บท 1

2170 Words
บทที่ 1                 หากเป็นเมื่อก่อนเวียงพิงค์คงคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้ว เนื่องจากเขาหอบหิ้วเสื้อผ้ามาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบแปด แต่ตอนนี้พอเขาต้องมาอยู่ในที่แปลกตาและไม่คุ้นเคยมาก่อน เวียงพิงค์ถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้ผ่านโลกมามากเลย            เวียงพิงค์คิดไปเองทั้งนั้น เพราะความจริงแล้วเขาก็แค่เด็กอายุยี่สิบที่ยังไม่ประสีประสาอะไร                ท่ามกลางความงุนงงและไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ เวียงพิงค์ที่เพิ่งถูกขับไล่ออกมาจากหอนางโลมก็มานั่งกอดเข่าอยู่ที่ข้างถนนอย่างไม่มีที่ไป เขานั่งมองพื้นด้วยอาการเหม่อลอย ไม่มีความรู้สึกหิวและไม่มีอาการกระหายน้ำด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่างเปล่าไปหมดและยังคงไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตัวเอง                เวียงพิงค์ได้แต่ภาวนาขอให้มันคือความฝัน แม้มันจะเหมือนจริงมากก็เถอะ                “คนบ้าที่ไหนมานั่งตรงนี้”                “เขาเป็นคนบ้าจริงเหรอ ท่านแม่”                “ก็ใช่น่ะสิ ดูจากเสื้อผ้าที่แปลกไปจากคนอื่น เจ้าก็น่าจะเดาออกได้แล้วนะ”                “ผมไม่ได้บ้านะ” เวียงพิงค์เงยหน้าขึ้นไปเถียง เมื่อบทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกที่ผ่านมาเห็นกันดังเข้ามาในโสตประสาทเขา แถมยังมากล่าวหากันว่าบ้าอีก                “แล้วคนปกติที่ไหนจะมานั่งอยู่แบบนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ประหลาดต่างจากคนในซานซูยู ไหนจะคำพูดคำจาของเจ้าอีก” คนเป็นแม่เถียงกลับมา พร้อมจับร่างของลูกสาวให้ไปอยู่ด้านหลังของตัวเองอย่างระแวง                “เอาเป็นว่าผมไม่ได้บ้าก็แล้วกัน”                “แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ” เธอถามต่อ โดยจังหวะที่เวียงพิงค์กำลังจะอ้าปากตอบเธอนั้น เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งหลังคิดว่าหากบอกไปตามตรง เขาก็ยังหนีไม่พ้นคำครหาว่าเป็นคนสติไม่ดีอยู่ดี                “….”                “ว่ายังไงล่ะ เจ้าเป็นใครและมาจากไหน”                “ผม….ผมมาจากแผ่นดินอื่น” เวียงพิงค์ตอบ                “แผ่นดินไหนล่ะ” อีกฝ่ายซักไซ้ต่อคล้ายกับต้องการต้อนให้เขาจนมุม                “อนาคต ผมมาจากแผ่นดินอนาคต”                “เสียสติจริง ๆ ด้วยแฮะ ข้าไม่น่ามาเสียเวลากับเจ้าเลย” พูดจบ คนแม่ก็ถอนหายใจใส่เวียงพิงค์หนึ่งหน ก่อนจะดึงข้อมือของลูกสาวให้เดินตามตัวเองไปทันที โดยก่อนที่เธอจะเดินหายลับไปนั้น ลูกสาวของเธอก็มีการหันกลับมามองเวียงพิงค์เล็กน้อยด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น                “เฮ้อ…” ฝั่งของเวียงพิงค์ เมื่อเขากลับมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง เวียงพิงค์ก็ถอนหายใจให้ตัวเองหนึ่งหนแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พยายามจะกดเปิดเครื่องให้ได้ ทว่าไม่ว่าเขาจะพยายามเปิดเครื่องมากแค่ไหน มันก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี                “ทำไมถึงเปิดไม่ติดนะ” เวียงพิงค์พูดกับตัวเองตั้งท่าจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เนื่องจากเขาไม่อยากปล่อยโฮซ้ำเติมสถานการณ์ที่มันย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว                ไม่รู้ว่าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นจากตรงไหน เวียงพิงค์เผลอไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดหรือเปล่า เขาถึงต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เวียงพิงค์พยายามนึกความผิดพลาดของตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ว่าเขาจะนึกเท่าไร เขาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี เนื่องจากก่อนหน้านี้เวียงพิงค์ก็ใช้ชีวิตเหมือนอย่างทุกวัน ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไม่ดีหรือแตกต่างไปจากเดิม                “นี่เจ้ายังอยู่ที่นี่อีกเหรอ” เวลาต่อมาท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของผู้คนที่คอยมองมาทางเวียงพิงค์ยามที่สัญจรไปมา เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง นั่นจึงทำให้เวียงพิงค์ได้เงยหน้าขึ้นมองอย่างสนใจ โดยคราวนี้คนที่เข้ามาทักเขานั้นก็คือหญิงสาวเมื่อคืนนี้ และเธอก็น่าจะเป็นเจ้าของหอนางโลม                “ครับ ผมไม่มีที่ไป” เวียงพิงค์พยักหน้ายอมรับ เขาไม่สามารถไปไหนได้จริง ๆ เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา ครั้นจะให้หนีเข้าป่าก็เอาตัวรอดไม่เป็นอีก เผลอ ๆ เขาอาจจะถูกสัตว์ร้ายหรือโจรป่าทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้ ฉะนั้นที่ ๆ ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับเวียงพิงค์ก็คือเขตชุมชนนี่แหละ ถึงจะยังไม่มีใครกล้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือเขาก็เถอะ                “ถ้าไม่มีที่ไปนัก งั้นเจ้าก็ตามข้ามาก็แล้วกัน เพราะหน่วยก้านของเจ้า…น่าจะพอช่วยเหลือกิจการของข้าได้” เธอบอกเสียงห้วนและไม่ยอมอธิบายอะไรมากกว่านี้ มิหนำซ้ำเธอยังรีบก้าวเท้ายาว ๆ คล้ายกับจะไม่รอกันอีก                “ร—รอผมด้วยสิครับ!” พอตั้งสติได้และคิดว่าคงไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เวียงพิงค์ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเธอไปทันที                “ข้าชื่ออึนฮา ส่วนเจ้า…ชื่ออะไรนะ เมื่อคืนข้าจำไม่ได้”                “เวียงพิงค์ครับ”                “ชื่อเหมือนไม่ใช่ภาษาของแผ่นดินเรา”                “มันเป็นภาษาของแผ่นดินอื่นครับ เป็นแผ่นดินที่อยู่ไกลจากที่นี่มากเลย” ขณะที่กำลังเดินตามอึนฮากลับเข้ามาที่หอนางโลมอีกครั้ง เวียงพิงค์ก็คอยพูดคุยกับเธอพร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่เขาเดินผ่านไปด้วย หลังเมื่อคืนนี้เขามัวแต่ตกใจจนไม่ทันได้สังเกตอะไร                “แล้วเจ้าเข้ามาในแผ่นดินนี้ได้ยังไง พวกทหารรักษาอาณาจักรยอมให้ผ่านเข้ามาหรือ”                “เรื่องนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ครับ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ เพราะความทรงจำสุดท้ายที่ผมมีคือผมกำลังนอนหลับอยู่บนกองหนังสือ”                “กองหนังสือ? งั้นแสดงว่าเจ้าอ่านหนังสือออกงั้นสิ ขี้โม้หรือเปล่า เพราะมีแต่พวกขุนนางหรือเหล่าเศรษฐีเท่านั้นแหละถึงจะอ่านหนังสือออกน่ะ”                “ไม่ได้ขี้โม้นะครับ ผมอ่านออกจริง ๆ” เวียงพิงค์พูดยืนยันทั้งตาโต แต่นั่นก็ใช่ว่าอึนฮาจะยอมเชื่อกันง่าย ๆ เธอจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่อยู่แถวนั้นมาให้เวียงพิงค์                “อ่านให้ข้าฟังสิ พิสูจน์สิว่าเจ้าอ่านหนังสือออกจริง ๆ” เธอบอก แล้วเพราะอย่างนั้นเวียงพิงค์จึงยอมยื่นมือไปรับหนังสือเล่มนั้น เพื่อเปิดหน้าแรกแล้วอ่านมันให้เธอฟัง                “ห—ให้โรคแล้วให้ยา” เวียงพิงค์อ่านประโยคแรกในหนังสือให้เธอฟัง โดยคำที่เขาพูดออกมานั้นมันก็คือคำสุภาษิตของเกาหลี                “อ่านออกจริงด้วย หรือว่าเจ้าเป็นคนมีเงินแต่ความจำเสื่อม?” อึนฮาคาดเดาต่อทั้งคิ้วขมวด ซึ่งเวียงพิงค์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป                “ผมไม่ได้ความจำเสื่อมครับ ผมยังจำทุกอย่างได้ แต่ถ้าจะถามว่าผมมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง ผมไม่รู้จริง ๆ” พูดจบ เวียงพิงค์ก็เม้มปากแน่นไปหนึ่งหน                “ยิ่งคุยกับเจ้าข้าก็ยิ่งปวดหัว งั้นขอพักก่อน” อึนฮาว่าพร้อมยกมือขึ้นห้ามเวียงพิงค์ ไม่ให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้ จากนั้นสาวใช้ของเธอก็เดินเข้ามาหาพวกเขา                “เจ้าพาชายผู้นี้ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ซะ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นแบบเดียวกับเรา” เธอหันไปสั่งการสาวใช้                “เจ้าค่ะ นายหญิง” สาวใช้โค้งหัวรับคำสั่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อบอกเวียงพิงค์ให้เดินตามเธอไป                เวลาต่อมาเมื่อเวียงพิงค์จัดการอาบน้ำแต่งตัวจนอยู่ในชุดแบบเดียวกันกับผู้คนของที่นี่แล้ว เขาก็เดินตามสาวใช้กลับมาหาอึนฮาที่ห้องอีกครั้ง ซึ่งอึนฮาก็กำลังเอนกายพิงหมอนแล้วโบกสะบัดพัดส่วนตัวอย่างเพลินอารมณ์                “เรียบร้อยแล้วค่ะ นายหญิง”                “ดีมาก เจ้าไปไหนก็ไปเถอะ ส่วนเสื้อผ้าของชายผู้นี้ก็เอาไปซักแล้วพับเก็บไว้”                “รับทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้โค้งหัวรับคำสั่งอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป โดยหลังจากที่เธอเดินออกจากห้องไปแล้ว อึนฮาถึงค่อยเลื่อนสายตามามองที่เวียงพิงค์อีกครั้ง                “นั่งลงสิ” เธอสั่ง                “ที่ยอมให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะต้องการใช้งานอะไรเหรอครับ” เวียงพิงค์ถามเธอเสียงอ้อมแอ้ม หลังเขาทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามอีกฝ่ายแล้ว                “ตอนนี้ข้ากำลังคิดอยู่ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะให้เจ้าช่วยงานในส่วนไหนไว้ถ้าคิดออกจะบอกอีกทีก็แล้วกัน แต่ว่า…” อึนฮาเว้นวรรคไปครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ “เจ้าเป็นคนอ่านหนังสือออก บางทีข้าอาจจะให้เจ้าเป็นครูสอนหนังสือให้กับเด็กของข้า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายความสามารถของเจ้า”                “อ๋อ ได้ครับ”                “กลับมาที่เรื่องของเจ้าต่อ แต่ก่อนเจ้าอยู่ที่ไหนนะ”                “ผมมาจากโลกอนาคต”                “แล้วมันคือที่ใด” อึนฮาถามต่ออย่างไม่เข้าใจ ส่วนเวียงพิงค์เองก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะเขาไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายให้เธอเข้าใจดี                “มันคือแผ่นดินนี้ในอีกห้าสองร้อยปีข้างหน้า” เขาตอบ                “แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อมันดูเพ้อเจ้อนัก” อึนฮาว่า แล้วเพราะอย่างนั้นเวียงพิงค์จึงตัดสินใจหยิบสมาร์ตโฟนที่ติดตัวเขาออกมาวางไว้ตรงหน้าเธอ                “มันเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวผมมาด้วย” เวียงพิงค์อธิบาย ในขณะที่อึนฮาก็ใช้สายตาเพ่งเล็งโทรศัพท์ของเขาราวกับเป็นของประหลาด                “มันคืออะไร” เธอถาม                “มันคือเครื่องมือสื่อสาร”                “….”                “ในอีกสองร้อยปีข้างหน้ามนุษย์จะใช้เครื่องมือนี้ในการสื่อสารกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ม้าเป็นพาหนะส่งสาร ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษหรือน้ำหมึก แค่ต่างฝ่ายต่างมีเจ้าสิ่งนี้ก็จะสามารถสื่อสารกันได้ เสมือนกำลังยืนพูดคุยกันต่อหน้าแล้ว”                “แล้วมันใช้งานยังไง” อึนฮาถามต่ออย่างสนใจ                “ตอนนี้มันยังใช้งานไม่ได้ น่าจะเพราะผมหลุดมาอยู่ในแผ่นดินนี้” เวียงพิงค์เอ่ยอย่างนึกเสียดาย                “เวียงพิงค์ สิ่งแรกที่เจ้าควรจะปรับตัวให้อยู่ที่นี่ให้ได้คือการพูดจาของเจ้านะ เพราะฟังดูแล้วช่างประหลาดนัก ขนาดสวมใส่เสื้อผ้าของแผ่นดินนี้แล้วแท้ ๆ ก็ยังดูประหลาดราวกับคนสติไม่ดี” อึนฮาร่ายยาวแล้วบอก “ใช้คำแทนตัวเองว่าข้าและเรียกคนอื่นว่าเจ้าเสีย ใครมีศักดิ์สูงกว่าหากเป็นบุรุษให้เรียกนายท่าน หากเป็นสตรีให้เรียกนายหญิง มันคงไม่ยากเกินความสามารถของเจ้าหรอกใช่ไหม”                “ข—ข้าจะพยายามใช้ก็แล้วกัน” เวียงพิงค์ตอบกลับไป โดยคราวนี้อึนฮาก็เริ่มมีสีหน้าที่พอใจมากขึ้น                “ค่อยลื่นหูขึ้นมาหน่อย” เธอบอกกลับมาพร้อมโบกสะบัดพัดเบา ๆ “วันนี้ที่หอนางโลมจะมีขุนนางชั้นสูงเข้ามา ยังไงเดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเล่นเครื่องดนตรีของที่นี่ก็แล้วกัน เผื่อจะได้ร่วมบรรเลงกับคนอื่นได้”                “ใครจะเข้ามาหรือ” เวียงพิงค์ถามต่อ เพราะเท่าที่เขาเคยศึกษาประวัติศาสตร์ของแผ่นดินนี้มาพอคร่าว ๆ คือกษัตริย์ยงฮวาจะชอบดูการแสดงของสตรีผู้งดงามเป็นอย่างมาก แต่พระองค์มักจะให้เข้าไปแสดงในวังหลวงมากกว่าการออกมาชมถึงที่หอนางโลมเอง                “จะถามทำไมในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว” อึนฮาบอกกลับมา                “ไหน ๆ เราก็พูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว ถ้างั้นข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” เวียงพิงค์เอ่ยพลางสังเกตท่าทีของอึนฮาไปด้วย                “ถ้าข้าตอบได้ก็จะตอบ”                “ในแผ่นดินของข้า เขาเขียนบันทึกเอาไว้ว่ากษัตริย์ของที่นี่เป็นมังกรและจะดื่มเลือดมนุษย์ทุกปี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน มันคือเรื่องจริงหรือเปล่า”                “แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ” อึนฮาถามกลับแล้วตอบ “เมื่อปีที่แล้วตายไปสอง คิดเอาเองก็แล้วกัน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD