข้าไปก่อนนะขอรับ” เวียงพิงค์หันกลับมาบอกหัวหน้าแม่ครัวเสียงแผ่ว “อืม เจ้าไปซะ” สิ้นเสียงอนุญาต เขาก็รีบลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วไปล้างไม้ล้างมือ เตรียมจะไปหาอึนเฮที่ห้องของเธอ โดยตลอดทั้งการเดินกลับไปยังห้องอึนเฮนั้น เวียงพิงค์ก็หันมองข้างทางอย่างสนใจ เริ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากขึ้น หลังก่อนหน้านี้ตอนที่หลุดเข้ามาในแผ่นดินซานซูยู เขามัวแต่นั่งสติแตกไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิต “เข้าไปช่วยเหลือที่ครัวเป็นยังไงบ้าง” เสียงของอึนเฮดังขึ้น เมื่อเวียงพิงค์เดินเข้ามาในห้องเธอแล้ว “ก็ดี แต่หัวหน้าแม่ครัวดุเป็นบ้า” เขาบอกเจ้าของหอนางโลมไปตามตรง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวถึงกับระบายยิ้มออกมา พลางโบกสะบัดพัดประจำตัวอย่างนึกอารมณ์ดี “เป็นธรรมดา นางเป็นหัวหน้าแม่ครัวต้องคุมคนงานมากมาย หากจะมานั่งใจดีกับทุกคนแล้วใครจะยอมเชื่อฟัง” “ก็จริงของเจ้า” “ว่าแต่ตอนที่เจ้าไปที่ครัว นางได้ถามหรือเปล่าว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน” “ถาม” เวียงพิงค์ตอบแล้วว่าต่อ “แต่ข้าบอกแค่ว่าเจ้าเก็บข้ามาจากตลาดเท่านั้น” “งั้นหรือ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกล่ะว่ามาจากแผ่นดินอนาคต” “พอเถอะ ข้าไม่อยากให้ใครมองข้าเป็นตัวประหลาดหรือต้องมานั่งอธิบายอะไรเพิ่มเติมแล้ว” เวียงพิงค์ให้เหตุผล เพราะขนาดอึนเฮที่เป็นสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา แถมยังดูเฉลียวฉลาดมากกว่าใคร เวียงพิงค์ยังต้องพร่ำอธิบายจนคอแห้ง หากจะให้เขาเทียวประกาศตนว่าเขาไม่ใช่คนที่นี่ เห็นทีตลอดทั้งวันนี้เวียงพิงค์คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว “ข้าพอจะเข้าใจ” อึนเฮพยักหน้ารับ พลางพยักพเยิดหน้าไปทางฝั่งหนึ่งของห้องที่มีเครื่องดนตรีโบราณตั้งเอาไว้อยู่ “เอาล่ะ… เดี๋ยววันนี้ข้าจะสอนเจ้าเล่นคุกอักก็แล้วกัน เอาไว้เล่นต้อนรับบุรุษในยามค่ำคืน” “แล้วข้าจะต้องเล่นมันทุกคืนเลยหรือ” เวียงพิงค์ถาม “เฉพาะวันที่มีแขกพิเศษก็พอ เหมือนอย่างคืนนี้” “...” “แต่คืนนี้ยังไม่ต้องเล่นก็ได้ เพราะซักซ้อมแค่ไม่กี่ชั่วโมงเจ้าคงยังเล่นอะไรไม่เป็นนัก” อึนเฮพูดต่อราวกับรู้ความคิดของเวียงพิงค์ “อืม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบสอนข้าสิ” เวียงพิงค์บอกกลับไป พยายามจะไม่สนใจท่าทีแปลก ๆ ของอึนเฮ เพราะเคยมีพื้นฐานการเล่นเครื่องดนตรีมาบ้าง นั่นจึงทำให้การฝึกเล่นคุกอักครั้งแรกในชีวิตของเวียงพิงค์ มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเล่นยากเท่าไรนัก ถ้าหากตั้งใจเรียนและเริ่มจับทางถูกก็จะสามารถเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้อย่างง่ายดาย โดยคุกอักก็จะมีอยู่สองแบบ คือ ชองอักที่นิยมใช้เล่นในราชสำนัก ถือเป็นเครื่องดนตรีชั้นสูง มีจังหวะเชื่องช้าและมินซกอักเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้าน มีจังหวะที่เร็วกระฉับกระเฉง “เจ้านี่หัวไวกว่าที่คิดอีกนะ แค่สอนไปไม่เท่าไรก็เริ่มเล่นเป็นแล้ว” อึนเฮกล่าวชม หลังการสอนเล่นคุกอักผ่านไปได้เกือบชั่วโมงแล้ว และตอนนี้เวียงพิงค์ก็กำลังจะลองบรรเลงเพลงเอง โดยที่เธอไม่ต้องมานั่งกำกับหรือสอนจับนิ้ว “ก็ข้าพอจะมีพื้นฐานพวกนี้มาบ้างน่ะ” เวียงพิงค์บอกเธอ พลางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือโบราณที่บันทึกท่วงทำนองต่าง ๆ ขึ้นมาอ่าน เตรียมจะลองเล่น “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เจ้าก็ทำการแสดงได้แล้วสิ” อึนเฮเอ่ย และนั่นก็ทำให้เวียงพิงค์แอบชะงักไปเล็กน้อย หลังเขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “เจ้าคิดดีแล้วหรือ” เขาทำทีถามกลับไปด้วยท่าทีเมินเฉย “ไหนเจ้าบอกว่าคืนนี้แขกที่มาเยือนหอนางโลมเป็นขุนนางชั้นสูงไง เจ้าอยากให้ข้าเป็นหน้าเป็นตาให้กับหอนางโลมของเจ้า หรืออยากให้ข้าทำขายหน้าดีล่ะ” “...” “คิดดี ๆ นะอึนเฮ เพราะดูเหมือนในแผ่นดินนี้จะมีหอนางโลมตั้งมากมาย ขนาดเมื่อเช้าข้าเดินผ่านอย่างไม่ได้ใส่ใจนักยังพอจะนับได้เลยว่ามันมีมากกว่าสอง” “จริงของเจ้า” อึนเฮพึมพำคล้ายกับจะเปลี่ยนความคิดใหม่ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เจ้าอย่าเพิ่งเล่นก็ได้ ไว้ให้เจ้าฝึกเล่นจนข้ามั่นใจในฝีมือก่อน แล้วเจ้าค่อยไปเล่นต่อหน้าพวกขุนนาง” พอได้รับคำตอบเช่นนั้น เวียงพิงค์ก็ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างนึกโล่งอก นี่ถ้าหากอึนเฮยังคิดจะยัดเยียดให้เขารับหน้าที่บรรเลงคุกอักต่อหน้าพวกขุนนางชั้นสูง เห็นทีเวียงพิงค์ก็คงจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเธอจงใจจะเอาเขาไปสังเวยให้แด่กษัตริย์ยงฮวา ครืด ~ ทว่ายังไม่ทันที่เวียงพิงค์จะได้สูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอดอีกครั้ง เสียงเปิดประตูบานเลื่อนพร้อมกับการปรากฎตัวของผู้มาใหม่พร้อมด้วยพวกข้าราชบริพารก็เกิดขึ้นเสียก่อน “แต่ข้าอยากฟังการบรรเลงคุกอักจากบุรุษผู้นี้นะ” “ใต้เท้า…” อึนเฮเอ่ยเสียงตกใจ พร้อมหันมาสั่งเวียงพิงค์ให้รีบลุกขึ้นแล้วโค้งหัวให้ผู้มาใหม่ทันที “ทำไมนายท่านถึงมาเร็วนักล่ะเจ้าคะ” “ในฐานะที่ข้าเป็นลูกค้าชั้นดีของที่นี่ ไม่ใช่ว่าข้าจะสามารถมาเวลาไหนก็ได้หรือ” อีกฝ่ายย้อนถามแบบไม่ต้องการคำตอบ “เจ้าค่ะ นายท่าน… นายท่านสามารถมาตอนไหนก็ได้เจ้าค่ะ” อึนเฮโค้งหัวรับและนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น จากนั้นแขกคนแรกที่เข้ามาเยือนหอนางโลมในค่ำคืนนี้ก็เดินเอามือไขว้หลังเข้ามาด้านในห้องอย่างไม่รีบร้อน โดยอีกฝ่ายก็พุ่งความสนใจมาทางเวียงพิงค์ ทำเอาคนที่กำลังถูกจ้องถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนดี “ข้ายังไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน เด็กใหม่หรือ” “เจ้าค่ะ ข้าเพิ่งรับเข้ามาช่วยงานที่นี่ได้ไม่นาน” อึนเฮเอ่ยตามตรง ซึ่งในระหว่างนั้นนายท่านที่ว่าก็จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเวียงพิงค์ จนอึนเฮต้องเข้าช่วยเขา “บุรุษผู้นี้ชื่อเวียงพิงค์เจ้าค่ะ เวียงพิงค์โค้งหัวให้นายท่านอีกสิ” “พอแล้ว เจ้าจะให้เขาโค้งอะไรมากมาย” นายท่านเอ่ย คล้ายกับนึกรำคาญความพิธีรีตอง หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ค่อย ๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้เวียงพิงค์ให้มากยิ่งขึ้น แล้วถือวิสาสะใช้มือจับปลายคางของเขาให้เชิดขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่จะได้สบตากับอีกฝ่ายอย่างชัด ๆ “กลิ่นไม่ใช่… เจ้าไม่ใช่คนที่นี่หรือ” นายท่านถาม ทำเอาเวียงพิงค์ถึงกับเบิกตากว้าง เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้ “...” “ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ ดังนั้นอย่าเสียมารยาทกับแขกชั้นดีของที่นี่” “ผ—ผม…” เวียงพิงค์ตั้งท่าจะตอบ ทว่าเขากลับต้องชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อหลุดใช้ภาษาในยุคตัวเอง “ข้าเป็นคนที่นี่” “โกหก” อีกฝ่ายสวนกลับมาทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เวียงพิงค์สะดุ้ง “เอ่อ… นายท่านเจ้าคะ ข้าเก็บเวียงพิงค์มาจากตลาด เห็นกำลังนั่งไม่มีที่ไปอยู่ข้างทาง เจ้านี่เป็นแค่คนเร่ร่อนไม่มีที่ไปเท่านั้น แต่ทำไมนายท่านถึงคิดว่าเวียงพิงค์ไม่ใช่คนที่นี่ล่ะเจ้าคะ” อึนเฮแสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ “ก็ชื่อไม่ใช่ภาษาของคนที่นี่ ไหนจะกลิ่นกายที่ติดตัวมาอีก” “...” “เอาเป็นว่าข้ารู้ก็แล้วกันว่าเจ้านี่ไม่ใช่คนของแผ่นดินซานซูยู” นายท่านพูดเสียงมั่นใจ ขณะที่เวียงพิงค์ก็ได้แต่ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ โดยในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เกิดความสงสัยว่าถ้าความลับแตก ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนของแผ่นดินนี้ ทุกคนจะทำยังไงกับเขาต่อ “ยังไงก็เตรียมห้องไว้ให้ข้าด้วยก็แล้วกัน ข้าอยากฟังบุรุษผู้นี้เล่นคุกอัก” “เอ่อ…นายท่านเจ้าคะ เวียงพิงค์ยังอ่อนประสบการณ์นัก ยังไม่สามารถบรรเลงเป็นเพลงได้ ได้แค่บางท่อนง่าย ๆ เท่านั้น เดี๋ยวข้าว่าข้าเล่นให้ฟังดีกว่านะเจ้าคะ หรือว่านายท่านอยากฟังการดีดคุกอักจากบรรดาสาวงาม…” “ไม่ ข้าฟังเจ้าและคนอื่นเล่นจนเบื่อแล้ว ข้าอยากเปลี่ยนคนใหม่บ้าง” นายท่านพูดอย่างเอาแต่ใจ ทำให้ไม่มีใครกล้าขัดขึ้นอีก “เอาเป็นว่าข้าอยากฟังการดีดคุกอักของเวียงพิงค์…เพียงลำพัง” “...” “อึนเฮ เจ้าพอจะจัดเตรียมห้องพร้อมด้วยอาหารให้ข้าได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ หากนายท่านต้องการ” อึนเฮโค้งหัวรับคำสั่ง แล้วเดินออกจากห้องไปเพื่อสั่งงานกับสาวใช้ต่อ ทิ้งให้เวียงพิงค์ยืนอยู่ในห้องของเธอกับบุรุษรูปงามเพียงลำพัง ทำยังไงดี สู้สารภาพความจริงออกไปเลยดีไหม… ระหว่างที่กำลังยืนประจันหน้ากับร่างสูง เวียงพิงค์ที่เลี่ยงการสบตากับดวงตาคมก็พยายามนึกหาทางออกให้กับเรื่องนี้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะมาเจออีกฝ่ายในค่ำคืนนี้ แถมยังต้องมาแสดงคุกอักให้ดูอีก “นายท่านเจ้าขา ห้องพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” อึนเฮเดินเข้ามาบอก “เจ้าตามข้ามา” เวลาต่อมาแขกผู้สูงศักดิ์ก็หันมาสั่งเวียงพิงค์ให้เขาเดินตามอีกฝ่ายไป “นายท่าน…” “...” “ท่านจะอยู่กับข้าเพียงลำพังจริงหรือขอรับ” หลังเดินตามเข้ามาในห้องและเห็นว่าสาวใช้กำลังจะปิดประตูให้ เวียงพิงค์ก็เอ่ยถามแขกชั้นดีของที่นี่ทันที และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายที่เดินนำเข้าไปก่อนหันกลับมามองกัน “ทำไมรึ หรือว่าเจ้ากลัว” “ไม่ขอรับ” เวียงพิงค์ส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วกล่าวอ้างเหตุผลเหมือนอย่างที่เขาทำกับอึนเฮ “แต่อย่างที่อึนเฮบอก ข้ายังอ่อนประสบการณ์การเล่นคุกอักนัก ข้าจึงเกรงว่าตลอดทั้งราตรีนี้การแสดงคุกอักของข้า มันอาจไม่สามารถสร้างความประทับใจให้แก่นายท่านได้” “ถ้าอย่างนั้น… ข้าควรทำอย่างไรดี” อีกฝ่ายถามกลับมา “เรียกสาวงามเข้ามาเพิ่มอีกขอรับ ให้พวกนางคอยปรนเปรอมอบความสุขให้ท่าน ระหว่างนั้นข้าก็จะพยายามบรรเลงคุกอักให้ท่านฟังด้วย” เวียงพิงค์บอก โดยจุดประสงค์ที่เขาบอกไปอย่างนั้นก็เพราะเวียงพิงค์ไม่ปรารถนาที่จะอยู่กับคนตรงหน้าเพียงลำพังเท่านั้น “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ไม่ล่ะ… คืนนี้ข้ามีแค่เจ้าก็พอแล้ว” อีกฝ่ายตอบกลับมาแล้วเดินไปนั่งที่ฟูกหนารอชมการแสดงของเวียงพิงค์อย่างไม่ลังเล ทำเอาคนที่ต้องโชว์การแสดงเล่นคุกอักทั้งที่ยังไม่พร้อม ต้องลอบพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ราวกับเวียงพิงค์กำลังอยู่ในหนังพีเรียดที่มีตัวร้ายนั่งชมการแสดงของเขาอยู่… ระหว่างที่กำลังนั่งดีดคุกอักด้วยจังหวะติด ๆ ขัด ๆ ฟังแล้วไม่ลื่นหู เวียงพิงค์ก็คอยเงยหน้าขึ้นมองแขกชั้นดีของหอนางโลมอยู่เป็นระยะไปด้วย ซึ่งพอสายตาของเขาได้สบประสานกับอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ เวียงพิงค์ก็รีบก้มหน้าลงแล้วทำท่าจ้องคุกอักตรงหน้าของตัวเองแทน “นี่ข้าคงบังคับเจ้าเกินไปสินะ เจ้าถึงได้เล่นคุกอักได้ไม่ลื่นหูเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเลิกเล่นเถอะ…” อีกฝ่ายที่กำลังซดเหล้าเข้าปากบอกเวียงพิงค์ และนั่นก็ทำให้คนที่รอคอยคำพูดนี้มาตลอดถึงกับยิ้ม ก่อนที่ในเวลาต่อมารอยยิ้มของเวียงพิงค์จะเลือนหายไปจากใบหน้า เมื่อเขาได้ยินประโยคถัดมา “เจ้ามานั่งตรงนี้ดีกว่า มารินเหล้าให้ข้า” ว่าจบ ฝ่ามือหนาก็ตบเข้าที่ฟูกว่าง ๆ ข้างตัวเอง “จ—จะดีหรือขอรับ ข้าเป็นบุรุษ…” “เป็นบุรุษแล้วยังไง ถ้าข้าพึงใจอยากให้บุรุษมารินเหล้าให้ข้า มันจะทำไมนัก” “...” “หรือว่าข้าจะต้องเรียกอึนเฮให้เข้ามาสั่งเจ้าอีกที” อีกฝ่ายแสร้งถาม แล้วเพราะอย่างนั้นเวียงพิงค์จึงต้องลุกขึ้นไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก พอได้มีโอกาสเคลื่อนย้ายกายให้มาคอยปรนเปรอแขกคนแรกของหอนางโลมในระยะใกล้แล้ว เวียงพิงค์ถึงได้มีโอกาสสังเกตเครื่องหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัด ๆ จากที่ตอนแรกเขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาหล่อเหลาราวกับภาพวาด แต่พอเขาได้จับจ้องอีกฝ่ายแบบใกล้ชิด เวียงพิงค์ก็ยิ่งรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ไม่น่าจะมีอยู่จริงบนโลก เพราะแม้แต่รูขุมขน เวียงพิงค์ก็ยังมองไม่เห็นเลย “จ้องหน้าข้าขนาดนี้ นี่เจ้ามีอะไรหรือเปล่า” เสียงของคนตรงหน้าทำให้เวียงพิงค์ได้สติอีกครั้ง “ขออภัยขอรับ พอดี…ข้าไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดมีหน้าตาหล่อเหลาเท่าท่านมาก่อน” เวียงพิงค์บอกอีกฝ่ายตามตรง ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังถึงกับยกยิ้มคล้ายกับพึงใจในคำตอบ “พูดดี ว่าแต่เจ้าไม่กลัวข้าหรือ” “...” “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นตัวอะไร” อีกฝ่ายไม่ถามเปล่า แต่ยังเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เวียงพิงค์คล้ายกับจะค้นหาคำตอบจากดวงตาของเขา โดยในเวลาเดียวกันนั้นอีกฝ่ายเองก็พิจารณาเครื่องหน้าของเวียงพิงค์เช่นกัน “รู้ขอรับ แต่ข้ารู้ว่าคืนนี้ท่านคงไม่ทำอะไรหรอก” พูดจบ เวียงพิงค์ก็กลืนน้ำลายอีกครั้ง “ทำไมถึงคิดอย่างนั้น” “ก็ตอนนี้มันไม่ใช่คืนทำพิธีกรรม” “...” “ท่านจะเสพสมมนุษย์ จะกินเลือดในกายมนุษย์เฉพาะคืนที่ทำพิธีกรรมไม่ใช่หรือขอรับ” เวียงพิงค์ถามออกไป เพราะจากที่เขาเคยอ่านมา สาเหตุที่มนุษย์ในแผ่นดินซานซูยูตายทุกปี นั่นก็เป็นเพราะถูกกษัตริย์มังกรเสพสมกายและกินเลือดจนหมดตัว แต่กษัตริย์ของซานซูยูจะทำเฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวง และมีการทำพิธีกรรมไหว้แม่น้ำที่เป็นแหล่งอาศัยของมังกรเท่านั้น “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “...” “หากข้าอยากเสพสมกายของมนุษย์ ข้าก็สามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอให้ถึงคืนทำพิธีกรรมหรอก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD